ทั้งที่ผ่านไปนานแล้วแต่หน้าปัดนาฬิกาบนข้อมือข้างนั้นยังคงติดตาผม ภาพในวันวานฉายซ้ำ ความคิดของผมกำลังย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ในวันนั้น
วันแห่งการนองเลือด
ทุกอย่างชุลมุนวุ่นวาย เสียงห่ากระสุน เสียงระเบิดดังกึกก้องจนแทบไม่ได้ยินสิ่งใด อากาศร้อนระอุราวกับจะเผาไหม้ทุกชีวิตให้ตกตายไป แต่มวลอากาศพวกนั้นก็ไม่ได้คร่าชีวิตผู้คนแม้เพียงคนเดียว หากแต่เป็นเพลิงผลาญจากมนุษย์ด้วยกันต่างหากที่เผาทำลายชีวิตนับร้อยพัน
ชีวิตของคนที่ยืนอยู่คนละฝั่งกับตัวเอง
ตัวผมในวันนั้นพยายามวิ่งหนีความตาย ทุกครั้งที่เสียงปืนดังไล่หลัง ใจของผมหวาดกลัว ขาทั้งสองข้างอ่อนล้าจนยากจะทานทนไหว แต่ในหัวพยายามร้องบอกตัวเองว่าอย่าหยุดวิ่งเด็ดขาด เสียงปืนยังคงดังอย่างต่อเนื่องและใกล้เข้ามาทุกที ผมนึกอ้อนวอนอะไรก็ตามช่วยให้รอดชีวิตจนกว่าจะถึงบ้าน แม้จะรู้ว่าถึงที่สุดแล้วคงไม่มีใครช่วยผมได้ก็ตาม
ทว่า...
ชั่วขณะของการร้องขอต่อสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงนั้น...มือของใครคนหนึ่งก็คว้าจับมือของผมเอาไว้ ผมไม่รู้ว่าเขาคือใคร ไม่รู้ว่าเป็นพวกไหนกันแน่ แต่เสียงของความตายกำลังตามติดจนผมไม่มีเวลาคิดไตร่ตรองอะไร ผมจึงยอมวิ่งตามแรงดึงของอีกฝ่ายไป วิ่งไปเรื่อย ๆ เหมือนกับเข็มบนหน้าปัดนาฬิกาที่อยู่บนข้อมือของอีกคน
การพบเจอกันในวันนั้นทำให้ผมรอดพ้นจากความตายได้อย่างหวุดหวิด
หลังจากนั้นผมก็ยังคงสถานะเป็นผู้รอดจากไฟสงคราม เขาคนนั้นที่เคยช่วยชีวิตผมไว้ก็เหมือนกัน พวกเราวิ่งหนีความตายพ้นแล้ว...
ในตอนนั้นผมคิดว่ามันเป็นแบบนั้น
จนกระทั่งช่วงเวลาก่อนที่สงครามจะยุติ ร่างของอีกคนก็ล้มลงตรงหน้า ศัตรูผู้เหลือรอดได้ยอมพลี-ชีพตัวเองไปพร้อม ๆ กับฉุดกระชากอีกหลายชีวิตไปกับตนด้วย ตัวผมในตอนนั้นไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น จำได้เพียงว่าหน้าปัดบนนาฬิกาข้อมือที่เขาคนนั้นสวมอยู่มันหยุดทำงานแล้ว เข็มนาฬิกาหยุดเดินพร้อมกับหนึ่งชีวิตที่ดับสูญ
และใจอีกหนึ่งดวงที่แตกสลาย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in