4
ความรู้สึกหวาดกลัวครอบงำเธออีกครั้ง เมื่ออีกฝ่ายพูดประโยคนั้นออกมา
เด็กหญิงชุดแดง --
“เด็กหญิงชุดแดงใช่ไหม ที่ทำให้คุณซ่อนตัวจากโลกใบนี้” เมิฟถาม
เอวาจ้องมองเขาอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วกระซิบออกมาว่า “คุณไม่รู้หรอก ว่าฉันเห็นอะไรในทุกค่ำคืน และหวาดกลัวอะไรในทุกเช้าที่ลืมตาตื่น” เธอจ้องมองอีกฝ่าย ดวงตาทั้งสองข้างรื้นไปด้วยน้ำตา “คุณไม่รู้หรอก”
เมิฟไม่ได้ตอบอะไรกลับมา
เอวากระชับผ้าคลุมเข้ากับตัวแน่น “ทั้งคุณและคนอื่นๆในเมืองต่างรู้ดีอยู่แก่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนั้น -- และรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างฉันกับเด็กหญิงคนนั้น -- คุณรู้เรื่องโศกนาฏกรรมที่ผู้คนพูดถึงกันมาเป็นสิบปี แต่กระนั้นคุณก็ยังคงคาดคั้นให้ฉันพูดถึงมัน -- คุณคิดว่าคุณเป็นใครกัน”
เมิฟไม่ตอบ แวบหนึ่งเอวาเห็นเงามืดวูบไหวอยู่ในดวงตาคู่นั้นเล็กน้อย ก่อนที่จะหายวับไปอย่างรวดเร็ว
“เมิฟ ไม่ว่าคุณต้องการอะไรจากฉันก็ตาม ได้โปรดหยุดเสีย และอย่าพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย --” เธอกระซิบเสียงต่ำ ดวงตาจ้องมองอีกฝ่ายนิ่ง “ได้โปรดเถอะ --”
“ทำไมกัน” เมิฟถามกลับมา “ทำไมเราถึงพูดเรื่องที่ทำให้คุณแตกสลาย จนมาจบลงในบ้านร้างหลังนี้ไม่ได้”
“เพราะฉันกลัว” เอวาตอบออกไปก่อนจะได้ทันรู้ตัว “กลัวในสิ่งที่ฝัน กลัวในสิ่งที่เห็น และกลัวในสิ่งที่จะพูดออกไป” เธอกระซิบออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นไหว “มันจะทำให้เกิดเรื่องร้ายขึ้น -- และนั่นคือสิ่งที่ฉันต้องคำสาป”
“คุณเชื่ออย่างนั้นหรือ” เมิฟหรี่ตามองเธอ “คุณเชื่อจริงๆหรือว่าความฝันของคุณเป็นลางร้าย และหากคุณพูดมันออกมา มันจะทำให้เกิดการตาย หรือเหตุร้ายขึ้น คุณเชื่อจริงๆหรือว่าคำพูดของคุณคือคำสาป และเป็นบาปที่คุณจะไม่มีวันได้รับการให้อภัย”
เอวาไม่ได้ตอบอะไรกลับมา
“คุณเชื่อจริงๆหรือว่าเด็กหญิงคนนั้นตาย เพราะความฝันของคุณ” เมิฟถามต่อไปอย่างนิ่งสงบ แววตาที่มองมาราวกับอ่านความคิดของเธอได้ทะลุปรุโปร่ง “เพราะคำพูดของคุณที่พูดออกมาน่ะหรือ”
“คุณต้องการอะไรจากฉัน” เอวาย้อนถามเสียงเบาหวิว อารมณ์บางอย่างในตัวพลุ่งพล่านขึ้นมา ราวกับคลื่นทะเลที่เริ่มก่อตัวภายใต้ผิวน้ำ “คุณต้องการที่จะให้ฉันตอบคุณว่าเรื่องที่ฉันพูดทั้งหมดนี่ เป็นเพียงเรื่องโกหกเรื่องหนึ่งงั้นหรือ -- หรือคุณต้องการมาที่นี่ เพื่อที่จะได้เห็นเองกับตา ว่าฉันเป็นบ้าจริงๆหรือไม่งั้นหรือ --”
เมิฟส่ายหน้า “นั่นคือสิ่งที่ทุกคนในเมืองต่างเชื่อ และพากันพูดถึงคุณในตลอดหลายปีที่ผ่านมา” เขาตอบช้าๆ “เอวาหญิงบ้า ผู้นำมาซึ่งเหตุร้ายในเมือง เอวาหญิงปิศาจ ผู้ตามล่าวิญญาณอันบริสุทธิ์กลับลงสู่นรกใต้ท้องทะเลลึก -- นั่นคือสิ่งที่ทุกคนพูดกัน” เมิฟถูฝ่ามือตนเองไปมา ก่อนจะบอกเธอว่า “แต่ไม่ใช่กับผม -- สำหรับผมแล้ว ความบ้าและปิศาจร้ายนั้นเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งไม่ใกล้เคียงกับสิ่งที่คุณเป็นอยู่นี่เลย”
เอวาเผลอหลุบตามองฝ่ามือหนาของอีกฝ่าย สีหน้าดูเจ็บปวดกับคำพูดเหล่านั้น
“พวกเขาพากันพูดถึงคุณแบบนั้น มาตั้งแต่ผมจำความได้” เสียงทุ้มพูดต่อไป
นั่นทำให้เอวานิ่งชะงักไป เธอเลื่อนสายตากลับไปยังใบหน้าของชายหนุ่มตรงหน้า พินิจมองไปตามดวงตาสีเขียว และริมฝีปากอิ่มที่ล้อมกรอบไปด้วยหนวดเคราสีแดงเพลิง -- ทั้งเขาและเธออายุรุ่นราวคราวเดียวกันไม่ผิดแน่
แต่เขากลับบอกว่าได้ยินเรื่องของเธอมาตั้งแต่จำความได้งั้นหรือ -- เอวาขมวดคิ้ว
“คุณอายุเท่าไหร่กัน” เธอโพล่งถามออกไป
ทว่าเมิฟกลับตอบออกมาอย่างไม่ปิดบังว่า “สามสิบสาม” ดวงตาสีเขียวจ้องมองกลับมา โดยไม่หลบสายตา
เขาอายุเท่ากันกับเธอ
เอวาขมวดคิ้วกับคำตอบที่ได้รับ -- เขาพูดเรื่องอะไรกัน เขาจะได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับเธอเมื่อสามสิบสามปีก่อนได้อย่างไร ในเมื่อสามสิบสามปีก่อนนั้น ทั้งเธอและเขาเพิ่งจะถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกนี้ได้เพียงขวบเดียวเท่านั้น
เอวาจ้องมองเมิฟราวกับตนเพิ่งได้ยินเรื่องโกหกอันโง่เง่าที่สุดในระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา เขากล้าโกหกภายในบ้านของโจนาห์ตั้งหลายครั้งหลายคราอย่างนี้ได้อย่างไร
“โปรดหยุดโกหกเสีย” เธอเอ่ยปากขอร้องอีกครั้ง “ฉันไม่อยากจะได้ยินสิ่งที่เป็นความผิดไปมากกว่านี้อีกแล้ว”
“ผมไม่ได้โกหก” เมิฟตอบด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่ง “คุณไม่เชื่อผมหรือ”
คราวนี้เอวาส่ายหน้า “ไม่” เธอตอบ “เพราะจุดเริ่มต้นที่ทุกคนเรียกฉันว่าเอวาปิศาจร้ายนั้น ไม่ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อสามสิบสามปีก่อน”
ไม่ใช่สามสิบสามปีก่อนหรอก -- เอวาบอกตนเอง -- เธอยังคงจำจุดเริ่มต้นของโศกอนาฏกรรมที่ทำให้ชีวิตเธอตกนรกทั้งเป็นได้ ราวกับมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อคืนวานก็ไม่ปาน
จุดเริ่มต้นเดียวกันกับที่ทำให้ทุกคนในเมืองเริ่มเรียกขานถึงเธอเช่นนั้น --
และมันไม่ใช่สามสิบสามปีก่อน -- แต่เป็นสิบปีก่อนต่างหาก -- ไม่ขาดหรือเกินไปมากกว่านั้น
เมิฟถูแหวนนิ้วก้อยตนเองเล็กน้อย ก่อนจะประสานมือเข้าด้วยกัน “ถ้าเพียงแค่คุณไม่พูดอะไรออกไปในเช้าวันนั้น เด็กหญิงชุดแดงคนนั้นมีโอกาสรอดชีวิตใช่ไหม -- มันทำให้คุณกลายเป็นเอวา หญิงปิศาจ อย่างที่พวกเขาพูดถึงจริงๆ” เขาพูดขึ้นมา ราวกับอ่านความคิดเธอได้ “คราวนี้ผมพูดถูกไหม -- คุณจะยังกล่าวหาว่าผมโกหกอยู่หรือเปล่า”
เอวากระชับชายผ้าคลุมแน่นขึ้นอย่างลืมตัว -- แวบหนึ่งเธออยากจะแสร้งเงียบต่อไป -- หากแต่สายตาที่มองมาของเมิฟกลับกระตุ้นอะไรบางอย่างในกายเธอ ให้ขยับริมฝีปาก แล้วเปล่งเสียงออกมาว่า “ฉันอายุยี่สิบสามปี ในตอนที่เข้าใจภาพที่ฝันเห็นเหล่านั้นเป็นครั้งแรก -- ตลอดที่ผ่านมาในวัยเด็ก ฉันคิดว่ามันเป็นแค่ความฝัน และเข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น มันเป็นเพียงเรื่องบังเอิญเท่านั้น ไม่ว่ามันจะเหมือนกับที่เห็นในฝันมากเท่าใดก็ตาม -- แต่แล้วในเช้าวันนั้น ฉันกลับมั่นใจ ว่าฉันเห็นอะไร --” เธอกระซิบ “ฉันเห็นเด็กหญิงคนหนึ่ง -- เด็กหญิงในฝันร้ายของฉัน --”
ร่างของเธอสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่อยู่ ในขณะที่ริมฝีปากยังคงเปล่งเสียงต่อไปว่า “คืนนั้นฉันฝันเห็นเธอ -- เดินอยู่บนชายหาด --”
พลันภาพแผ่นหลังของเด็กหญิงในชุดแดงก็ฉายชัดขึ้นในใจเธอ -- ร่างเล็กนั้นกำลังเดินอยู่บนหาดทราย เรือนผมสีดำยาวปลิวสยายไปตามแรงลม และคลื่นทะเลก็โถมซัดเข้าชายฝั่งมาจนถึงข้อเท้า --
“แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น --” เอวากระซิบ “เสียงนั้นดังสนั่น คล้ายกับดังมาจากที่ไหนสักแห่งที่อยู่ไกลออกไป -- เสียงนั้นดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ -- มาพร้อมกับกระแสลมอันรุนแรง แล้วคลื่นทะเลก็เริ่มโถมซัดเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง -- แล้วเด็กหญิงคนนั้นก็ค่อยๆหันมา -- ตอนนั้นเอง ที่ฉันได้เห็นหน้าของเธอชัดๆ --”
“คุณเห็นอะไร” เมิฟกระซิบถาม “คุณฝันเห็นอะไร --”
เอวาหลับตาลงแน่น “ใบหน้าเล็กๆนั่นขาวซีด อืดพอง และในเบ้าตาคู่นั้นก็ไม่มีอะไรนอกจากดวงตาสีขาวโพลน!” เธอหอบหายใจ เมื่อภาพนั้นฉายชัดขึ้นในหัวเธออีกครั้ง “ผิวของเด็กหญิงคนนั้นเปื่อยยุ่ย เต็มไปด้วยบาดแผลลึกไปจนถึงเส้นเอ็น และกระดูก -- เธอดูราวกับศพที่เดินได้ -- ราวกับคนตายที่ถูกปิศาจเข้าสิง --” เอวาลืมตาขึ้น “แล้วฉันก็ตื่นขึ้น -- ชั่วขณะหนึ่ง ฉันภาวนาให้ทุกอย่างจบลงแค่นั้น ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าฝันร้าย -- แต่ในใจฉันรู้ดี ว่ามันไม่เป็นแบบนั้น -- เด็กหญิงคนนั้นจะไปใกล้ชายทะเลในวันนั้นไม่ได้เด็ดขาด -- ฉันยอมให้เธอไปไม่ได้ ฉันทำใจไม่ได้ --”
คำพูดของเอวาขาดห้วงไป เธอหอบหายใจอย่างรุนแรงในตอนที่พึมพัมออกมาอย่างแผ่วเบาว่า “ตอนเช้าเธอเป็นเพียงเด็กหญิงที่แข็งแรง และเต็มไปด้วย -- ชีวิตชีวา -- แต่เพราะฉันเอ่ยมันออกมา มันถึงทำให้เธอหวาดกลัวว่าดวงชะตาจะขาด -- หวาดระแวงไปทุกอย่าง ราวกับถูกต้องสาปก็ไม่ปาน” เอวาสบตามองเมิฟ “เป็นเพราะฉันเตือนเธอในเช้าวันนั้น -- เย็นวันนั้น เธอจึงถูกพ่อแม่พาไปยังชายหาด เพื่อต้องการพิสูจน์ว่าฉันคิดผิด -- พวกเขาพาเธอไปยังชายหาดนั้น แค่เพื่อต้องการจะพิสูจน์ว่าทะเลทำอะไรลูกสาวพวกเขาไม่ได้ และคำพูดของฉันไม่ได้เป็นอะไรนอกจากเรื่องโกหกเพ้อเจ้อเท่านั้น -- ฉันพยายามห้ามพวกเขา พยายามบอกว่าชะตากรรมลูกสาวพวกเขาจะจบลงอย่างน่าเศร้าและสยดสยองเพียงใด หากเข้าไปใกล้ชายทะเลในวันนั้น หากแต่ไม่มีใครฟังฉัน -- ไม่มีเลยสักคน --”
เอวาพยายามกลั้นเสียงสะอื้นในลำคอ ภาพใบหน้าที่หัวเราะเย้ยหยันเธอแล่นผ่านเข้ามาในห้วงความทรงจำ “ไม่มีใครเชื่อว่าวันที่เริ่มต้นด้วยเช้าอันสดใสเช่นนั้น จะมีพายุเข้ามาจากทางชายฝั่งได้อย่างไร -- แต่ฉันเห็นมันชัดเจนยิ่งกว่าใคร --” ดวงตาของเอวาลอยเคว้งไปชั่วขณะ “แต่แล้วเธอก็จมน้ำตายในเย็นวันนั้น -- วันที่ไม่มีใครคิดว่าจะมีพายุเข้า วันที่ไม่มีใครคิดว่าจะมีคลื่นยักษ์ และพัดรุนแรงยิ่งกว่าวันไหนๆ -- ไม่มีใครพบศพของเด็กหญิงผู้น่าสงสารคนนั้น จนกระทั่งในอีกหนึ่งสัปดาห์ถัดมา -- เธอถูกพัดไปติดอยู่กลางโขดหินเป็นสัปดาห์ เธออืดพองจากน้ำทะเล และเต็มไปด้วยบาดแผลลึกจากก้อนหินแหลม” เอวากำชายผ้าคลุมแน่น เมื่อเห็นใบหน้าเล็กนั่นฉายชัดขึ้นมาในใจ “ใจหนึ่งฉันรู้ดีว่าฉันเตือนเธอแล้ว -- แต่อีกใจหนึ่งฉันก็รู้ดียิ่งกว่าใคร ว่ามันอาจจะมีโอกาสให้เธอรอด -- ถ้าไม่ใช่เพราะฉันพูดถึงความตายของเธอ เธออาจจะไม่ได้ถูกบังคับไปชายทะเลในวันนั้น -- โอกาสรอดของเธอไม่ได้มีมากมาย มันมีแค่อาจจะรอด แต่ฉันก็ทำลายโอกาสอันริบหรี่นั่นทิ้งไป -- ทั้งๆที่มันไม่ใช่สิทธิ์ของฉันเลย”
เอวานิ่งเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะกระซิบแผ่วเบาว่า “และหลังจากนั้น ฉันไม่พูดถึงสิ่งที่ฉันฝันเห็นกับใครอีกเลย”
เกิดความเงียบขึ้นภายในห้อง หลังสิ้นคำสารภาพของเอวา
เมิฟเฝ้ามองหญิงตรงหน้าที่ตัวสั่นระริก และดูตัวหดเล็กลงจนเหลือเพียงไม่กี่ฟุต จนแทบจะจมหายไปในผ้าคลุมตัวเก่าๆผืนนั้น “ขอบคุณที่ยอมเล่าให้ผมฟัง” เขาพูดอย่างนุ่มนวล
เอวาพยายามปรับลมหายใจตนเองให้เข้าที่ นึกประหลาดใจ และสับสนในขณะเดียวกัน ที่พบว่าตนยอมเล่าเรื่องทุกอย่างออกมาให้ชายตรงหน้าฟัง -- และยิ่งกว่าความรู้สึกอันสับสนนั้น คือความรู้สึกคุ้นเคยบางอย่าง ที่เธอรู้สึกในทุกครั้งที่สบตามองเขา
“นั่นทำให้คุณถูกคนในเมืองพากันรังเกียจหรือ” เสียงทุ้มต่ำของเมิฟดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ “นั่นเป็นจุดเริ่มต้นให้คุณถูกขับไล่ และไล่ต้อนให้คุณมาจบลงในบ้านหลังนี้หรือ”
เอวาก้มหน้า ยกมือขึ้นปิดใบหูตนเอง ราวกับพยายามปิดกั้นบรรดาเสียงสาปแช่งอันรุนแรงทั้งหลายในอดีตที่แว่วได้ยินขึ้นมา
นางแม่มด! ปิศาจร้าย! เอาชีวิตลูกสาวฉันคืนมา!
แต่แล้วเสียงทุ้มต่ำของเมิฟก็ดังแทรกขึ้นมา “คราวนี้คุณต่างหากที่โกหก” เขาเอ่ย “คุณไม่ได้เก็บเรื่องที่คุณเห็นในความฝันไว้กับตัวเองอย่างที่บอกหรอก จริงไหม”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in