เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
EXONERATED คืนล้างบาปSamanthachiew
5
  • 5

    เอวาค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย


    “คุณบอกคนอื่นถึงสิ่งที่คุณฝันเห็นในแต่ละคืนไปแล้วใช่ไหม” เมิฟถาม “คุณสารภาพเรื่องที่คุณเห็นเหตุร้ายกับโจนาห์ -- นักบุญที่คุณไว้วางใจว่าเขาจะปกป้องคุณคนนั้น”


    เอวาไม่ได้ตอบคำถามเขา แต่นั่นก็มากพอสำหรับเมิฟ “ทำไมถึงต้องเป็นโจนาห์” เขาถาม


    เพราะฉันทนความกลัวที่ครอบงำตัวเองไม่ได้! -- เอวาตะโกนลั่นภายในใจ -- เธอทนเก็บภาพที่เห็นไว้กับตัวเองเพียงลำพังไม่ได้ มันแทบจะทำให้หัวเธอระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ!


    เธอต้องการเขา เธอต้องการโจนาห์ --


    “เพราะเขาช่วยให้ฉันรอดมาได้ ถ้าไม่มีเขา -- ฉันคงตายไปนานแล้ว” เธอกลับพูดออกมาแบบนั้น “โจนาห์ให้ที่หลบซ่อนแก่ฉัน เขาพาฉันมาที่นี่ -- ในบ้านที่ปลอดภัยจากบรรดาผู้คนที่สาปแช่งฉัน --” เอวายกแขนข้างหนึ่งขึ้นมาตรงหน้า ปรากฏให้เห็นรอยแผลเป็นที่ลากยาวจากข้อมือมาจนถึงข้อศอก -- จากนั้นจึงขยับผ้าคลุมไหล่ เผยให้เห็นรอยแผลไหม้ขนาดใหญ่บนหัวไหล่อันเปลือยเปล่า “ปลอดภัยจากบรรดาผู้คนที่อยากจะฆ่าฉันทิ้ง”


    เมิฟจ้องมองรอยแผลอันน่ากลัวเหล่านั้น วูบหนึ่งดวงตาสีเขียวคล้ายจะรื้นไปด้วยน้ำตา หากแต่เขาก็เบือนหน้าหนีเธออย่างรวดเร็ว 


    “ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณ” เมิฟค่อยๆยกมือขึ้น เสยเรือนผมสีแดงไปให้พ้นใบหน้าตน -- ค่อยๆหันหน้าไปทางด้านข้างให้เธอมองเต็มตา เผยให้เห็นรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ คล้ายรอยจากของมีคม ที่ลากยาวตั้งแต่หางคิ้วไปจนถึงสันกราม “มันเจ็บปวดกว่าที่ตาเห็นหลายเท่า จริงไหม”


    เอวาเผลอมองไปตามแผลเป็นนั่นอย่างลืมตัว นึกเจ็บปวดแทนเขา เมื่อเห็นว่าครั้งหนึ่งมันเคยเป็นแผลฉกรรจ์มาก่อน


    “ผมเคยโดนทำร้าย -- เมื่อสิบปีก่อน” เมิฟตอบ เมื่อชำเลืองเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยคำถามของเธอ “พวกเขาหวาดกลัวในสิ่งที่ตนเองไม่เข้าใจ นั่นคือสาเหตุที่พวกเขาพยายามขับไล่ และกำจัดทิ้ง -- มนุษย์มักทำแบบนั้นอยู่เสมอ” เมิฟเสยผมไปอีกทาง “เหมือนกับที่ครั้งหนึ่ง ผู้คนในเมืองเคยหวาดกลัวว่าพายุฝนจะพัดพาทุกอย่างกลับลงขุมนรก พวกเขาจึงสวดมนต์ภาวนากันทั้งน้ำตา ร้องขอให้ไม่มีวิญญาณของผู้เป็นที่รักของตนถูกพรากไปในคืนนั้น”


    คราวนี้เอวาจ้องมองเขาอย่างตื่นตะลึง “โจนาห์พูดแบบนั้นเช่นเดียวกัน” เธอกระซิบ


    เขาบอกเธอแบบนั้น ในตอนที่ช่วยชีวิตเธอเอาไว้ แล้วพาเธอมาที่นี่ครั้งแรก


    เมิฟยังคงตอบด้วยน้ำเสียงอันนิ่งสงบดั่งเดิมว่า “ผมรู้” เขาจ้องมองเธอนิ่ง “และผมก็ยังรู้อีกด้วยว่าคุณยังคงโกหกอยู่ เอวา”


    คราวนี้เอวาไม่อาจละสายตาไปจากเขาได้ มือที่กำชายเสื้อคลุมไว้เริ่มเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ


    “คุณอาจจะไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณ นอกจากมองว่าตัวเองเป็นคนต้องคำสาป -- แต่คุณไม่ได้โง่เขลา -- ผมรู้ว่าคุณรู้ว่ามีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับชายคนนั้น -- มีอะไรบางอย่างที่ไม่ถูกต้องระหว่างโจนาห์และคุณ” 


    “คุณหมายความว่าอะไรกัน”


    “นักบุญโจนาห์ของคุณ พาคุณมาที่นี่เมื่อไหร่” เมิฟถาม “หลังจากเกิดเรื่องที่ชายทะเลนั่นไปไม่กี่สัปดาห์ใช่ไหม”


    เอวานึกย้อนถึงคืนวันนั้น ที่เขาช่วยเธอไว้จากพิษบาดแผลจากการถูกประชาทัณฑ์


    คืนที่เธอแทบเอาชีวิตไม่รอดจากการถูกวางเพลิง และกรวดหินที่ปาเข้ามา จนบาดผิวเธอไปทั่วทั่งร่าง


    “เขาไม่ได้เข้ามาช่วยคุณในตอนที่คุณอยู่ในเปลวเพลิง หรือในตอนที่คุณอยู่ใจกลางกลุ่มคนที่ปาหินใส่” เมิฟว่าต่อไป “เขาไม่ได้ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าคุณในตอนที่คุณต้องการความช่วยเหลือ หากแต่เขาเข้ามาในชีวิตคุณ ในตอนที่คุณอยากจะหนีหายไปจากเมืองนี้ต่างหาก -- เขาพาคุณมาที่นี่ และไม่เคยปล่อยให้คุณคลาดสายตา หนีจากไปที่ไหนได้อีกเลย ใช่ไหม”


    ใช่ -- เอวานึกถึงเรื่องราวในอดีตที่ไหลผ่านเข้ามาในความคิดตน


    “คุณคิดว่าอะไรทำให้เขาช่วยคุณไว้ -- คุณคิดว่าอะไรทำให้เขาแอบซ่อนคุณไว้ที่นี่”


    “เพราะเขาเชื่อฉัน --” เอวาตอบออกมาก่อนจะทันได้คิดถึงสิ่งอื่นใด “เพราะเขาเชื่อในสิ่งที่ฉันเห็น --”


    เมิฟพยักหน้า “ใช่” เขาเอ่ยช้าๆ “เพราะเขาเชื่อคุณ เอวา เขาถึงช่วยชีวิตคุณไว้ในคืนนั้น -- เพราะเขารู้ว่าสิ่งที่คุณฝันเห็นและพูดออกมานั้น มันล้ำค่ายิ่งกว่าเพชรพลอยใดๆ มันคือคำทำนายสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นจริง ไม่ได้เป็นเพียงคำพูดโกหก หรือคำสาปอย่างที่หลายคนนึก เขาถึงรู้ว่าต้องทำอย่างไรกับคุณต่อไป --”


    ใบหน้าของเมิฟคล้ายจะเคลื่อนเข้ามาใกล้เธอมากขึ้น จนเธอแทบจะเห็นม่านตาสีเขียวที่เบิกโพลงนั่นได้อย่างชัดเจน


    “คุณคิดว่าอะไรทำให้โจนาห์ ชายผู้เป็นคนธรรมดาเดินดิน กลับกลายเป็นนักบุญโจนาห์ผู้เป็นที่รักไปได้” เมิฟถามต่อไป “อะไรทำให้เขากลายเป็นนักบุญโจนาห์ผู้ได้รับความรัก ความเคารพ และการบูชาสรรเสริญไปทั่วทั้งเมืองเล็กๆแห่งนี้ ทั้งที่เขายังหนุ่มแน่น และยังคงท่องบทสวดไม่ได้สักครึ่งหนึ่งของนักบวชผู้อาวุโสคนอื่น -- คุณคิดว่าอะไรทำให้คนอย่างเขาได้รับทุกอย่าง ในขณะที่คุณกลับถูกขับไล่มาอยู่ในบ้านร้างหลังนี้”


    เอวามองเขานิ่ง ภาพของโจนาห์ที่ขยับทุกท่วงท่าอย่างสง่างาม เชิดรั้นใบหน้าขึ้นเล็กน้อยในทุกครั้งที่เหลือบมองเธอมา ปรากฏขึ้นในหัวของเธอ “คุณกำลังหมายความว่าอะไร --” เธอกระซิบ


    “ผมหมายความว่า --” เมิฟเปล่งเสียงออกมาช้าๆ หากแต่เสียงดังฟังชัดในทุกคำ “โจนาห์อาจจะไม่ใช่คนแบบที่คุณเห็น และไม่ใช่คนแบบที่ทุกคนเชื่อว่าเขาเป็น”


    เมิฟหยุดพูด ไอออกมาอีกครั้ง -- หญิงสาวนั่งนิ่งตัวแข็งรู้สึกเจ็บบริเวณท้องขึ้นมาเล็กน้อย จนเธอเผลอเกร็งร่างแน่น


    เสียงลมพัดดังหวีดหวิวมาจากทางด้านนอกรุนแรงมากยิ่งขึ้น จนบานหน้าต่างสั่นสะเทือนไปมา เกิดเป็นเสียงดังขึ้นภายในห้องแห่งนี้


    “เขาเป็นเพียงชายธรรมดาคนหนึ่ง” เมิฟหอบหายใจขณะพูดออกมา “แต่มันเป็นเพราะสิ่งที่คุณบอกเขาต่างหาก ที่ทำให้เขากลายเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ -- ตั้งแต่เขามีคุณ -- ตั้งแต่คุณบอกเขาถึงสิ่งที่คุณฝันเห็น เขาก็กลายเป็นชายผู้สามารถหยุดความเจ็บป่วย โรคร้าย และเหตุร้ายต่างๆได้ทันท่วงทีเสมอ -- เขาคือชายผู้หยั่งรู้ -- ชายผู้หยุดยั้งชะตากรรมอันเลวร้ายได้เสมอ -- ชายผู้ได้รับซึ่งความรัก และการบูชาจากทุกคนในเมืองเล็กๆแห่งนี้ -- ชายผู้ถูกเรียกว่าผู้นำสาส์นมาจากเบื้องบน เขาเป็นได้ถึงขนาดนั้น แค่เพราะเขามีคุณผู้หยั่งรู้ และมีวิธีการพูดสื่อสารอันชาญฉลาดของเขาเอง ทุกคนก็พร้อมที่จะเชื่อโจนาห์” เมิฟจ้องมองเอวาโดยไม่ละสายตา “แต่มันไม่จริงเลยใช่ไหม -- ในเมื่อเราต่างรู้ว่าเขารู้ทั้งหมดนั่นมาจากคุณ”


    ลมหายใจของเอวาคล้ายจะดังขาดห้วงไป


    เขารู้ได้อย่างไรกัน -- เธอนึก -- เมิฟรู้ได้อย่างไร ถึงความลับที่เธอเล่าให้โจนาห์ฟังในทุกเช้า -- ความลับที่เกี่ยวกับความฝันของเธอ!


    “ได้โปรด หยุดเสีย -- อย่าพูดอะไรออกมาอีกเลย --” เธอตัวสั่น รู้สึกหวาดกลัวที่จะพูดเรื่องนี้ต่อไป


    “คุณยังไม่เห็นอีกหรือว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่เห็นอีกหรือ ว่าโจนาห์ทำอะไรลงไป --”​ เมิฟถาม “เขาหลอกทุกคนด้วยสิ่งที่คุณเห็น และใช้ชีวิตอันสูงส่งบนคำพูดของคุณมาโดยตลอด -- โจนาห์ผู้นำสาส์นจากเบื้องบนไม่เคยมีตัวตนอยู่จริงอย่างที่ทุกคนศรัทธา -- จนถึงตอนนี้ มีเพียงเรื่องสุดท้ายเท่านั้น ที่เขาไม่ได้บอกใคร -- เขาไม่กล้าบอกใครในเรื่องนั้นสักคน -- บอกสิ ว่าผมพูดผิดในเรื่องนี้”


    เอวามองอีกฝ่ายนิ่ง “เรื่องสุดท้ายหรือ --”


    “ความฝันที่คุณบอกกับเขาเมื่อเช้า -- คุณบอกอะไรเขาไป เอวา” เมิฟถามอย่างคาดคั้น “คุณบอกอะไรเกี่ยวกับความฝันนั้นให้เขาฟัง”


    เอวาหลุบตามองฝ่ามือตนเอง


    จู่ๆเธอก็ได้ยินเสียงตนเองตอบออกมาว่า “ฉันฝันเห็นใครคนหนึ่งทำร้ายฉัน --” เธอกระซิบ “มันรุนแรง และเหมือนจริงยิ่งกว่าครั้งไหนๆ จนฉันแทบสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวด ราวกับมันเกิดขึ้นกับฉันจริงๆ --” เธอหลับตาลงแน่น ราวกับพยายามขับไล่ภาพนั้นออกไปจากความทรงจำ “ฉันฝันเห็นฝ่ามือที่ซัดเข้าใส่สันกรามของฉัน -- มือที่เหวี่ยงฉันล้มกระแทกพื้น และทุบตีฉัน -- อีกครั้ง อีกครั้ง แล้วก็อีกครั้ง -- จนตะเกียงดวงนั้นดับไป -- ”


    แล้วเขาก็แทงฉัน -- เอวาพูดต่อจนจบในใจตนเอง --


    เอวาเผลอยกมือปิดริมฝีปากตนเอง รู้สึกมึนงงเมื่อหวนนึกถึงความฝันนั้น --


    “มือของใคร --” เมิฟรุกถามต่อ “คุณฝันเห็นใคร”


    ชายคนหนึ่ง -- เอวานึก หากแต่เธอกลับตอบอีกฝ่ายไปว่า


    “คุณต้องการรู้ไปทำไม! ทำไมคุณถึงมาพูดกับฉันถึงเรื่องเหล่านี้! ทำไมคุณถึงคาดคั้นเอาคำตอบจากฉันนัก!” เธอหอบหายใจรุนแรง เสียงที่เปล่งออกมาฟังดูอ่อนแรง คล้ายจะหายไปจากลำคอของตนเอง “และโปรดอย่าพูดถึงโจนาห์แบบนั้นอีก -- โจนาห์ไม่ได้เป็นเหมือนคนอื่นๆ เขาช่วยชีวิตฉันไว้ --”


    “ถ้าอย่างนั้นทำไมเขาถึงลั่นกลอนประตูจากข้างนอก ในทุกครั้งที่เขาออกไปจากที่นี่” เสียงทุ้มต่ำของเมิฟรุกถามต่อไป “ถ้าไม่ใช่เพราะเขาต้องการขังคุณไว้ เก็บคุณไว้เป็นของเขาตลอดกาล --”


    เอวาคล้ายจะพยายามปิดกั้นตนเองจากเสียงของเมิฟ


    “ได้โปรดหยุดพูดเสีย” อีกครั้งที่เธอวิงวอนเขา “อย่าให้ฉันจดจำโจนาห์เป็นอื่นไปเลย เขาเป็นคนสุดท้ายที่ฉันมี -- อย่าให้ฉันจำเขาเป็นอื่นนอกจากชายผู้แสนดีเลย --”


    ไม่จริง!!” จู่ๆเมิฟก็ย้อนเธอกลับมาด้วยน้ำเสียงอันดุดัน


    และแล้ว ในตอนนั้นเองที่ภาพบางอย่างปรากฏขึ้นมาในห้วงคำนึงของเธอ --


    มันคือภาพใบหน้าอันเลือนลางที่เปื้อนเลือดของชายคนหนึ่ง


    และภาพนั้นก็ทำให้เธอนิ่งตัวแข็ง จนแทบลืมหายใจ


    เมิฟขยับเข้ามาใกล้เธอเล็กน้อย จนแสงตะเกียงส่องกระทบ เกิดเป็นเงามืดสลัว บนใบหน้าที่รกครึ้มไปด้วยหนวดเคราสีแดงเพลิงนั่น


    “ไม่มีใครรู้ว่ามีบ้านร้างหลังนี้ซ่อนอยู่บนเนินเขาแห่งนี้ ไม่มีใครรู้ว่าคุณอยู่ในบ้านร้างหลังนี้ และคนเดียวที่มีกุญแจเข้าออกบ้านหลังนี้ได้ คือโจนาห์ -- กี่เดือนกี่ปีแล้ว เอวา ที่คุณไม่ได้ออกไปจากที่นี่ -- ที่ที่เย็นชื้น มืดสลัว และเปล่าเปลี่ยว -- ไม่มีตัวตนให้ใครจดจำ ไม่มีเรื่องเล่าให้ใครได้พูดถึง -- คุณกำลังถูกขังลืมอยู่ที่นี่ และคุณรู้ดีแก่ใจ ว่าผมพูดถูกต้องทุกอย่าง -- คุณรู้อยู่แก่ใจ แต่คุณกลับเลือกปฏิเสธที่จะรับรู้ -- ทำไมกัน เอวา --” เมิฟกระซิบต่อไป  ใบหน้านั่นคล้ายจะเคลื่อนเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนเธอแทบจะมองเห็นม่านตาสีเขียวที่เบิกโพลงของเขาได้อย่างชัดเจน “อะไรทำให้คุณยังยอมซ่อนตัวอยู่ในที่แห่งนี้ และโกหกตัวเองต่อไป ว่าโจนาห์คือนักบุญผู้นำสาส์นมาจากเบื้องบน ทำไมถึงยังกล้าโกหกต่อไปว่าเขาคือชายผู้แสนดี” เขาถาม


    “โจนาห์ไม่ใช่คนเลวร้าย --” เอวาส่ายหน้า พูดพึมพัมไปมา คล้ายจะเตือนสติตนเองมากกว่าตอบอีกฝ่าย “เขาไม่เคยแตะต้อง หรือทำร้ายฉันแม้แต่ปลายนิ้ว --”


    เมิฟจ้องมองเธอด้วยสายตาเศร้าใจสุดแสน คราวนี้จ้องมองอย่างลึกซึ้งยาวนาน ราวกับมองเห็นตัวตนอันแท้จริงของเธอไปจนถึงจิตวิญญาณ


    “นั่นไงล่ะ เอวา ผมเห็นความจริงในแววตาของคุณแล้ว” เขากระซิบ “ทำไมคุณถึงยังคงโกหกอยู่ ทั้งๆที่คุณเป็นคนบอกผมเองว่าเราห้ามทำบาปใดๆในบ้านหลังนี้ --”


    ฉับพลันนั้น ฝ่ามือหนาข้างหนึ่งก็โฉบข้ามตะเกียง มาวางลงบนหน้าท้องของเธออย่างรวดเร็ว

    เอวาสะดุ้งสุดตัว ผวาถอยหนีฝ่ามือนั้นในทันที หากแต่ช้าเกินไป


    “เพราะนี่หรือ” เขากระซิบ ฝ่ามือกดเข้าที่หน้าท้องของเธอ ดวงตาสีเขียวคู่นั้นยังคงจ้องมองมาโดยไม่หลบสายตา “เพราะเขาที่อยู่ในท้องคุณนี่หรือ”


    ตอนนั้นเองที่ชายผ้าคลุมเธอเลื่อนหลุดลงมาจากไหล่ ร่วงหล่นลงสู่พื้นห้องอันเย็นชื้น จนแสงตะเกียงดวงน้อยส่องให้เห็นถึงหน้าท้องของเธอที่นูนใหญ่เด่นชัดออกมา!


    “เพราะเขาที่เกิดจากคุณกับโจนาห์หรือ!”


    วินาทีนั้นความเจ็บปวดก็แล่นปราดไปทั่วหน้าท้องของเธอ เอวาผวาเฮือก ผลักเขาสุดแรง จนเขาผงะถอยกลับไป


    เมิฟไอออกมาอีกครั้ง คราวนี้รุนแรง และยาวนานกว่าเดิม จนมีเลือดไหลออกมาจากทางมุมปาก -- เอวาตัวแข็งขึ้นมา เมื่อเห็นเงามืดปรากฏอยู่ในแววตาสีเขียวคู่นั้นอีกครั้ง


    ชายหนุ่มตรงหน้าที่เคยดูอ่อนโยน และนิ่งเฉย บัดนี้กลับกำลังจ้องมองเธอด้วยสายตาอันดุดันและน่ากลัว ริมฝีปากอิ่มที่เปื้อนเลือดนั้นเม้มแน่น ราวกับพยายามปิดกั้นคำพูดต่างๆที่กำลังพรั่งพรูออกมาจากส่วนลึกภายในใจก็ไม่ปาน


    ฉับพลันนั้นเสียงของชายหนุ่มตรงหน้าดังก้องกังวานไปมาในห้วงความคิดของเธอ


    ไม่มีใครรู้จักบ้านร้างบนเนินเขาหลังนี้ ไม่มีใครรู้ว่าเธออยู่ในบ้านร้างหลังนี้

    ไม่มีใครมีกุญแจเข้าออกบ้านหลังนี้ได้

    นอกจากโจนาห์ --


    แต่กระนั้นแล้วชายตรงหน้าของเธอกลับรู้ทุกอย่างที่กล่าวมา --


    รู้แม้กระทั่งที่เก็บหม้อ และแก้วน้ำ ที่มีแค่เพียงอย่างละใบในบ้านอันว่างเปล่าแห่งนี้


    ประตูถูกลั่นกลอนจากข้างนอก ในทุกครั้งที่โจนาห์ออกไปจากที่นี่


    แต่กระนั้นชายคนนี้ก็ล่วงรู้ถึงความลับข้อนั้นของโจนาห์ และยังคงเข้ามาในบ้านหลังนี้ได้


    เขารู้ทุกอย่าง ทั้งๆที่เขาไม่เคยปรากฏตัวให้เธอเห็นในบ้านหลังนี้มาก่อน --


    โจนาห์อาจไม่ใช่คนที่เธอกับทุกคนในเมืองคิดว่าเขาเป็น แต่ขณะเดียวกัน เมิฟก็ไม่ใช่คนที่เธอคิดว่าเขาเป็นเช่นเดียวกัน -- เขาคนนี้เป็นมากกว่าชายที่ต้องการสารภาพบาป


    ตอนนั้นเองที่เอวาเพิ่งสังเกตเห็นมือของเมิฟอย่างเต็มตา -- เธอจ้องมองแหวนที่อยู่บนนิ้วก้อยของเมิฟนิ่ง --


    โจนาห์ไม่ได้ให้เขามาอย่างแน่นอน แต่แล้วเขากลับมีแหวนอันล้ำค่าวงนั้นอยู่บนนิ้วตนเอง!


    “ทำไมคุณถึงมีแหวนของโจนาห์” เอวากระซิบ


    แล้วฝ่ามือของผู้บุกรุกในคืนนั้นปรากฏชัดขึ้นในห้วงคำนึงของเธออีกครั้ง -- มันซ้อนทับกับมือของเมิฟที่อยู่ตรงหน้าเธอในขณะนี้ จนกลายเป็นภาพที่ชัดเจนขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน


    มันคือฝ่ามือที่สะท้อนกับแสงตะเกียง แล้วทุบเข้าที่สันกรามเธอในความฝัน


    นี่คือใบหน้า และฝ่ามือเดียวกันกับที่เธอเห็นในความฝันเมื่อเช้า!!


    เอวากลั้นหายใจ ดวงตาเบิกโพลงเมื่อรับรู้ถึงความจริงอันน่ากลัวตรงหน้า


    ตอนนั้นเองที่เมิฟขยับตัวโน้มร่างข้ามตะเกียงเข้ามาใกล้เธอ ดวงตาที่หลับแน่นอยู่ปรือขึ้นช้าๆ ริมฝีปากอิ่มเผยอออก แล้วกระซิบออกมาว่า “คุณจำผมไม่ได้จริงๆหรือ”


    เอวานั่งนิ่ง จนกระทั่งริมฝีปากนั่นเคลื่อนเข้ามาใกล้ใบหูเธอ จนเธอสัมผัสได้ถึงลมหายใจของเขา “แม้ว่าจะเห็นผมใกล้ขนาดนี้ก็ตามน่ะหรือ”


    พลันภาพของฝ่ามือที่เงื้อมหมัดกระแทกเข้ากับสันกรามของเธอก็ปรากฏขึ้นในหัวของเธอ --


    “คุณอาจจะเคยเห็นผม ก่อนที่เราจะได้เจอกันในคืนนี้แล้ว” เสียงเมิฟกระซิบ “คุณอาจจะเห็นสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในคืนนี้อยู่ก่อนแล้ว แต่คุณไม่รู้ตัว -- คุณยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”


    เอวาค่อยๆหันมามองใบหน้าที่อยู่ชิดใกล้พวงแก้มของเธอ --


    “เหมือนกับที่ผมรู้ว่าพายุกำลังพัดมาจากทางชายฝั่ง สายลมกำลังจะพัดพาสายฝนมา และท้องฟ้ากำลังจะมืดยิ่งขึ้นกว่าเดิม -- มันยังไม่เกิดขึ้นในขณะนี้ แต่ผมรู้ว่ามันกำลังจะเกิดในอีกไม่กี่วินาทีหน้า”


    เธอจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีเขียวคู่นั้นที่กำลังมองตอบมา มือข้างหนึ่งของเขาวางลงบนฝ่ามือของเธออย่างแผ่วเบา


    “คุณ--คือคนที่ฉันฝันเห็นเมื่อตอนเช้า” เอวาเปล่งเสียงออกมาจากริมฝีปากที่สั่นระริก “คุณคือคนที่จะมาทำร้ายฉันหรือ”


    เขาคือชายชุดดำที่มาฆ่าเธอในความฝันนั่น!


    เสียงสายฝนค่อยๆตกลงมา จากละอองเล็กอันแผ่วเบา ก็เริ่มกลายเป็นเม็ดหนาที่กระทบบานหน้าต่างอย่างรุนแรง -- พลันแสงสว่างจากฟ้าแลบก็ส่องผ่านเข้ามา -- ส่องกระทบใบหน้าของเมิฟ ที่กำลังจ้องมองเธอด้วยสายตาอันว่างเปล่า


    “เห็นไหม” เขากระซิบ “ผมบอกแล้ว ว่าผมรู้ว่ากำลังจะมีพายุในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า”


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in