ระหว่างวิธีการเลือกเก็บความทรงจำเอาไว้ในรูปแบบ 'ภาพเคลื่อนไหว' กับ 'ภาพนิ่ง' แบบไหนนั้นดีกว่ากัน
นี่อาจเป็นหนึ่งในคำถามที่ทำให้นักเก็บความทรงจำด้วยอุปกรณ์บันทึกภาพอย่างผม จำต้องเก็บปริศนากลับมาขบคิดอยู่เป็นเวลานานหลายนาที
อาจเป็นเพราะว่า การกดชัตเตอร์เก็บภาพแต่ละครั้ง ในแต่ละสถานที่ หรือตามเฉพาะช่วงกาลแต่ละเวลา นั้นประกอบไปด้วยระยะห่างในความสัมพันธ์ของปัจจัยหลายๆสิ่งประกอบกัน
บางทีก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์และความรู้สึกของบุคคล บางครั้งสถานที่และช่วงเวลาที่พอเหมาะพอเจาะก็พาให้เราอยากหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายเก็บภาพเคลื่อนไหวของไทม์เฟรมนั้นๆ มากกว่าการกดชัตเตอร์แช่ไว้เพียงชั่วคราว
หลังจากนั่งคิดหาคำตอบอยู่นานสองนาน ผมก็ค้นพบว่าข้อดีของการเก็บความทรงจำไว้ด้วย 'ภาพเคลื่อนไหว' นั้น ทำให้เราสามารถรับรู้ถึง การดำเนินไปของบริบทรอบข้างและความรู้สึกนึกคิดในใจตัวเอง ตั้งแต่ ช่วงต้น ช่วงปลาย และช่วงปิดท้ายของภาพเคลื่อนไหวนั้นๆ
หลากหลายองค์ประกอบมีต้นกำเนิดมาจากแสงที่ตกกระทบ เสียงที่สะท้อน และสีสันของการเคลื่อนไหว บริบทรอบกายช่วยกันเสริมสร้างให้ภาพเริ่มมีการเคลื่อนที่จาก อดีต ปัจจุบัน และอนาคตนั้นดำเนินต่อไปได้อย่างเป็นฉากๆ
ความเปลี่ยนแปลงของไทม์เฟรมน้อยๆ ชวนให้อารมณ์ ความรู้สึก และความคิดค่อยๆเอนอ่อนไปตามกาลเวลา ความสุนทรีจากการไม่ยึดมั่นถือมั่นในรูปแบบเดิมๆ ค่อยๆแต่งเติมความนุ่มละไมให้แก่หัวใจตัวเอง
ข้อดีของการเก็บความทรงจำด้วยวิธีนี้ อาจเหมือนว่าเราได้ก้าวเข้าไปในโลกที่เคยเกิดขึ้นนี้ได้อีกหลายต่อหลายครั้ง และบริบทจากสิ่งแวดล้อมก็จะพาให้เราหวนไปนึกถึงความทรงจำเหล่านั้นได้ง่ายดายมากขึ้น ในทุกครั้งที่เปิดภาพเคลื่อนไหวดู
แต่พอหวนไปนึกถึงไทม์เฟรมในวินาทีสุดท้ายที่รู้ๆอยู่ว่ามันจะจบลงอย่างไร ก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังจมจ่อลงไปอยู่กับฉากสุดท้ายของภาพยนตร์ที่น่าติดตามอย่างเช่นเคย มันจะยังมีภาคต่ออยู่อีกหรือไม่ หรือฉากนั้นมันอาจจะยังจบไม่สมบูรณ์แบบที่อย่างตั้งใจ หรือว่ามันยังสามารถต่อเวลาได้อีกนิดนึงหรือไม่ จะยังพอมีโอกาสให้เราจะกลับไปแก้ไข แสง สี เสียง หรือแม้กระทั่งอารมณ์และความรู้สึกในตอนนั้นให้ดีขึ้นกว่าเดิมหรือไม่
ถึงแม้จะรู้สึกว่ายังมีโอกาสอยู่อีกสักนิด ที่คิดอยากเปลี่ยนแปลงไทม์เฟรมที่ไม่สวยให้ดีกว่าเดิมอีกสักหน่อย หลากหลายอารมณ์ที่เอนอ่อนไปกับความรู้สึกที่ไม่พอดี ชวนให้ความสุนทรีที่มีกลับลดน้อยลงไป
อยากปรับสีตรงโน้นอยากเปลี่ยนแปลงเสียงตรงวินาทีนี้ ทว่าความเป็นจริง ภาพเคลื่อนไหวในเวลานั้นได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว แท้จริงแล้วเราอาจจะไม่ได้ต้องการกลับไปแก้ไขตรงจุดที่เสียไปหรอก เราเพียงแค่ต้องการเริ่มต้นกับไทม์เฟรมใหม่ๆที่วาดหวังว่ามันจะสวยสดงดงามกว่าเดิม
ว่าไปแล้วการเก็บความทรงจำในรูปแบบภาพนิ่งก็มีข้อดีในแบบของมันเหมือนกันนะ
บางทีการนั่งมองภาพเดิมๆเหล่านั้นอยู่นานๆ ก็ทำให้เรานึกถึงเรื่องราวบางอย่างได้ดี บางครั้งเหมือนมันจะเคยเกิดขึ้น บางครั้งก็รู้สึกว่ามันเลือนลางอยู่ในความรู้สึก แม้เราไม่รู้ตัวเองด้วยซ้ำว่าวินาทีที่กดชัตเตอร์ลงไปนั้น อารมณ์หรือความรู้สึกของคนในภาพถ่ายหลังจากนั้นจะดำเนินต่อไปอย่างไร
บางครั้งผมเลือกที่จะลบภาพบางภาพที่ดูเบลอๆ ตัวแบบที่ดูยิ้มแบบไม่มีความสุขทิ้งไป เพราะเมื่อกลับมาดูภาพในสต๊อกภาพเก่าๆอีกครั้ง มันจะทำให้ผมได้พบเจอแต่ภาพรอยยิ้มที่สวยงามและน่าจดจำไปอีกแสนนาน
อาจเป็นเพราะ 'ภาพนิ่ง' ไม่มีการเคลื่อนที่จากอดีต ปัจจุบัน ไปสู่อนาคต
เมื่อไม่มีการเปลี่ยนแปลงภาพถ่ายจึงหลงเหลือไว้เพียงความรู้สึกดิบๆ ที่ไม่ต้องไปเสริมเติมแต่งเพิ่มใดๆได้อีก คล้ายกับระดับอารมณ์ที่ถูกสตาฟเอาไว้ในช่วงเวลาหนึ่งที่เพียงพอให้รู้สึกถึงกัน ภาพถ่ายที่หยุดนิ่งอยู่ตรงนั้นคงเพียงพอแล้วสำหรับช่วงเวลาหนึ่งๆที่ได้ผ่านพ้นไป
ผมไม่สามารถเลือกคำตอบที่ดีที่สุด หรือถูกที่สุด หากการเลือกเก็บความทรงจำในรูปแบบต่างๆ ต้องอาศัยปัจจัยหลายๆด้าน รวมถึงความรู้สึกของผู้ถ่ายทอดที่มีต่อความทรงจำนั้นๆ
บางความทรงจำเราก็อยากให้มันหลงเหลือไว้ซึ่งความรู้สึกที่ต้องสานต่อ หรือไม่บางที เราก็แค่ต้องการกลับไปมองเห็นช่วงเวลาเหล่านั้นนิ่งๆดูอีกอีกครั้ง เพื่อเข้าใจในคำตอบตามที่หัวใจของเราพึงปรารถนา
เพราะไม่มีสูตรสำเร็จสำหรับการเก็บความทรงจำไว้ด้วย 'ภาพเคลื่อนไหว' หรือ 'ภาพนิ่ง' เราจึงต้องสร้างสรรค์อารมณ์ ความคิด และชีวิต ในปัจจุบัน จากกาลเวลาในอดีต และนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในอนาคต
หากกล้องถ่ายรูปคืออุปกรณ์ชิ้นเอก ที่ช่วยให้มนุษย์เราสามารถบันทึกแต่ความทรงจำที่แสนดี ไม่ว่าจะเป็น 'ภาพเคลื่อนไหว' หรือ 'ภาพนิ่ง' เราพร้อมหรือยังที่จะมองเห็นความสุขที่เกิดขึ้นในวันนี้ไปด้วยกัน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in