“มองเห็นหรอกเหรอ” เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเข้มไหวมือย้ายทิศไปมา ขณะดวงกลมโตสีนิลตรงหน้าจ้องเขม็งกลับมาทางเขา
ในตอนลองยกนิ้วจิ้มปลายจมูกโค้งมนนั่น เขาก็ดูเป็นพนักงานออฟฟิศธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่ก็แค่กำลังคิดระหว่างทางว่าจะซื้ออะไรกลับไปกินที่อพาร์ตเมนต์เป็นมื้อเย็นดี
“อ้าว ไม่เห็นนี่” ปลายนิ้วครึ่งค่อนข้อจมหวืด ผ่านพวงแก้ม สันกรามใบหู ทะลุไปถึงกะโหลกศีรษะ ก่อนผลุบโผล่นิ้วทั้งห้าออกมาจากท้ายทอย เหยียดแรงต้านหนืดเหนือจุดโน้มถ่วงลอยเคว้ง ค้างนิ่ง เวิ้งว้าง เหมือนอย่างที่เคยพยายามจะประคองชายท่าทางเมาปลิ้นบนรถไฟฟ้าใต้ดิน หลังเพิ่งรู้ตัวว่าร่างโปร่งแสงประหลาดตานี้กลายเป็นวิญญาณของโลกหลังความตายไปแล้ว แต่ผู้ชายหน้าตาเหมือนหลุดออกมาจากลายเส้นตัวประกอบมังงะก็ตอบคำถามของเขาเพียงแค่เว้นระยะองศากระพริบตาเป็นปรกติ จนชายหนุ่มอดขวยเขินกับท่าทีคิดเข้าข้างตัวเอง เพราะเข้าใจผิดต่อหน้าคู่สนทนาไม่ได้
“เขาหาอะไรอยู่”
“ไม่รู้สิ เห็นบอกว่าผีตอนชี้มาทางผม” ชายหนุ่มถอนหายใจ กล่าวต่อหญิงชราข้างกายที่แค่ผ่านมาดื่มโกโก้ร้อนของโรงเตี๊ยม ก่อนเธอจะข้ามไปสะพานโลกหน้า หลังยังพอหลงเหลือช่องว่างอายุขัยระหว่างโลกวิญญาณกับโลกมนุษย์ เนื่องเพราะเธอยังติดค้างบ่วงบางอย่างให้กลับไปแก้ไขราว ๆ สัปดาห์ การติดต่อนั้นก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร ในโลกหลังความตายของอมนุษย์ จะมีตู้โทรศัพท์กลางโรงเตี๊ยมให้ เฉพาะสำหรับคนที่เสียชีวิตช่วงแรกส่วนใหญ่จะยังไม่รู้ตัว แต่เมื่อได้ตระหนักว่าของติดตัวที่แม้แต่จะหยอดเหรียญติดต่อปลายสายถึงครอบครัวยังไร้หนทาง พวกเขาก็จะพากันยอมแพ้ไปเอง แล้วเอาความดีหนึ่งสิ่งมาแลกแทนอย่างไม่อาจเลี่ยง
“สงสัยผมคงหูฝาด” ชายผมยาวเอ่ยพลางส่ายศีรษะ จนหางม้าสั้น ๆ ด้านหลังชี้กระโด่กระเด่ไปตามแรงไหว
ใครจะไปรู้ว่าคนเราสามารถตายง่าย ๆ แค่เสี้ยววินาที ก่อนข้ามถนนไปตัดผมที่พยายามปล่อยยาวมาเป็นปี
“แล้วเธอมารอคิวข้ามสะพานเหมือนฉันเหรอ”
เขาส่ายหน้า ชี้ข้อนิ้วตึงขึงไปยังผู้ชายที่เพิ่งจะเดินสวนทางมา ปลายเท้าแคบสั้นของเขาคนนั้นเริ่มทิ้งระยะห่างบนทางเท้าของโลกความเป็นจริงในร้านราเมนกับโรงเตี๊ยมในโลกวิญญาณออกจากกันทีละคืบ “ผมยังไม่ได้บอกลาน้องชาย”
หญิงชรากุมรอบขอบมนเนื้อแก้วเคลือบอีนาเมล จนไอร้อนไม่สามารถหลุดสู่ห้วงสุญญากาศเหมือนอย่างเคย ข้างใต้กายโปร่งที่มีสิทธิพิเศษเหนือกว่าอาหารทิพย์ “ใกล้จะเช้าแล้ว ทำไมไม่รีบโทรล่ะ” เธอหันมาสบจิวห่วงสีเงินเรียงรายข้างใบหูของชายหนุ่ม วงรอบวัตถุทรงกลมยังหม่นสี แสงเช้าแรกของวันใหม่ค่อย ๆ คล้อยตัวลงมาแต่ยังส่องไม่ถึงเพียงเท่านั้น
ริมฝีปากสีซีดเม้มปิดจนเป็นระนาบเดียวกัน ขณะชั่งใจ ราวเรื่องนี้เป็นคำถามชิงรางวัลสำคัญ “ผมกลัว” ท้ายที่สุด สิ่งโกลาหลก็ถูกกร่อนเซาะออกมา ธารน้ำเชี่ยวพลั่งพรูเป็นสาย เมื่อเจอภาชนะใบใหม่ให้ทิ้งน้ำหนักพอประมาณ เพื่อกรองสิ่งสังเคราะห์ขุ่นมัวใต้ผิวคลื่นกระเพื่อม ราววังวนชั้นนั้นประกอบด้วยจังหวะเสียดสีของปีกแมลงปอ แม้องศาสะเทือนไหวเล็กน้อย กระนั้นกลับสั่นสะท้านหลายชั้นวง
“ผมกลัวว่าจะไม่กล้าหันหลังกลับ หรือบางที... ผมอาจจะกลัวจนไม่กล้าเผชิญหน้าเลยก็ได้”
“แล้วเธอรู้หรือว่าเขาจะตอบกลับยังไง”
เขารู้ตัวว่าลมหายใจออกของตัวเองไม่ได้ย้อนคืนถึงแม้มันจะไม่จำเป็นกับร่างโปร่งเบา
ริมระเบียงชั้นดาดฟ้าทอประกายแสงรุ่งอรุณทีละน้อย ราวชักดึงม่านหลังฉากเลิกขึ้นเหนือการแสดงละครจากละครเวทีประจำปีของโรงเรียนที่เขาพยายามจะทำความเข้าใจ เมื่อรู้ว่าเด็กชายตัวเล็กและผอมบางกว่ากำลังจะขึ้นแสดงภาพสลักสำคัญปรากฏใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มเหมือนอย่างเคย ตอนไหวมือโบกเรียกชื่อของเขาเพียงลมปาก ‘ผมทำได้ดีไหม’
‘ดี’ ชายหนุ่มเหยียดยิ้มตอบ กดทับบางสิ่งบางอย่างข้างใต้เอาไว้ไม่ให้หลุดออกมาระหว่างคำพูด ‘ดีมาก’
เป็นคำพูดที่ไม่มีเสียง แต่เขาก็รับรู้จากการอ่านเดาหากแต่เสียงของพี่ยังคงดังก้องอยู่ในความฝัน
เขาเบิกตากว้าง ปลายหางปิดสนิทเมื่อครู่ยังคงรอยเปียกหมิ่นเหม่ ก่อนจะเหลือบเห็นแสงระยิบระยับ ทอประกายเจิดจรัสอยู่ไม่ห่างกรอบสายตา ยามแผ่ตัวแหงนมองผืนฟ้าที่เผลอตัวหลับไหล บนพื้นรองเบาะนั่งเหนือแผ่นไม้อัดแข็งอีกที ดาวฤกษ์ดวงใหญ่เรืองไสวกระพริบเรียก ส่งต่อตัวตนให้เขาสังเกตเห็น ‘คนเรา พอตายไปก็จะไปเกิดใหม่เป็นดาว’ ตอนเด็ก ยายของเขาเคยเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เธอคงไม่ได้เจาะจงให้หนึ่งในเราฟัง แต่พยายามพูดเสียงกังวาล เพื่อให้สองพี่น้องได้ยินมันแจ่มชัด ‘คิดถึง ก็แค่มองขึ้นไป’
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in