แสงสีนวลอำพันดูหม่นหมองจากดวงจันทร์
ความสวยงามที่มาพร้อมกับความลึกลับความเปล่าเปลี่ยว และความหวาดกลัว
ท้องนภามืดมิดแลกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา— ข้างบนนั้นจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่บ้างไหมนะ?
ให้ตายเถอะเป็นบ้าเหรอวะนากาโมโตะ
ชายหนุ่มส่ายหน้าเบาๆยกยิ้มมุมปากให้กับความคิดไร้สาระของตัวเอง ก่อนจะตัดสินใจกวาดข้าวของบนโต๊ะลงกระเป๋าเป้เน่าๆแต่กลับเป็นใบโปรดตลอดกาล ลุกขึ้นโค้งลาเจ้านายที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวจากพนักงานนับสิบชีวิตที่รีบวิ่งแจ้นกลับบ้านทันทีหลังเข็มนาฬิกาเลื่อนมาบรรจบที่เลขสิบสองและเลขเจ็ด
ชีวิตพนักงานบริษัทก็แบบนี้ทำงานวนลูปไปเรื่อยๆ รอวันเงินเดือนออกซึ่งไม่เคยมีพอให้ใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยเลยสักเดือนลำพังแค่เงินสำรองสำหรับหาห้องเช่าใหม่ที่ดีกว่าเดิมเขายังมีไม่พอเลยแต่ถึงอย่างนั้น นากาโมโตะคนนี้ก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไร เพราะห้องเช่าที่อาศัยอยู่ในปัจจุบันนับว่าหรูหรามากแล้วในช่วงราคาค่าเช่าแค่นั้น
อีกอย่างคงจะเป็นเพราะรสนิยมของเจ้าของห้องที่ปล่อยให้เช่าด้วยล่ะถึงทำให้เขารู้สึกพึงพอใจจนไม่อยากย้ายไปอยู่ที่อื่นที่ดีกว่าหรือใกล้ที่ทำงานมากกว่า
ความวังเวงรอบข้างกลายเป็นสิ่งที่ยูตะคุ้นเคยเป็นอย่างดีทั้งเสียงลม เสียงต้นไม้ไหวเอนไปมา หรือแม้กระทั่งเสียงแมวที่ร้องระงมเพราะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อนขนาดย่อมด้านข้างคอนโดที่พักพวกมันไม่เคยเข้ามายุ่มย่ามกับผู้คนแต่มันก็ไม่ได้เป็นมิตรกับผู้พักอาศัยในย่านนี้เช่นกัน
เมี้ยว~
“วันนี้ลมแรงดีอากาศก็ดี ลองเปิดประตูระเบียงกับหน้าต่างห้องนอนดูนะพ่อหนุ่ม”
“ลมแรงขนาดนี้ไม่เรียกว่าดีแล้วมั้งครับป้าผมว่าพายุเข้าแน่”
“ไม่หรอกไม่ใช่พายุที่จะมาหาเราหรอก”
เพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่ผู้ดูแลคอนโดต้องการจะสื่อเขาจึงทำเพียงแค่พยักหน้ารับคำก่อนจะรีบเดินเข้าลิฟต์ไป แต่แล้วกลับต้องแปลกใจเมื่อประตูลิฟต์เปิดออกที่ชั้นเจ็ดพร้อมกับการปรากฏตัวของชายร่างโปร่งบางในชุดสูทสีดำสนิท— ต้องไม่ใช่คนแถวนี้แน่ๆ ไม่คุ้นหน้าเลยสักนิด
“ลิฟต์ขึ้นนะครับ”เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงติดร้อนรนแต่อีกฝ่ายกลับพยักหน้าตอบเป็นเชิงเข้าใจแถมยังเอาแต่มองตรงไปยังประตูลิฟต์ที่เพิ่งปิดลง ไม่มีท่าทีสนใจเพื่อนร่วมลิฟต์อย่างเขาเลยสักนิด
“งั้นคุณจะไปชั้นไหนครับ”
“ผมกดแล้วครับ”
“ครับ?มีแต่ผมนะครับที่กด คุณกะ— อ้าว ไหงเป็นงี้วะ”
จู่ๆไฟสีส้มก็ปรากฏขึ้นที่หมายเลขชั้นถัดไปข้างบนจากชั้นของเขา เห้ย แต่เขายังไม่เห็นอีกคนยื่นมือออกมากดลิฟต์เลยจริงๆนะ
“ผมจะกดตอนไหนมันสำคัญด้วยเหรอครับในเมื่อคุณไม่ได้จ้องผมตลอดเวลาเสียหน่อย”
ชิบหายอ่านใจได้เหรอวะ
“แล้วแต่คุณจะคิดเลยครับ”
“ถึงชั้นคุณแล้วนะครับไม่ออกเหรอ?”
ยูตะยังคงคิดไม่ตกกับเรื่องของคนคนนั้นแม้ในตอนนี้จะทิ้งตัวลงนอนเรียบร้อยแล้วแต่ความสงสัยยังคงก่อกวนจิตใจอยู่เหมือนเดิมราวกับไม่อยากให้เขาได้พักผ่อนยังไงอย่างนั้นแต่สุดท้ายเขาก็ผล็อยหลับไปในที่สุดเนื่องจากฤทธิ์ยาแก้ปวดที่กินเข้าไปหลังมื้อค่ำ
“ขอบคุณนะครับที่ช่วยดูแลห้องให้ผม”
“ผมกลับมาแล้วครับคุณนากาโมโตะ”
“ต่อไปนี้เราจะอยู่ด้วยกัน—ตลอดไปเลยนะครับ”
เฮือก
ภาพในความฝันทำให้เขาสะดุ้งตื่นแทบจะทันทีเพราะมันเหมือนจริงจนแทบจะเรียกได้ว่าเขากำลังนอนมองใครอีกคนที่บุกรุกเข้ามาในห้องเขาอยู่แถมสัมผัสที่ข้างแก้มยังอบอุ่นเหมือนโดนลูบไล้จริงๆ เสียด้วย
แต่เดี๋ยวก่อน
ใครคนนั้นทำไมถึงได้หน้าคล้ายกับคนที่เพิ่งพบเจอกันไปเมื่อช่วงหัวค่ำทุกกระเบียดนิ้วขนาดนั้น
บ้าไปแล้วคนคนนั้นจะเข้ามาในห้องของเขาได้อย่างไรในเมื่อกุญแจสำรองทุกดอกอยู่กับเจ้าของห้องตัวจริงและกับเขาเพียงแค่สองคน
ยกเว้นเสียแต่ว่าคนคนนั้นจะเป็นเจ้าของห้องตัวจริง
บ้าสินายแค่ฝัน นากาโมโตะ นายแค่ฝันไปเท่านั้น
“ผมทำให้คุณกลัวหรือเปล่าครับ?”
“เชี่ย!"
มันไม่ใช่ความฝันแล้วพับผ่าสิ!
เขาคนนั้นกำลังนั่งมองยูตะที่มัวแต่ขมวดคิ้วนั่งเถียงกับตัวเองในใจอยู่ที่ขอบหน้าต่างด้วยสีหน้ายิ้มแย้มดูไม่ทุกข์ร้อนอะไร ดวงตากลมโตทอประกายแวววับดูงดงามน่าหลงใหลยิ่งกว่าท้องฟ้ายามราตรีจดจ้องคนบนเตียงอยู่นานนับนาทีเพื่อรอให้อีกฝ่ายเอ่ยปากถามคำถามที่เกิดขึ้นมากมายอยู่ภายในหัว แต่ดูเหมือนว่าผู้เช่าคนนี้จะยังตกใจกับการปรากฏตัวของเจ้าของห้องตัวจริงอยู่จึงนั่งมองแขกยามวิกาลด้วยสายตาหวาดกลัวพลางขยับตัวถอยหลังไปเรื่อยๆจนสุดปลายเตียง
“งั้นผมขอตอบแต่คำถามที่สำคัญนะครับ”
“ค—คุณอ่านความคิดผมได้?”
“ในโลกของผมนั่นเรียกว่าการอ่านใจครับ”
“โลกของคุณ?เห้ นี่ผมอยู่ที่ไหนเนี่ย”
“ตอนนี้คุณอยู่ในโลกของผมครับ”
“โลกที่มีแค่คุณกับผม”
“โลกที่คุณไม่จำเป็นจะต้องทำงานเพื่อแลกกับเศษเงินไร้ค่าพวกนั้น”
“โลกที่ขอแค่คุณยอมอยู่เคียงข้างผมตลอดไปคุณก็จะได้ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณต้องการ”
“ดะ—เดี๋ยว! อย่าเดินเข้ามา!
แต่แล้วรอยยิ้มนั่นกลับสะกดทุกความเคลื่อนไหวให้หยุดลงแม้กระทั่งกับเหงื่อเม็ดโตที่ฝืนแรงโน้มถ่วงหยุดอยู่กับที่ได้ราวกับเวลากำลังหยุดเดินยูตะกำลังหูอื้อ ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงแมวร้องหรือเสียงพายุลมด้านนอกหน้าต่าง
เขาได้ยินเพียงแค่สุ้มเสียงหวานเท่านั้น
ราวกับบทเพลงจากรัตติกาลที่ไร้ซึ่งความมืดมนใดๆเพราะมันใสกังวานและหวานละมุนดั่งบทบรรเลงจากสวรรค์ — แม้จะเป็นสวรรค์ที่เต็มไปด้วยม่านหมอกสีดำก็ตาม
“ผมรอคุณมานานเหลือเกิน”
“ตอนนี้อีแทยงพร้อมจะเป็นของคุณแล้วนะครับ”
“อยู่กับผมตลอดไปนะครับยูตะซัง”
แสงจันทราดูสว่างไสวไร้ความหม่นหมองได้อีกครั้ง
คงเป็นเพราะพระจันทร์ได้ครองคู่กับพระอาทิตย์ของตัวเองแล้ว
please tag #octody or comment below these.
Thank you for your reading :)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in