รีวิวเว้ย (340) "ญี่ปุ่นอีกแล้วหรอวะ" (?) คือคำถามแรกที่เพื่อนสังเกตุเห็นและหยิบเอาหนังสือเล่มนี้ไปเปิดอ่านผ่าน ๆ -- ทำไมคนเราถึงยังเขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องของญี่ปุ่นได้อีก ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้หนังสือเกี่ยวกับญี่ปุ่นมีเยอะจนชั้นวางบนร้านหนังสือแทบจะวางไม่พอ -- หนังสือ NO MAN IS AN ISLAND มาจากนักเขียนคนหนึ่งที่ว่า "No Man Is An Island มนุษย์เราไม่อาจเป็นเกาะทั้เดียวดายได้ เรายังต้องการผู้อื่นเพื่อพึ่งพากันต่อไป" (น.คำนำ สนพ.) -- โดยที่หนังสือเล่มนี้ว่าด้วยเรื่องราวของการบันทึกที่ทำหน้าที่บอกเล่าเรื่องราวของการเดินทางของคน 3 คนที่รู้จักกันได้ไม่นาน (ในงานหนังสื) ซึ่งเป็นการเดินทางในประเทศญี่ปุ่น แถบชิโกกุเพื่อเดินทางท่องเที่ยวไปตามเกาะแก่งในญี่ปุ่น จากกลุ่มเพื่อนที่ไม่อยากไปเกาะตามลำพัง
หนังสือ : NO MAN IS AN ISLAND
โดย : ชนพัฒน์ เศรษฐโสรัถ, คัมภีร์ สรวมศิริ, นัท ศุภวาที
จำนวน : 275 หน้า
ราคา : 345 บาท
"NO MAN IS AN ISLAND" หนังสือว่าด้วยเรื่องของการเดินทางในแถบชิโกกุของญี่ปุ่น เพื่อเดินทางท่องเที่ยวในพื้นที่ที่ไม่ค่อยมีคนไทย หรืออาจจะเรียกได้ว่าไม่ค่อยมีใครเดินทางไปท่องเที่ยวในพื้นที่ดังกว่าเท่าไหร่นัก โดยดูได้การบรรยายสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ นั้น เป็นพื้นที่ที่การเข้าถึงด้วยระบบเดินทางสาธารณะหรือระบบขนส่งที่ดีสุด ๆ อย่างของญี่ปุ่นยังยางที่จะเข้าถึงพื้นที่เหล่านั้น ทั้งต้องขับรถ ต่อเรือ ลงปั่นจักรยาน เดินกึ่งวิ่งอีกหลายนาทีกว่าจะถึงสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่งและเกาะแต่ละเกาะ
แต่ความแปลกของหนังสือเล่มนี้ไม่ได้อยู่ที่ความแปลกของการเดินทางท่องเที่ยวในชิโกกุเท่านั้น เพราะเอาเข้าจริงสถานที่ต่าง ๆ เหล่านั้นเราอาจจะเคยเห็นผ่านตามาบ้างแล้วไม่จากหนังสือเล่มหนึ่งเล่มใด ก็อาจจะมาจากเพจของใครสักคนที่เราเคยกดเข้าไปอ่าน แต่ความน่าตื่นตาตื่นใจของหนังสือเล่มนี้อยู่ตรงที่หนังสือเล่มเดียว สถานที่ท่องเที่ยวเดียวกันแต่ถูกถ่ายทอดด้วยคน 3 คน จาก 3 อาชีพและ 3 แนวคิด รวมไปถึงจากความต่างของประสบการณ์ของคน 3 คน ที่ถูกหยิบมาบอกเล่าผ่านหนังสือเล่มเดียวกันและเส้นเรื่องหลักเดียวกัน เหมือนกับความตอนหนึ่งในหนังสือเล่มนี้ที่บอกเอาไว้ว่า -- "เราต่างมีโตเกียวเป็นของตัวเอง มันอาจจะซ้อนทับกันบ้างในบางโอกาส" (น.211)
เสน่ห์อย่างหนึ่งของการซ้อนทับกันทั้งทางพื้นที่ ความทรงจำและประสบการณ์ทำให้ "NO MAN IS AN ISLAND" เป็นหนังสือที่บอกเล่าเรื่องราวของญี่ปุ่นได้อย่างสนุก มีเสน่ห์และน่าประหลาดใจ ที่คน 3 คน 3 ความคิดสามารถเดินทางร่วมกันและเขียนหนังสือร่วมกันได้บนเส้นเรืองเดียวกันอย่างสนุกสนานและน่าติดตาม
"NO MAN IS AN ISLAND" ไม่ได้บอกเล่าเรื่องราวของสถานที่ท่องเที่ยวแต่เพียวอย่างเดียวเท่านั้น เราในฐานะผู้อ่านกลับรู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้พูดถึงเรื่องราวของความสัมพันธ์ของคน 3 คนในฐานะของเพื่อนและการเดินทางระหว่างเพื่อนนั้นมันไม่จำเป็นต้องราบลื่นเสมอไป หากแต่การเดินทางบนความสัมพันธุ์เหล่านั้นของเพื่อนสามารถทะเลาะถกเถียงกันได้เป็นปกติ แต่ความสัมพันธุ์ของเพื่อนที่ดีนั้น ต่อให้ทะเลาะกัน เห็นต่างกัน หรือขัดแย้งกันแค่ไหน แค่พูดออกไปบอกไปตรง ๆ และขอโทษซึ่งกันและกัน ในท้ายที่สุดความเป็นเพื่อนก็จะลบเลือนความขุ่นมัวเหล่านั้น แต่มันต้องอยู่บนฐานคิดของการเป็นเพื่อนที่เป็นเพื่อนกันจริง ๆ ก็เหมือนกับคำพูดที่เรามักได้ยินบ่อย ๆ ว่า "เพื่อนไม่เคยทิ้งกัน" ต่อให้เห็นต่าง ทะเลาะ ถกเถียงกันแค่ไหน "เพื่อนก็ยังคือเพื่อน"
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in