เอวานิ่งไปนาน หลังจากได้ยินคำสารภาพนั่น
เธอเฝ้ามองท่าทีที่เปลี่ยนไปของเมิฟ -- มือหนาที่ประสานกันบนตักสั่นระริกเล็กน้อย เขาถูแหวนนิ้วก้อยตนเองไปมา และสีหน้าอันเรียบเฉยก่อนหน้า ก็ปรากฏให้เห็นถึงความเศร้าเสียใจอย่างสุดแสน
“ผมเคยคิดว่าถ้าเรามีเวลาอยู่ด้วยกันมากกว่านี้” เขากระซิบ “เราอาจจะจดจำกันได้มากกว่านี้ และอะไรๆก็อาจจะเปลี่ยนไปได้มากกว่านี้ --”
เมิฟเสยเรือนผมสีแดงเพลิงของตนไปให้พ้นใบหน้า ดูเหม่อลอยไปชั่วขณะ “ถ้าไม่ใช่เพราะผม ผู้หญิงคนนี้ก็คงไม่ตาย และถ้าผู้หญิงคนนี้รักผมน้อยกว่านี้อีกสักนิด เธอก็คงยังมีชีวิตอยู่ต่อไป” เขาพึมพัมออกมา “มีชีวิตที่เป็นอิสระจากทุกๆสิ่ง และทุกๆอย่างที่รั้งเธอเอาไว้ -- ”
เอวารู้สึกสั่นสะท้านไปกับน้ำเสียงที่ฟังดูเศร้าแทบขาดใจของชายตรงหน้า
“มันเป็นคืนหนึ่งในเดือนพฤศจิกายน” จู่ๆเขาก็พูดออกมาอีกครั้ง “เหมือนกับคืนนี้ -- มันเป็นคืนที่มืด และเลวร้าย” มือทั้งสองประสานกันแน่นราวกับกำลังประหม่า และทำตัวไม่ถูก “เป็นเพราะผม เธอจึงเสียเลือดมากเกินไป -- เจ็บปวดมากเกินไป -- มันทำให้เธอทนพิษบาดแผลไม่ไหว -- ถ้าผมไม่ทำให้เธอสาหัสถึงเพียงนั้น เธอจะมีโอกาสรอดไหม ถ้าเธอไม่ทรมานถึงปานนั้น เธอจะยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า --”
เขากำลังพูดถึงใครกัน --
ใครคือผู้หญิงที่เขารัก --
ผู้หญิงคนไหนที่เขาลงมือฆ่าไป --
“ผมคิดถึงแม่” เมิฟพูดต่อไป “ถ้าเลือกได้ ผมคงไม่อยากทำให้แม่ตาย ถ้ามีทางเลือก ผมคงเลือกที่จะช่วยให้แม่มีชีวิตอยู่ -- ผมไม่ปรารถนาสิ่งอื่นใดแล้วในชีวิตนี้ นอกจากให้แม่รอดชีวิตในคืนนั้น --”
เอวาแทบลืมหายใจไปกับคำสารภาพที่ตนได้ยิน
“และเพราะผมคิดถึงแม่มาก ผมถึงตัดสินใจเดินทางกลับมาที่บ้าน -- ที่ที่ผมเกิด -- มาเจอแม่อีกครั้ง -- ไม่ว่ามันจะเป็นอย่างไรก็ตาม มันถึงเวลาแล้วที่ผมต้องตัดสินใจ ว่าผมจะกลับมา หรือจะปล่อยให้แม่เป็นเพียงอดีต และผมรู้ว่านี่คือเวลาที่ผมต้องตัดสินใจแล้ว -- เป็นครั้งเดียวและครั้งสุดท้าย -- ไม่อย่างนั้นแล้ว ผมอาจจะสูญเสียแม่ไปตลอดกาลจริงๆ --” เขาพึมพัมอย่างรัวเร็ว “และการกลับมานี่ ก็ทำให้ผมมีอะไรให้จดจำเกี่ยวกับท่านมากกว่าเดิม -- ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าแม่เป็นคนสวยมาก และเงียบมาก -- ” เมิฟหอบหายใจ “และผมหวังว่าผมจะมีโอกาสให้ท่านรู้จักผมมากกว่านี้ พอๆกับที่ผมอยากจะมีโอกาสรู้จักท่านมากกว่านี้ -- แม่ผมรู้ทุกสิ่ง และเห็นทุกอย่าง แม่ผมรู้เสมอว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นในภายภาคหน้า -- เธอรู้เรื่องแบบนี้เสมอ --” จู่ๆเสียงเขาก็ขาดห้วงไป ดวงตาคู่นั้นคล้ายจะเหม่อลอยไปชั่วขณะ
เอวาจ้องมองใบหน้าที่ทุกข์ระทมนั่น
“คุณฆ่าท่านทำไมหรือ --” เธอตกใจที่ได้ยินเสียงตนเองถามออกไป “ในเมื่อคุณรักท่าน -- คุณรักแม่ของคุณ --”
“ผมรักท่าน ผมรู้ว่าผมรักท่าน และจะรักท่าน -- ไม่ว่ามันจะเป็นอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคตก็ตาม -- ผมรู้ว่าผมจะรักท่านแบบนั้นเสมอ” เมิฟกระซิบตอบอย่างหนักแน่น เขาแหงนหน้าขึ้นจ้องมองเพดาน จมดิ่งอยู่ในห้วงคำนึงของตนเอง “และในบางครั้ง สิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว คุณก็ไม่สามารถเปลี่ยนให้มันเป็นอื่นไปได้ -- ไม่ว่าจะเป็นคุณ เป็นนักบุญโจนาห์ หรือจะเป็นใครที่ยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่านักบุญโจนาห์ก็ตาม -- และในบางครั้ง สิ่งที่ผมทำ มันก็ซับซ้อนเกินกว่าที่ใครจะนึกได้ -- และมากเกินกว่าที่ใครจะเข้าใจได้ --” ใบหน้านั้นขยับหันมาจ้องมองเธอนิ่ง “หลังจากคืนนั้น ผมถึงรู้ตัวว่าผมไม่เคยเห็นอะไรอื่นอีกเลย ไม่ว่าจะเป็นปัจจุบัน หรืออนาคต -- สำหรับผมแล้วมันมีเพียงการย้อนกลับไปยังอดีตของตนเองเท่านั้น ไปยังที่บ้านหลังนั้น ที่ที่มีแม่รอผมอยู่ --” เขาหรี่ตาเล็กน้อย “คุณเข้าใจที่ผมพูดไหม --”
เอวานิ่งไปเล็กน้อย
“ผมจะได้รับการให้อภัยไหม” เมิฟถาม เสียงอันทุ้มต่ำนั่นคล้ายจะดังขึ้นกว่าเดิม “คุณจะอภัยให้ผมไหม -- ได้โปรดตอบผมเถอะ ว่าคุณให้อภัยผม --”
เอวารู้สึกปวดใจไปกับคำพูดที่คล้ายจะวิงวอนของอีกฝ่าย -- สีหน้าของเมิฟที่จ้องมองมานั้น ดูเปราะบางจนแทบจะแตกสลายได้ หากเธอพูดปฏิเสธออกไป -- เอวารู้สึกประหลาดใจที่พบว่าตนเองไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวชายตรงหน้าอย่างที่ควรจะเป็น
เธอควรจะนึกสาปส่งเขาต่อบาปกรรมที่เขาก่อ และขับไล่เขาออกไปจากบ้านของโจนาห์
แต่แล้วเธอกลับรู้สึกสงสาร และอยากให้เขาได้รับการให้อภัยในสิ่งที่ได้ทำลงไป จนส่วนหนึ่งในจิตใต้สำนึกของเธอแทบจะร่ำร้องสวดมนต์ภาวนาออกมาให้เขา ทั้งๆที่เธอไม่ได้รับรู้ถึงเหตุผลในการกระทำของเขาเลยสักนิด
ในที่สุดเอวาก็พยักหน้ากลับไปอย่างช้าๆ
และนั่นทำให้สีหน้าของชายหนุ่มดูโล่งใจในบางอย่างขึ้นมา ราวกับว่าสิ่งที่เขาต้องการมากกว่าการสารภาพนั้น ก็คือการได้รับการให้อภัยจากเธอ -- เมิฟดูเหมือนจะจมดิ่งสู่ห้วงความคิดของตนเองอีกครั้ง -- คราวนี้จมดิ่งไปเนิ่นนาน --
เขามองไปตามห้องนั่งเล่นขนาดเล็กอันมืดสลัวแห่งนี้ ดวงตาสีเขียวกวาดมองไปตามผนังห้องอันว่างเปล่า และเครื่องเรือนไม่กี่ชิ้นภายในห้อง -- อันที่จริงมันแทบไม่มีอะไร นอกจากเก้าอี้บุนวมตัวเล็ก พรมผืนเก่า และตะเกียงดวงนี้เท่านั้น
“ข้อเท้าคุณเป็นอย่างไรบ้าง” เขาถามขึ้นมา
เอวาลองขยับมันเล็กน้อย ก่อนจะพบว่าความปวดได้บรรเทาขึ้นบ้าง หากแต่ยังคงรู้สึกรวดร้าวเกินกว่าจะออกแรงลุกขึ้นได้
เมิฟดูพอใจที่เธอดีขึ้น
เธอลองขยับข้อเท้ามากขึ้น นึกดีใจที่ความเจ็บปวดทุเลาลงไปมาก เมิฟไอออกมา ก่อนจะถามเธอต่อว่า “คุณหิวไหม ให้ผมทำอะไรให้คุณทานไหม”
เอวาส่ายหน้า
“คุณหนาวไหม”
เอวาส่ายหน้า
“มีอะไรที่อยากให้ผมช่วยคุณไหม” เมิฟถาม ผายมือทั้งสองข้างออกมาเบื้องหน้า “ถ้าคุณหิว ผมจะไปตัดขนมปังมาให้คุณ ถ้าคุณหนาว ผมจะก่อไฟให้คุณ --”
เอาวายังคงส่ายหน้า จ้องมองชายหนุ่มตรงหน้านิ่ง -- ใบหน้าที่รกครึ้มไปด้วยหนวดเครานั่นคล้ายจะอ่อนโยนมากขึ้น เงามืดในดวงตามลายหายไป จนดวงตาสีเขียวคู่นั้นแทบจะกลายเป็นประกายเจิดจ้าท่ามกลางความมืดสลัวรอบตัว
และนั่นก็กลับกลายเป็นแรงกระตุ้นให้เธอหลุดปากถามเขาออกไปว่า “มันรู้สึกอย่างไรหรือ”
ชายหนุ่มมองเธอ “คุณหมายถึงอะไร” เขาถาม “รู้สึกอย่างไรที่ได้พรากชีวิตของคนที่คุณรัก และอยากจะรักมากขึ้นน่ะหรือ --”
เอวานิ่งคิดหาคำพูดเล็กน้อย “คุณรักแม่ของคุณมาก” เธอกระซิบออกมา -- เขารักแม่ของเขา นั่นเป็นความจริง -- ต่อให้เขาจะทำให้แม่พบกับความทรมาน หรือถึงแก่ความตาย แต่มันเป็นความรักไม่ผิดแน่
นั่นเป็นเพียงเรื่องเดียวที่เธอสัมผัสได้ว่าเขาพูดความจริง ในบรรดาเรื่องทั้งหมดที่เขาโกหกเธอ
“มันเป็นอย่างไรหรือ -- ความรัก” เอวาถาม
ชายหนุ่มไม่ได้ตอบคำถามเธอในทันที นอกจากมองเธอนิ่ง “ทำไมคุณถึงถามผมแบบนั้น”
เอวานิ่งคิดหาคำตอบ -- นั่นอาจจะเป็นเพราะเธอไม่เคยรู้สึกเป็นที่รักมาก่อน -- แต่เธอกลับไม่กล้าตอบออกไป -- นั่นอาจจะเป็นเพราะเธอไม่เคยรู้สึกรักใคร หรือได้รับความรักจากใครมาก่อน --
ทว่าอีกฝ่ายก็ไม่ได้คาดคั้นเอาคำตอบจากเธอ
“คุณจะเห็นเอง” เขาตอบสั้นๆ ริมฝีปากอิ่มภายใต้หนวดเครานั่นยิ้มออกมาเล็กน้อย “เชื่อผมสิ”
เอวานิ่งฟังคำพูดอันแปลกพิกลของชายตรงหน้า รู้สึกประหลาดอย่างบอกไม่ถูกเมื่อถูกเขาจับจ้องมองมา -- มันไม่ได้น่ากลัว หรือสร้างความอึดอัดให้กับเธอ ในทางตรงกันข้าม แววตาของเขาดูเป็นมิตร และอ่อนโยน -- เป็นแววตาที่ดีที่สุดเท่าที่ใครจะเคยมองเธอมา หากแต่มันกลับสร้างความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างให้แก่เธอเช่นเดียวกัน
แปลกนักที่เธอรู้สึกเช่นนี้กับชายที่เคยฆ่าแม่ตนเอง --
ห้องเล็กๆตกอยู่ในความมืดและความเงียบเชียบอีกครั้ง ไม่มีใครขยับตัว หรือพูดอะไรออกมา จนกระทั่งเป็นเขา ที่พูดทำลายความเงียบขึ้นมาว่า “แล้วคุณล่ะ”
เอวาละสายตาจากดวงตะเกียงตรงหน้า เงยหน้าขึ้นสบตามองอีกฝ่าย
“อะไรทำให้คุณซ่อนตัวอยู่ที่นี่ เอวา” เมิฟกระซิบถาม
เอวานิ่งไปครู่หนึ่ง เพิ่งรู้สึกตัวในนาทีนั้น ว่าตนเผลอวางใจต่อชายคนนี้นานเกินไป เธอกระแอมออกมาเบาๆ ก่อนจะหาเสียงตัวเองเจอ “ฉันไม่ได้ซ่อน --”
เมิฟมองไปตามเรือนผม ผิวกาย และชุดกระโปรงของเธออย่างเปิดเผย “คุณผอม และซีดเซียว ราวกับไม่ได้ออกไปข้างนอกมาเนิ่นนานหลายปี -- คุณอ่อนแรง และเหน็ดเหนื่อย ราวกับหวาดกลัวอะไรสักอย่างอยู่ตลอดเวลา -- คุณสวมชุดที่ตัวใหญ่โคร่งเกินไป และโทรมเกินไป ราวกับไม่ได้รับการดูแลใส่ใจมานาน -- คุณระวังตัวจากผม ในทุกครั้งที่ผมขยับตัว ราวกับกลัวว่าผมอาจทำร้ายคุณได้ทุกขณะ -- และไม่มีอะไรในบ้านหลังนี้ นอกจากความมืด และความโดดเดี่ยว -- มันแทบจะเป็นบ้านร้าง แต่กระนั้นคุณก็ยังยอมทนอยู่ที่นี่ ราวกับไม่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้ --” เมิฟโน้มร่างข้ามดวงตะเกียงมาใกล้เธอยิ่งขึ้น “คุณกำลังซ่อนตัวจากโลกภายนอก เอวา -- คุณหนีทุกคนและทุกอย่าง มาอยู่ภายใต้เงาของโจนาห์ คุณอาจจะปฏิเสธ แต่ผมรู้ตัวว่าผมกำลังมองเห็นอะไร และพูดอะไรอยู่”
เอวาแสร้งเบือนหน้าหนี ไม่กล้าสบตามองชายตรงหน้า ราวกับกลัวว่าแสงตะเกียงอาจเผยความรู้สึกนึกคิดภายในใจของเธอได้
ความเจ็บปวดที่ข้อเท้ากำเริบขึ้นมาอีกครั้ง จนเธอต้องรีบยกแก้วยาจรดริมฝีปาก แล้วดื่มมันเข้าไปอีกอึกใหญ่
“อะไรทำให้คุณต้องระวังตัวจากผมขนาดนั้น --”
เมิฟไอออกมาดังขึ้นกว่าเดิม ก่อนจะปิดริมฝีปากตนเองแน่น
ตอนนั้นเองที่เธอเห็นรอยอะไรบางอย่างบนพื้นไม้ข้างตัวเธอ -- มันคือรอยบุบ ราวกับถูกอะไรบางอย่างที่หนาหนักทุบลงไปอย่างแรง
เอวาเอื้อมมือไปสัมผัสรอยไม้นั้น ก่อนจะรีบยกมือออกอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกบางอย่างในตัวเธอกำลังร้องบอกเธอว่านี่คือแรงทุบเดียวกันกับที่ทุบลงบนข้อเท้าเธอ!
เกิดอะไรขึ้นเมื่อตอนค่ำ ก่อนเธอสลบไปกัน
เอวาเผลอกำชายผ้าคลุมในมือ จ้องมองอีกฝ่ายโดยไม่ละสายตา พยายามเก็บอาการไม่ให้เขารู้ว่ายิ่งเขาพูดมากขึ้นเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัวในอะไรบางอย่างมากขึ้นเท่านั้น
“คุณไม่ดื่มยาให้หมดหรือ” เขาเงยหน้าขึ้นถาม
คราวนี้เธอไม่กล้าแม้แต่เอื้อมมือไปสัมผัสขอบแก้ว
เมิฟมองท่าทีที่หวาดกลัว ระวังตัว และไม่ไว้ใจของหญิงสาวอย่างเงียบๆ เขาก้มลงมองฝ่ามือตนเอง ก่อนจะกระซิบถามออกมาว่า “บาปคุณหนักหนาขนาดนั้นเลยหรือ เอวา”
“ทำไมคุณถึงถามฉันแบบนั้น” เอวาถามกลับไปเสียงเบาหวิว
“บาปคุณหนักหนาถึงขั้นที่นักบุญโจนาห์จะไม่ยินยอมให้อภัยคุณเลยหรือ” อีกฝ่ายถามต่อไป “แม้แต่นักบุญโจนาห์ที่ทุกคนในเมืองบูชา แม้แต่ในบ้านอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ก็ยังไม่อาจอภัยให้คุณได้เลยหรือ”
“อย่าพูด --” เอวาพูดแทรกขึ้น ราวกับทนฟังไม่ไหวอีกต่อไป “ไม่ว่าคุณจะได้ยินเรื่องอะไรเกี่ยวกับฉันมา ได้โปรด อย่าพูดถึงเรื่องของฉันอีกเลย --” เอวากระซิบ “อย่าพูดถึงบาปอันน่ากลัวของฉัน!”
เมิฟยกมือถูสันกรามตนเองไปมา หลุบมองพื้นไม้กระดาน ถอนลมหายใจออกมายาวเหยียด “ผมรู้ว่าบาปของคุณคืออะไร” เขากระซิบ “ผมรู้ว่าคุณลืมเด็กหญิงชุดแดงคนนั้นไม่ได้ -- เด็กหญิงที่คุณเคยฝันถึง และยังคงตามหลอกหลอนคุณมาจนถึงทุกวันนี้ --”
เอวารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างกะทันหันกับสิ่งที่เมิฟพูดออกมา
เธอเผลอกระชับผ้าคลุมเข้ากับตัวอย่างลืมตัว เมื่ออีกฝ่ายหยุดหอบหายใจจากการไอ แล้วหันมาถามเธอว่า “ถึงตอนนี้ คุณอยากจะสารภาพบาปกับผมไหม เอวา” เขากระซิบ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in