เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
K-Dramadadalassie
The Sound of Magic : คุณเชื่อเรื่องเวทมนตร์หรือเปล่า ? (2022)
  • Warning : บทความนี้อาจมีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วน เพราะต้องการรีวิวถึงประเด็นนั้นภายในเรื่องค่ะ



    ชื่อเรื่อง : The Sound of Magic (โอม รักเอยจงมา)

    ช่องทางถูกลิขสิทธิ์ : Netflix (เรื่องนี้เป็น Netflix Original นะคะ)

    จำนวนตอน : 6

    นักแสดงนำ : จีชางอุค, ชเวซองอึน, ฮวังอินยอบ


    ______________________________________________


    ก่อนอื่นคงต้องเกริ่นก่อนว่า The Sound of Magic หรือ โอม รักเอยจงมา เป็นซีรีส์แนว Drama-Fantasy, Musical, Coming of Age ที่สร้างขึ้นจาก Webtoon ค่ะ โดยเส้นเรื่องจะเล่าให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างการใช้ชีวิตของวัยรุ่น และเส้นทางการเติบโตเป็นผู้ใหญ่

    หลาย ๆ คนอาจจะรู้สึกไม่คุ้นเคยกับซีรีส์แนว Musical เท่าไหร่นัก ซึ่งเราเองก็เป็นหนึ่งในนั้นก่อนที่จะเริ่มดูเหมือนกันค่ะ แต่ว่าพอดูจนจบครบ 6 ตอนแล้ว เราพบถึงความผสมผสานเรื่องราวต่าง ๆ อย่างลงตัว สัมผัสถึงความประทับใจ และความน่าหลงใหลในซีรีส์เรื่องนี้อยู่มาก ไม่ว่าจะเป็นการแสดงแบบไร้ที่ติ ภาพสวย ๆ รวมไปถึงความไพเราะของเพลงที่สะกดเราไว้ราวกับโดนต้องมนตร์

    สิ่งที่สำคัญคือตัวบท และเนื้อเรื่องไม่ได้นำเสนอเพียงเรื่องเวทมนตร์ของนักมายากลลึกลับหรือความน่ารักของแต่ละฉากเท่านั้น แต่ตัวซีรีส์ยังพาเราเดินไปพบกับพื้นที่เล็ก ๆ ในการหาความสุขให้กับตัวเอง, การสร้างแรงบันดาลใจ, เส้นทางระหว่างการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ และพูดถึงประเด็นทางสังคมในด้านต่าง ๆ ได้ดีมากเลยค่ะ



    • อันนาราซูมานารา คาถาที่จะทำให้ความปรารถนาเป็นจริง

    ซีรีส์จะเล่าจากการใช้ชีวิตของเด็กสาวอย่าง 'ยุนอาอี' (รับบทโดย ชเวซองอึน) ที่ต้องเติบโต และใช้ชีวิตมาด้วยความยากลำบากเพราะครอบครัวล้มละลาย แถมยังมีหนี้ก้อนโตทำให้พ่อของเธอต้องหลบหนีเจ้าหนี้อยู่ตลอดเวลา เธอจึงจำต้องแบกรับภาระในการหาเลี้ยงตัวเองและน้องสาวที่อาศัยอยู่ด้วยกันเพียงลำพังมาตลอด


    รูปภาพจาก Netflix KR

    เรามองเห็นความสูญเสียของเธอในหลาย ๆ ด้านเหมือนกันนะ เพราะนอกจากจะสูญเสียความฝันของตัวเองไปแล้ว ยังสูญเสียช่วงเวลาใน 'การเป็นเด็ก' ไปอีกด้วย 


    รูปภาพจาก Netflix KR

    ด้วยความบังเอิญหรือความตั้งใจบางอย่าง ทำให้อาอีได้มาพบกับ รีอึล (รับบทโดย จีชางอุค) นักมายากลสุดลึกลับที่อาศัยอยู่ในสวนสนุกร้างเจ้าของวลีที่ผู้ใดได้ฟังแล้วอาจตกอยู่ใน ภาวะต้องมนตร์ เลยก็ได้ และเพราะเวทมนตร์อันแสนพิเศษของรีอึลนี่แหละที่เป็นสิ่งเยียวยาจิตใจของเด็กหลาย ๆ คน ซึ่งแน่นอนว่ารวมถึงตัวอาอีที่ก็ได้รับพลังบวกในการใช้ชีวิตจากนักมายากลคนนี้

    _________________________

    "คุณเชื่อเรื่องเวทมนตร์หรือเปล่าครับ?"

    __________________________

    รูปภาพจาก Netflix KR

    รีอึลเป็นตัวละครที่มีเสน่ห์มาก ๆ สำหรับเราเลยค่ะ (ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะการแสดงที่ยอดเยี่ยมมาก ๆ ของคุณจีชางอุคที่ถ่ายทอดออกมาด้วย) เราคิดว่ารีอึลเป็นกุญแจสำคัญที่จะถ่ายทอดจุดประสงค์ของซีรีส์เรื่องนี้เลย อาจด้วยการใช้ชีวิตอย่างลึกลับของตัวละครที่ทำให้เราอยากค้นหาในตัวเขาอยู่ตลอดการดำเนินเรื่อง ทว่าในอีกมุมหนึ่งเรามองว่าการที่เขาสร้างบทบาทให้รีอึลเป็นนักมายากลเป็นเพราะต้องการสื่อถึง 'ความเป็นเด็ก' ในระหว่างทางของการเติบโตด้วยค่ะ 

    ซึ่งหากพูดถึงเรื่องของเวทมนตร์แล้ว หลาย ๆ คนก็คงจะนิยามความหมายในแบบที่แตกต่างกันออกไป บางคนอาจจะนึกถึงความเชื่อในวัยเด็ก บางคนอาจจะนึกถึงความพิเศษแบบเหนือธรรมชาติ หรือแม้แต่ใช้เรื่องเวทมนตร์มาเป็นพื้นที่เล็ก ๆ สำหรับสร้างความสุขในโลกจินตนาการ แต่สำหรับคนที่เรียกตนเป็น 'ผู้ใหญ่' นั้น อาจมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ อย่างในซีรีส์ที่ถ่ายทอดความคิดของตัวละครผู้ใหญ่หลาย ๆ คนที่มองว่าอาชีพนักมายากลนั้นเป็นเพียงเรื่องหลอกเด็ก ขายฝัน เป็นคนบ้าที่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่มีอนาคต


    แต่ทว่าหากมองถึงหลักความเป็นจริง เราเชื่อว่านิยามของคำว่าผู้ใหญ่อาจไม่ได้มีลักษณะหรือความหมายที่ตายตัวว่าจะต้องเป็นแบบใดเท่านั้น เพราะบนโลกใบนี้ก็ยังมีใครอีกหลายคนที่แอบซ่อนความเป็นเด็กอยู่ในตัวเสมอแม้จะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม เช่นเดียวกับรีอึลเองที่ได้สร้างพื้นที่แห่งความสุขขึ้นมาไว้ให้ตัวเองได้พักหายใจ

    นอกจากจะได้เห็นเส้นทางการใช้ชีวิตบนทางขรุขระของอาอีแล้ว ในซีรีส์ยังมีอีกหนึ่งตัวละครที่เติบโตมาบทเส้นทางลาดยางที่โปรยด้วยกลีบกุหลาบอย่าง 'นาอิลดึง' (รับบทโดย ฮวังอินยอบ) ด้วยค่ะ ซึ่งอิลดึงนั้นเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนของยุนอาอี


    ในที่นี้ เราขอนิยามว่าอิลดึงเป็นคนที่เติบโตมาด้วย 'กรงขัง' ของครอบครัวแล้วกันค่ะ ด้วยความที่พ่อของเขาเป็นอัยการ เขาจึงถูกกดดัน และปูเส้นทางมาให้แต่เด็กว่าจะต้องเติบโตไปในเส้นทางไหนจนอิลดึงไม่เคยนึกถามตัวเองเลยว่าสิ่งที่เขาต้องการจริง ๆ คืออะไรกันแน่ จนกระทั่งได้มาพบกับนักมายากลสุดลึกลับอย่างรีอึลที่ทำให้เขาเกิดการตั้งคำถามกับตัวเองว่าแท้จริงแล้วความฝันของเขาคืออะไร

    รูปภาพจาก Netflix KR
    _________________________

    "การเติบโตเป็นผู้ใหญ่ให้มีความสุขนั้นเป็นอย่างไร และต้องเดินไปในเส้นทางหรือกรอบไหนถึงจะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ดี"

    _________________________

    ระหว่างที่ดูซีรีส์เรื่องนี้ตัวเราเกิดการตั้งคำถามขึ้นมามากมายเลยค่ะ เส้นทางของการเป็นผู้ใหญ่นั้นเป็นอย่างไร แล้วถ้าเราไม่ได้เดินไปตามกฎเกณฑ์ที่สังคมตั้งไว้ เราจะต้องถูกประณามให้เป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ดีหรือเปล่า ซึ่งซีรีส์เรื่องนี้ให้คำตอบเราได้ลึกซึ้ง และดีอย่างน่าเหลือเชื่อ

    รูปภาพจาก Netflix KR


    • ความฝันเป็นเรื่องของเด็ก แต่เส้นทางเป็นเรื่องของผู้ใหญ่

    _________________________

    "แม่ให้กำเนิดและเลี้ยงผมมา เพื่อเหลืออะไรไว้ให้คุ้มกับที่ลงทุนไปเหรอ"

    _________________________

    ตัวเราเองในบางครั้งก็สงสัยนะว่าทำไมการมีความฝันถึงได้กลายเป็นเรื่องไร้สาระของผู้ใหญ่ ในทางกลับกันความฝันของผู้ใหญ่ที่อยู่ในรูปแบบของความหวังดีนั้นกลับกลายมาเป็นสิ่งที่เด็กจะต้องแบกรับเอาไว้ด้วยกันล่ะ เราจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ด้วยเส้นทาง และความฝันของเราเองไม่ได้เชียวหรือ

    ในซีรีส์จะสอดแทรกประเด็นสังคมในหลาย ๆ ด้านด้วยกันค่ะ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาครอบครัว, ความกดดันในวัยเรียน, การแข่งขันในระบบการศึกษา, ความรุนแรงในโรงเรียน, การใช้อำนาจในทางที่ผิดของผู้ใหญ่ รวมไปถึงการคุกคามทั้งเพศ ดังนั้น เราจึงอยากยกประเด็นที่เราให้รู้สึกว่าน่าสนใจมาเล่าให้ฟังค่ะ โดยจะเป็นประเด็นเรื่องครอบครัวของ 'นาอิลดึง' เด็กหนุ่มที่ต้องเดินอยู่บนเส้นทางที่ครอบครัวปูไว้ให้นั่นเอง 

    ปัจจุบันบางครอบครัวจะเริ่มเข้าใจ และสร้างอิสระในการเลือกให้กับเด็ก ๆ แล้วนั้น แต่เชื่อได้เลยว่าบนโลกนี้ยังมีเด็กอีกหลายคนที่ถูกครอบครัวตีกรอบและบังคับให้เดินไปตามเส้นทางที่ผู้ใหญ่กำหนดไว้ให้แม้แต่ในสังคมไทยเองที่ก็ยังมีความเชื่อผิด ๆ และกดดันให้ลูกหลานเรียนแพทย์ หรือรับราชการเพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตสบายในภายหน้า

    _________________________

    "แท้จริงแล้วเราถูกผู้ใหญ่มองเป็นมนุษย์ หรือเป็นเพียงทรัพย์สินกันแน่"

    _________________________

    ถึงแม้ว่าอิลดึงจะได้รับการเลี้ยงดูอย่างประคบประหงม และสภาพการเงินของครอบครัวที่พร้อมสนับสนุน แต่เขากลับรู้สึกว่าตนเองนั้นกำลังวิ่งไปยังเส้นทางที่ไร้จุดหมายพร้อมกับแบกรับความหวัง และความกดดันของพ่อแม่ไปราวกับมีหินวางไว้บนบ่า เขาไม่มีโอกาสได้เลือกหรือทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ไม่เคยมีโอกาสได้ค้นหาความชอบของตัวเองจนกระทั่งปัญหาทุกอย่างเริ่มก่อตัวขึ้นมาเป็นความทรมาน ซึ่งตัวซีรีส์ถ่ายทอดเมสเสจตรงนี้ออกมาได้ดีมาก ๆ หากได้ดูพร้อมกันทั้งครอบครัว และตระหนักได้ถึงการมองลูกหลานเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ทรัพย์สิน ก็คงจะเกิดผลดีต่อสังคมอันบิดเบี้ยวนี้ไม่ใช่น้อย

    โดยส่วนตัวแล้วบางครั้งเรามองความหวังดีเหล่านั้นเป็นข้ออ้าง และความเห็นแก่ตัวของคนที่เรียกตัวว่าเป็นผู้ใหญ่เหมือนกันนะ มันก็จริงที่บางครั้งเด็กอาจจะยังไม่มีวุฒิภาวะเพียงพอในการตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ได้ดีเท่า แต่การเคารพสิทธิ และการมองให้ลูกเป็นมนุษย์คนหนึ่งก็เป็นเรื่องที่ควรทำเช่นเดียวกัน

    รูปภาพจาก Netflix KR
    ในด้านขององค์ประกอบ และเทคนิกภายในเรื่อง เราประทับใจมากกกก แบบไม่มีส่วนไหนอยากติเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นภาพ / การตัดต่อ / ซาวด์ประกอบ ทุกอย่างเข้ากันได้อย่างสวยงาม และลงตัว จนสามารถชูเนื้อเรื่องให้น่าติดตามมากขึ้นอีกด้วย เรารู้สึกว่าการทำซีรีส์มิวสิเคิลค่อนข้างท้าทายอยู่เหมือนกันนะ เพราะถ้าฝ่ายลำดับภาพตัดสลับระหว่างซีนไม่สมูทเนื้อเรื่องก็คงจะหมดสนุกกันไปก่อนแน่ ๆ ถือว่าผู้กำกับ และทีมงานทุกคนทำการบ้านมาได้อย่างดีเลยค่ะ (จริง ๆ เหมือนเคยอ่านเจอมาด้วยว่าเรื่องนี้ได้ผู้กำกับละครเวทีมาช่วยคุมซีนที่เป็นการร้องเพลง แต่หาต้นตอไม่เจอแล้ว ถ้าหาเจอจะมาแปะเพิ่มให้นะคะ y _ y)

    รูปภาพจาก Netflix KR

    _________________________

    "คำพูดปลอบประโลมก็เป็นเวทมนตร์อันน่าอัศจรรย์"

                                                                _________________________

    ในฐานะผู้ชมคนหนึ่ง นอกจากการเหมือนได้พาตัวเองท่องกลับไปในวัยเด็กแล้ว ตัวเราที่เติบโตขึ้นมาในอีกช่วงชีวิตหนึ่งก็ได้รับเวทมนตร์อันน่าอัศจรรย์จากคำปลอบประโลมแสนใจดีจากซีรีส์เรื่องนี้มามาก จนเราอยากนิยามมันว่าเป็นความธรรมดาที่แสนวิเศษเลยล่ะ


    •  ฉันไม่ได้บอกให้เธอทำแค่สิ่งที่อยากทำสักหน่อย แค่ให้ทำในสิ่งที่อยากทำได้เท่ากับสิ่งที่ไม่อยากทำบ้าง


    สรุปโดยรวมกับซีรีส์เรื่อง The Sound of Magic คือเราค่อนข้างเอนไปทางประทับใจมาก ๆ เลยนะ อาจด้วยเพราะเมสเสจของเรื่องที่เป็นแนวที่เราชอบอยู่แล้ว รวมถึงการถ่ายทอดเรื่องราวออกมาในแบบที่แปลกใหม่ด้วย มันเลยรู้สึกสดใหม่มาก ๆ แต่ต้องขอยอมรับว่าในช่วงตอนแรก ๆ เราเกือบจะเทไปแล้วถ้าหากไม่ได้ตัวภาพ, การแสดง แล้วก็บางประเด็นที่เราสงสัยรั้งไว้ เพราะยังปรับตัวกับซีรีส์มิวสิเคิลไม่ได้ จนกระทั่งเข้าตอนที่ 4 นี่แหละที่เราเทให้หมดใจเลยว่าซีรีส์เรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เราชอบ และเมื่อดูจบแล้วก็ยิ่งรู้สึกได้ว่าชอบเป็นพิเศษ

    มันไต่ระดับความรู้สึกไปพร้อมกับการดำเนินเรื่องเลยทำให้คนดูค่อย ๆ ซึมซับแต่ละความรู้สึกเข้าไปในใจ ส่วนตัวเราให้เป็นซีรีส์คุณภาพในครึ่งปีแรกของ 2022 เลย นักแสดงเข้าถึงบทบาท รับส่งกันดีมาก ถ่ายทอดคาแรคเตอร์ที่ตัวเองได้รับกันดีสุด ๆ เพลงในเรื่องก็เพราะ และมีความหมายที่ดีมากด้วย (ต้องขอชม Netflix ที่แปลเนื้อเพลงให้ด้วยนะคะ การดูซีรีส์เรื่องนี้ของเราเลยอินขึ้นมาก)

    เราอยากแนะนำให้ทุกคนเปิดใจไปดูซีรีส์เรื่องนี้กันนะ รับประกันได้เลยว่ามันไม่ได้เป็นเพียงซีรีส์แฟนตาซีที่มีเพลงประกอบเพราะ ๆ แน่นอนอย่างที่กล่าวไปข้างต้น หวังว่าซีรีส์เรื่องนี้เป็นพื้นที่เล็ก ๆ ที่สามารถปลอบประโลมหัวใจของทุกคนได้ไม่มากก็น้อยแบบที่เราได้รับนะคะ

    สุดท้ายนี้ ถึงแม้ว่าการเติบโตเป็นผู้ใหญ่อาจจะยากกว่าการเป็นเด็ก และมีเส้นทางที่ขรุขระไปบ้าง แต่อย่ากลัวที่จะเติบโตกันเลยนะคะ หวังว่าทุกคนจะได้เติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ในแบบที่ตั้งใจกันไว้นะ


    _______________

    แด่ทุกคนที่ยังมีความเป็นเด็กอยู่ในตัวเสมอ

    dadalassie.

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in