เรื่องมีอยู่ว่า สาวคนนึงด้อมไปดู Dunkirk IMAX รอบแรก เช้าสุด 7:15am (เพราะรอบอื่นที่นั่งทันเต็ม ความจองช้านี่เอง) ด้วยความคิดว่าจะดูครั้งแรกและครี้งเดียว แต่กลับออกมาอาทิตย์นึงให้หลัง จองตั๋วทริปไปดันเคิกจริงๆให้รู้แล้วรู้รอด
เอาสิ ไหนๆก็อยู่นี่แล้ว ข้ามฝั่งไปเอง
(แต่จริงๆมันไม่ง่ายงั้นนะ)
แนบแผนที่ด้านล่างค่ะ
อิงหนังเลย เรานั่งบัสจาก London ไปขึ้นเรือที่ Dover เพื่อไป Calais เมืองริมฝั่งฝรั่งเศส ก่อนจะต่อรถไป Dunkirk (มีบริษัทเรือเดียวที่ผูกขาดเส้นทาง Dover- Dunkirk แต่ไม่รับผู้โดยสานทางเท้า จะรับแต่ที่มีรถเท่านั้น เสียดายมาก)
ตื่นเต้นตอนเห็นชื่อสถานที่นะ พกหนังสือ History Behind the Major Motion Picture ไปด้วย พอเห็นแล้วแอบอิน
เอาเป็นว่า ในที่สุดก็ไปถึงดันเคิกเฉียดเวลา Movie Walking Tour มากค่ะ ตอนบ่ายสาม กลางเมืองดันเคิกเป็นจัตุรัส Jean Bart สืบข้อมูลได้ว่า เป็น Naval Commander ที่นับถือของชาวเมืองใน 17th Century.
ต่อบัสไปลงที่ป้าย Kursaal ก็จะถึงหาด Malo Les Baines ที่ถ่ายทำหนังแล้วค่ะ
นี่แทบถ่ายไม่ทันเลย คิดดูก็น่าจะมีบรรยากาศมามากกว่านี้ แต่ฝนกระหน่ำแบบไม่ปรานี
บรรยากาศจริงๆก็เหมือน Seaside Town ทั่วไปค่ะ คล้ายๆ Brighton (หาดตรงนั้นน่าไปกว่า แต่หาดพี่ไทยสวยสุด)
ตรงตัว Malo Les Baines เอง มีถนนเรียบหาดยาว ร้านอาหารมากมาย แล้วก็ Tourist Office / ยืมรูปในเน็ทมา
(ทำไมเราไม่ได้อากาศงี้นะ555)
เอาละ เริ่มทัวร์กันเลย!
คุ้นๆมั้ยคะ ตอนไกด์พาเดินถนนนี้เราแทบจะกรี๊ด ตึกมันใช่ อะไรมันใช่ ใช่ไปหมดเลย นี่เราเดินถนนเดียวกับน้องฟินน์จริงๆ (กับทีมงานอีกหลายสิบคน555) รู้สึกว่าชื่อ Rue de Flandre ค่ะ เป็นถนนที่ติดริมหาด เดินเข้ามาจะเจอตึกเก่าๆพวกนี้เลย
เป็นสถานที่ถ่ายทำฉากแรกที่น้องวิ่งหนีออกจากเมืองนั่นเอง
อีกมุม
แน่นอนค่ะว่าต้องมี ฉากนี้ไกด์เล่าว่ากระสอบที่เห็นๆนั้นเต็มไปด้วยทรายกว่า 7000 กิโล แล้วจริงๆสมัยนั้นไม่มีการสู้กันกลางถนนค่ะ (No fighting in the streets) ส่วนใหญ่จะไปริมขอบเมืองมากกว่า ตอนถ่ายทำมีทีมงานกว่า 70 คนมาติดตั้ง ใช้ และ ย้ายอุปกรณ์ออกจากพื้นที่
ไกด์พาเราเดินไปเจอ Gate นึง…. และแล้วมันก็คือ
Gate ในเรื่องตอนที่น้องพยายามจะหนีการถูกยิงค่ะ
แต่ทีมงานสร้าง gate ใหม่มาทับไว้สำหรับการถ่ายทำ แล้วติดตั้งระเบิด explosives ไว้ข้างหลัง gate
เราเดินตามรอยที่ทอมมี่วิ่งมาจนสุดท้าย ก็จะเจอสองร้านที่มุมถนนค่ะ
ซึ่งโดนเปลี่ยนเป็นเบเกอรี่ในหนังเรียบร้อย
จากนั้นก็เดินเรียบหาดมาเรื่อยๆ ไปฝั่งตะวันออก
ตรงจุดที่ใกล้ๆ Lighthouse ตรงนั้นเองคือ East Mole ที่เหลืออยู่จากสมัยนู่น Mole ในหนังคือสร้างขึ้นใหม่หมด 300 เมตร แค่ค่าไม้ก็หมดไปไม่ต่ำกว่า 700 ยูโร
เรื่องของเรื่องคืออากาศวันแรกที่ถ่ายทำดีมาก ดีเหมือนอากาศปี 1940 วันหลังจากนั้นคือแย่ลงๆ จนบรรดา Extra ต้องเบรกบ่อยขึ้น บางทีขุดหลุมในทรายเผื่อซ่อนตัวและกัน Hypothermia แถมโนแลนไม่ได้บอก extra ให้รู้เรื่องระเบิด (Explosive) บางคนรู้แต่ว่าต้องหลบ นอนตัวลงที่ทราย พอระเบิดลงจริงคือตกใจมาก
แต่ทั้งหมดก็ทำให้ความเหนื่อย สีหน้าของ extra ในหนังดูสมจริงยิ่งขึ้น (เด็จพ่อโหดค่ะ ยอม)
Extra จะถูกแบ่งเป็นกลุ่มๆ สามสิบกลุ่มๆละห้าสิบคน แต่ละกลุ่มมีผู้นำ และสื่อสารกันด้วย walkie talkie แต่ละวันจะถูกเรียกตั้งแต่ตีห้า และทำงาน 8- 10 ชม.
ไกด์เล่าอีกว่า Moonstone เรือของลุงดอว์สันในเรื่องไม่ใช่เรือ Little Ship ของดันเคิกจริง เป็นเรื่องที่แต่งขึ้น แต่ก็มีเรือ Little Ship จริงๆหลายลำ ที่ร่วมแสดงในหนังด้วย (Little Ships เป็นคำเรียกเรือ Civilian ที่ไปรับทหาร ณ ดันเคิก)
สำหรับฉากเรือ ฉากในน้ำ ไม่ได้ถ่ายที่ดันเคิก แต่ถ่ายที่ Netherlands แทน เพราะไม่สามารถล่มเรือ ลงระเบิด ทำอะไรๆแบบในหนังได้ที่หาดนี้
มีอนุสรณ์ Dunkerque อยู่ด้วย
เดินสุดถนนริมหาด ข้ามสะพานมาเจอสองตึกนี้ ด้านขวาคือ Contemporary Art Museum แต่ระหว่างถ่ายทำเป็นที่อยู่ของช่างแต่งผม คอสตูม และอื่นๆ มีช่างแต่งผมเจ็ดคน รวมช่าง local จากในดันเคิกด้วย ตึกด้านซ้ายจะเปิดเป็น museum แสดง decors อุปกรณ์จากหนังวันที่สองสิงหานี้ (เสียดายจริงงงง) ใครไปเที่ยวก็ไปได้นะคะ :D
สุดท้ายแล้วเราก็เดินลงมาเจอ museum dunkerque 1940 อันนี้คุ้มมาก เป็น museum เล็กๆ เวลาเดินนี่ขึ้นอยู่กับคนสนใจ ของจริงๆจากสงคราม ทั้งระเบิด เครื่องแบบทหาร หมวก แจ๊กเก๊ตนักบิน ทุกอย่างเต็มไปหมด ถ้ามีเวลาแนะนำเดินนานๆเลยค่ะ เรารีบออกไปข้างนอก เดินถ่ายรูปต่อ เมื่ออากาศยังดีอยู่ (เพราะเสียวฝนตกทุกเมื่อมาก)
มีโมเดลดันเคิกด้วย
นี่แค่ส่วนนึงเท่านั้น
เดินกลับจาก museum มาถ่ายรูปนี้ได้เป๊ะพอดี ดีใจมาก เพราะรูปอื่นๆดูยาก จะถ่ายแปะกับหนัง scale ฟอร์มนี้ ต้องถ่ายได้กลางถนนถึงจะได้มุมกล้องเหมือน และอุปกรณ์อื่นๆในฉากที่สามทหารหนุ่ม กิ๊บสัน ทอมมี่ อเล็กซ์นั่งริมหาดเอย หรือทอมมี่เดินออกมาเจอคิวทหารยาวเหยียดเอง ถูกทีมงานเนรมิตขึ้นมาทั้งนั้นให้เหมือนสภาพหาด 1940 ถ่ายยังไงก็ไม่เห็น
อย่างน้อยเราก็เจอตึกนี้ เย้!
แน่นอนว่าทำหนมปังทาแยมไปกินด้วย (ไม่ได้ปิ้งไป แถมซื้อ rye bread เพื่อสุขภาพอีก …ปกติไม่ได้เน้นกินปังเลย)
แต่เหมือนฝนจะรู้ใจ เพราะถ่ายรูปเซ็ทริมหาดเสร็จปั๊ป ตกลงมาเป็นพายุ ชนิดที่กระหน่ำแรงมาก จนตัวเปียกปอน ต้องวิ่งไปหลบสักพัก
ที่ประทับใจคือเรากลับไป Tourist Office ที่ในเมือง แล้วแอบเลียบๆเคียงๆถามเจ้าหน้าที่ว่า พอจะมีโปสเตอร์หนังเหลือมั้ย (Don’t suppose you have extra copies of the poster…?) แล้วนางก็ใจดีให้เราอันนี้เลย
โปสเตอร์ดันเคิก จากดันเคิก
ซึ้งมาก ฮืออออ
ขากลับนั่งรถรีบมาขึ้นเรือจาก Calais – Dover แล้วต่อแทกซี่จาก ท่า Dover มาสถานีรถไฟกลับ London มาถึงรถไฟฉิวเฉียดประมาณสองนาที ตอนนั้นสภาพคือเปียก และเหนื่อยมาก
ที่ลำบากที่สุดคือแต่ละเมือง ทั้ง Calais และ Dover สถานีรถไฟอยู่ห่างจากท่าเรือพอสมควร และ Calais ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่ไม่ปลอดภัยนัก ถ้าไปคนเดียว จึงต้องพึ่งรถ/แทกซี่
ทริปนี้เป็นทริปวันเดียวที่เสี่ยง ลุ้น เหนื่อย ด้วยเวลาจำกัดและอากาศไม่อำนวย พกลูกบ้าและความรักที่มีต่อหนังไปเพียวๆเลย.
ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่า
x
ข้าวเอง.
มาทักทายกันได้ที่เฟซ: @cineflections
ทวิต: @cineflectionsx
นะคะ :)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in