หรือถ้าจะให้ทันสมัยขึ้นมาหน่อยเหมาะสมกับยุคนี้ก็คงจะเป็นเพลง Take me to church ของ Hozier ที่มีมิวสิควิดีโอประกอบเพลงแสนหม่นเป็นคู่รักชายรักชายที่โชคชะตาชีวิตแสนหม่นหมองจนบางคนดูเอมวีเสร็จถึงกับน้ำตาตก 

แล้วก็ยังมีเพลง Same Love จาก แร็ปเปอร์มากความสามารถ อย่าง Macklemore ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการประณามเพศที่3 จากกลุ่ม Homophobia  (คนที่รังเกียจรักร่วมเพศแบบไม่มีเหตุผล) ที่เรามักพบเจอในเพลง Hip-Hop , สื่อต่างๆ รวมไปถึง สังคมทั่วไป จนทำให้เพลงของเขาเป็นที่ประทับใจ LGBT ทั่วโลกไปได้อย่างงดงาม

เพลงนี้ออกมาตั้งแต่ปี 2002 จนเราเองก็ไม่รู้ว่าคนร้องนี่เขาหายไปไหน ตอนนี้ทำมาหากินอะไรอยู่ในปัจจุบัน แต่เพลงนี้เรียกได้ว่าเป็นเพลงยุคแรกๆ ที่ทำมิวสิควิดีโอเป็นเลสเบี้ยนอย่างโจ๋งครึ่ม ทำให้วงการเลสเบี้ยนในอเมริกา รวมถึงทั่วโลกสั่นสะท้านกันไปเลยช่วงนึง เวลาเปิดช่อง MTV มาแล้วเจอเอมวีนี้ (เรียกได้ว่ายุคบุกเบิกเลยแหละ)

เนื้อเพลงอาจจะไม่มีอะไรมาก ฟังแล้วก่ำกึ่งๆ ว่าหมายถึงอะไรว๊า แต่ก็อย่างว่าๆ เพลงพูดถึงผู้หญิง แต่คนร้องเป็นผู้หญิง! แค่นี้มันก็น่าจะชัดเจนอยู่พอตัวแล้วนะ ว่าไหม?

งงอ่ะดิ ว่าเพลงนี้เป็นเพลงชาติเลสเบี้ยนยังไง......

 เนื้อหาก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเลสเบี้ยนอีกตะหาก ออกจะมุ้งมิ้งน่ารัก ฟังแล้วชวนฝัน จนแทบจะทำให้คุณหยิบสมุดปากกาขึ้นมาจดไว้เป็นเซ็ตลิสต์เพลงในงานแต่งของคุณในอนาคต แม้ว่าคุณจะยังหาแฟนไม่ได้ก็เถอะ ( เดี๋ยวๆ อันหลังเสี่ยงโดนตบ ) 

งั้นเรามาดูฉากนึงในเอมวีนี้กัน

ทีนี้เก็ทกันแล้วล่ะสิว่าทำไมเราถึงเอาเพลงนี้มาแนะนำ 

คือมิวสิควีดีโอเพลงนี้เรื่องราวมันมีอยู่ว่า ซาร่า (นักร้อง) เขาจะไปเซอร์ไพรส์คู่รักสองคู่ในการขอแต่งงาน เป็นฝั่งเป็นฝากันไปแบบ Official ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเลสเบี้ยนสองคนนี้ที่มีชื่อว่า Aly & Andrea ซึ่งบอกเลยว่า ในเอมวีนั้นมีความเรียลมาก นี่ก็ไม่รู้นะว่าเตี๊ยมหรือไม่เตี๊ยม แต่ที่แน่ๆ ในเอมวีให้ดีเทลความอบอุ่นที่เอาเราซาบซึ้งจนทนไม่ไหว ต้องมารีวิวให้เพื่อนๆ อ่าน ลากพวกคุณมาดูเป็นเพื่อนเนี่ย อารมณ์แบบ #ตรูจะไม่ยอมดูเอมวีนี้คนเดียว อะไรประมาณนี้ ยังไงก็ขอให้ลองกดดูกันนะ ^^

เอมวีนี้แนะนำให้ดูคนเดียวอย่าดูกับพ่อแม่ เพราะเนื้อหาเอมวีสุดแสนจะวาบหวาม มีแต่ฉากฟินๆ ( คำว่าฉากฟินๆ นี่คงจะเข้าใจเนาะ ) ของเลสเบี้ยนสองคนในโรงแรมแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น 

Halsey ( หรือ Ashley Frangipane ) นักร้องสาวเสียงหวานคนนี้ได้ถ่ายทอดบทเพลงไว้ได้อย่างลึกลับและละมุนละไม แถมยังลงทุนแสดงเองด้วย ( จนไอ้เราก็เผลอจิ้นให้นางมีแฟนเป็นผู้หญิง แต่ปรากฎว่านางมีแฟนแล้วเป็นหนุ่มหล่อเสียด้วย )  เนื้อหาเพลงนี้จะเกี่ยวกับคนที่เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกันแต่วันนึงคนๆ นั้นเกิดหายไป ซึ่งในเนื้อเพลงก็ไม่ได้สื่อว่าร้องให้เพศหญิงด้วย ใช้คำว่า Boy ทั้งเพลง แต่เอมวีมันดันออกมาเป็นแบบนี้ ก็เลยกลายเป็นว่า เพลงนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเพลงที่ติดตาตรึงใจสำหรับชาวเลสเบี้ยนไปเลย (ไอ้เรานี่ดูไปก็บิดไปตลอด ฮึ้ย!)

จะมีอะไรที่ดีไปกว่าเพลงที่แต่งให้เลสเบี้ยน ร้องให้เลสเบี้ยน แล้วยังมีเอมวีเป็นเลสเบี้ยน บอกกันไปเลยตรงไปตรงมา ไม่ต้องวอกแวกไม่ต้องตีความหมาย บอกก่อนเลยว่าเพลงนี้มาแรงในหมู่เลสเบี้ยนอเมริกันมาก แถมยังมียอดวิวกว่า 36 ล้านวิว (เช็คเมื่อกี๊เลย) เนื้อเพลงตรงไปตรงมาที่บอกว่า "Girl Like girls like boys do Nothing new" ( ผู้หญิงก็ชอบผู้หญิงเหมือนผู้ชายได้นั่นแหละ ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน ) มันคือความตรงไปตรงมาด้วยประโยคสั้นๆ ที่เหมือนเป็นกระบอกเสียงใหญ่ๆ แทนจิตใจเลสเบี้ยนทั่วโลก แถมยังมีเอมวีที่แมทช์กับเนื้อเพลงเด๊ะๆ ใครอยากรู้ว่าเป็นยังไงต้องดูเอง แต่บอกเลยว่า น่ารักแรงมาก!

ปล. ทำนองเพลงติดหูมาก หลังเพื่อนๆฟัง ถ้าเกิดชอบขึ้นมาคงจะฮึมฮัมในลำคอกันอยู่สักพักใหญ่ๆ เลยแหละ

หลังจากที่เรากล่าวมาข้างต้นถึงเพลง Same Love จาก Macklemore จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า เพลงนี้ยังมีอีกเพลงที่เล่าถึงในมุมมองที่แตกต่างออกไป นั่นก็คือ She Keeps Me Warm เพลงนี้นั่นเอง ซึ่งคนที่ร้องท่อนฮุคในเพลง Same Love ท่อนที่ร้องว่า "I'm not crying on sunday" ก็คือแม่ Mary คนนี้นี่แหละ แถมเพลงนั้นกับเพลงนี้ยังมีท่อนฮุคเดียวกันอีกต่างหาก ( And I can’t change, even if I tried

แต่ถึงจะมีท่อนฮุคเดียวกันเด๊ะๆ แต่เนื้อหาและอารมณ์ของเพลงส่วนอื่นๆ กลับต่างกันออกไป เพลงนี้จะให้อารมณ์เหมือนเราเจอใครสักคนที่ตรงกับใจเรา ละมุนกว่า โรแมนติกกว่า ในขณะที่เพลงนั้นสื่อถึงผลกระทบจาก Homophobia  ซึ่งแน่นอนว่าเพลงนี้ร้องโดยผู้หญิงสู่ผู้หญิง เรียกได้ว่า นี่แหละ เพลงเลสเบี้ยนขนานแท้เลยแหละ  ( มีท่อนนึงที่ร้องว่า You like kissing girls? ด้วยนะ )