เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ดินแดนมหัศจรรย์ของเจ้าหญิงผักตบ。Phaktobgongzhu
โพสต์นี้มีเนื้อหาที่อาจไม่เหมาะสมกับเยาวชน [OS] Rainverse — Bufan x Muziyang

  • .
    .
    NO EXPECTATION

    .

    NO DISAPPOINTMENT
    .
    .
    .
    .

    ก้อนเมฆสีดำลอยตัวลงต่ำเป็นสัญญาณว่าฝนกำลังจะตกในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า

    มือหนาควานหาสิ่งที่จะช่วยกันเขาออกจากโลกภายนอกอย่างหูฟังก่อนที่จะยัดมันเข้าหูแล้วปรับความดังจนสุด เป็นเวลาเดียวกันกับที่สายฝนเริ่มโปรยปราย

    คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเล็กน้อย สายตาจ้องมองหยดน้ำที่เกาะอยู่บนหน้าต่างพลางภาวนาให้มันหยุดเร็วๆ

    เปล่าๆ ปู่ฝานไม่ได้เกลียดฝน แต่เขาเกลียดสิ่งที่ตามมากับฝนต่างหาก

    ‘อ๊ะ...อ่าา’

    เสียงครางดังผ่านหูปู่ฝานเป็นระยะๆ เสียงเพลงที่ดังจนทะลุหูฟังออกมาแทบไม่มีประโยชน์อะไรเลยในเวลานี้

    หากการได้ยินเสียง ’โซลเมท’ ของตัวเองไปเอากับคนอื่นเรียกว่าแย่แล้ว

    การที่โซลเมทของปู่ฝานเป็นผู้ชาย แล้วยังเป็นเพื่อนร่วมวงของเขาอีกนี่คง...

    นรกสิ้นดี

    "จะเอากับใครก็เบาๆ หน่อยได้มั้ยวะ"

    ‘ซี๊ดดดด’

    ได้ยินเสียงซี๊ดปากของอีกฝ่ายเป็นคำตอบ ยิ่งฝนตกหนักเขาก็ได้ยินเสียงนั้นชัดขึ้น ปู่ฝานแค่นหัวเราะก่อนจะกระชากหูฟังออกแล้วเดินไปในห้องซ้อมเต้นที่มีเหล่าเยว่อยู่ในนั้น
    .
    .
    .
    ฝนข้างนอกเริ่มซาเช่นเดียวกับเสียงของโซลเมทที่แผ่วลงจนเงียบไป

    เงียบจนน่าเป็นห่วง

    "ฝานเกอ อาเยว่ กินข้าว"

    "อื้ม"

    ขานตอบเสี่ยวตี้พลางเดินดันหลังเหล่าเยว่ให้ออกไปเร็วๆ ซ้อมเต้นเมื่อกี้ใช้พลังไปพอสมควร ปู่ฝานหิวจนจะกินวัวได้ทั้งตัวอยู่แล้ว

    ที่โต๊ะกินข้าวไร้วี่แววของสมาชิกอีกคนในวง

    "หยางเกอบอกว่าขอไปนอนก่อนเดี๋ยวตามมากินทีหลัง"

    หน้าของปู่ฝานคงจะมีแต่เครื่องหมายคำถามอยู่ไม่น้อยในสายตาของหลิงเชา เขาถึงได้คำตอบตั้งแต่ยังไม่ทันจะอ้าปากถามอะไร
    .
    .
    .
    ละอองฝนกับอากาศที่เริ่มเย็นลงทำให้ปู่ฝานจามออกมาเป็นครั้งที่สาม จริงๆ แล้วก็ต้องโทษความเด๋อของตัวเองมากกว่าที่ออกไปข้างนอกโดยไม่ได้หยิบร่มหรือเสื้อกันฝนติดออกไปด้วย

    ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ แต่รู้ตัวอีกทีเขาก็เดินเหม่อออกไปซื้อโจ๊กทั้งๆ ที่ฝนยังตกนั่นแหละ

    ก็แค่ห่วงในฐานะเพื่อนร่วมวงก็เท่านั้น
    .
    .
    .
    "จื่อหยาง ฉันรู้ว่านายได้ยินหมดแล้ว รีบๆ ออกมากินโจ๊กซะ"

    "......"

    "นี่ อย่าต้องให้พูดซ้ำสองได้มั้ย"

    "......"

    "ถ้าไม่ออกมาฉันเข้าไปนะ"

    ปู่ฝานค่อยๆ แง้มประตูเข้าไปกะว่าถ้าคนข้างในปาอะไรมาก็คงตั้งหลักรับได้ทัน

    ในห้องค่อนข้างมืดแต่ก็มีแสงจากข้างนอกลอดผ่านเข้ามานิดหน่อยพอจะทำให้เขาเห็นก้อนมนุษย์ที่นอนขดตัวอยู่บนโซฟา
    .
    .
    เหมือนกับคืนนั้น

    แน่นอนว่าคืนนั้นฝนตกแล้วก็ตกมากเสียด้วยเพราะพยากรณ์อากาศบอกว่าพายุจะเข้า เสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าดังสนั่นหวั่นไหวราวกับฟ้าทั้งผืนจะพังลงมา แต่นั่นไม่ใช่ต้นเหตุที่ทำให้ปู่ฝานตื่นขึ้นมากลางดึกแบบนี้

    ‘มะ มะ ไม่...’

    เสียงละเมอของใครบางคนทำให้ปู่ฝานหัวเสียนิดหน่อย จะหันไปต่อว่าคนที่นอนอยู่ข้างๆ แต่ก็ต้องชะงักเพราะนึกขึ้นได้ว่าคืนนี้เขานอนอยู่คนเดียว เสียงฝนทำให้เขานึกถึงอีกคนขึ้นมาก่อนจะพาร่างกึ่งหลับกึ่งตื่นของตัวเองมาที่หน้าห้องของโซลเมทอย่างจื่อหยาง

    หงุดหงิดมากกว่าเดิมเมื่อได้คำตอบจากหลิงเชาที่เดินงัวเงียมาเปิดประตูให้ว่าจื่อหยางไม่ได้กลับมานอนที่หอ

    สุดท้ายเขาก็พาตัวเองมาที่บริษัทจนได้ เดินดูทุกห้องจนเหลือห้องสุดท้ายซึ่งก็คือห้องเล็กๆ ที่พวกเขาเอาไว้มานั่งเล่นนอนเล่นหลังจากการซ้อม ปู่ฝานผลักประตูเข้าไปกวาดสายตาในความมืดจนทั่วห้องก่อนจะพบกับร่างของคนที่ตามหานอนอยู่บนโซฟา ขายาวก้าวเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงตัวจื่อหยาง

    ทุกการกระทำเป็นไปอย่างเงียบเชียบที่สุดเพราะเกรงว่าอีกคนจะตื่น

    ตอนนี้ความมืดกลืนกินท้องฟ้าเสียจนไม่เหลือแสงสว่างใดๆ เว้นก็แต่แสงจากหลอดไฟตามท้องถนน ปู่ฝานทรุดตัวลงนั่งยองๆ พลางมองใบหน้าของจื่อหยางยามเข้าสู่ภวังค์ จ้องมองอยู่นานกระทั่งเกิดความคิดบ้าๆ ขึ้นมาในหัว

    ปู่ฝานชั่งใจและไตร่ตรองอยู่ครู่นึงแต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจประกบริมฝีปากของตัวเองกับคนที่นอนอยู่บนโซฟา ความหนักหน่วงเพิ่มขึ้นตามธรรมชาติของการจูบ มือหนาลูบไล้ยอดอกผ่านเสื้อยืดตัวบางจนมันเริ่มแข็งเป็นไต...

    แต่ก็ต้องหยุดไว้แค่นั้นเพราะหมัดขวาที่ซัดใส่แก้มซ้ายของปู่ฝาน

    ตัั้งแต่คืนนั้นระยะห่างของเขาก็จื่อหยางก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เช้าของวันถัดไปและต่อๆ ไปเราทำเหมือนกับเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น เราคุยกันแทบจะนับคำได้และส่วนใหญ่ก็เป็นปู่ฝานที่เริ่มบทสนทนาก่อน
    .
    .
    .
    ปู่ฝานตบเปิดสวิตซ์ไฟได้อย่างแม่นยำ กวาดของทุกอย่างออกก่อนจะวางถ้วยโจ๊กลงบนโต๊ะที่อยู่ข้างๆ โซฟา

    กลิ่นโจ๊กหอมๆ เรียกความสนใจจากคนที่นอนอยู่ได้สำเร็จ จื่อหยางลุกขึ้นมากินโจ๊กด้วยสีหน้าเรียบนิ่งไม่มีการเอ่ยทักทายหรือขอบคุณ ราวกับปู่ฝานไม่ได้อยู่ตรงนั้น

    ความเงียบโรยตัวอยู่โดยรอบจนเริ่มก่อตัวเป็นความอึดอัด

    "เมื่อไหร่จะเลิกหลบหน้ากัน"

    คำถามของปู่ฝานทำลายความเงียบแต่ก็เพิ่มความอึดอัดไปอีกเท่าตัว จื่อหยางมองอีกคนด้วยสายตาที่ว่างเปล่า

    ถ้าการใช้ข้ออ้างว่าง่วงแล้วไม่ยอมไปกินข้าวกับคนอื่นๆ ถือเป็นการหลบหน้า จื่อหยางก็คงกำลังหลบหน้าปู่ฝานอยู่จริงๆ ล่ะมั้ง

    "กลับมาคุยกันเหมือนเดิมไม่ได้รึไง"

    "นี่เราก็คุยกันอยู่ไม่ใช่เหรอ"

    จื่อหยางพูดหลังจากที่เป็นฝ่ายเงียบอยู่นาน

    "ไม่ใช่แบบนี้ดิ"

    "......"

    "หมายถึงคุยกันเล่นกัน...เหมือนเมื่อก่อน"

    "แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วไง"

    "......"

    ความเงียบทำหน้าที่ของมันได้เป็นอย่างดีอีกครั้งในสถานการณ์แบบนี้ จื่อหยางละสายตาจากปู่ฝานแล้วปล่อยให้เพดานขาวเป็นที่ยึดสายตาสักพัก

    "การมีโซลเมทเป็นไอ้เด็กยักษ์แบบฉันมันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอจื่อหยาง"

    ความน้อยใจเจือมาในน้ำเสียงของคนที่ตัวสูงกว่า

    "รังเกียจกันขนาดนั้นเลยใช่--"

    คำพูดต่อไปของปู่ฝานถูกกลืนหายไปในลำคอ ยังไม่ทันได้ตั้งตัวเขาก็ถูกอีกคนดันจนเซล้มไปนอนอยู่บนโซฟาเสียแล้ว ปู่ฝานรู้สึกถึงรสชาติของโจ๊กอ่อนๆ ยามที่ลิ้นของอีกฝ่ายพยายามรุกล้ำเข้ามาในโพรงปากของเขา

    ลิ้นร้อนชื้นของจื่อหยางดูดดุนหยอกล้อกับยอดอกของคนใต้ร่างผ่านเสื้อกล้ามสีดำจนเปียกแฉะ ความเสียวซ่านทำให้ปู่ฝานซี๊ดปากอย่างห้ามไม่ได้ 

    อันเดอร์แวร์ของคนที่ตัวสูงกว่าถูกนิ้วเรียวของจื่อหยางเกี่ยวรั้งลงมาพร้อมๆ กับกางเกงขาสั้นสีเทาตัวบาง ปู่ฝานไม่แน่ใจว่าที่เขาขนลุกอยู่นี่เป็นเพราะอุณหภูมิที่ลดต่ำลงในฤดูฝน หรือเป็นเพราะลิ้นอุ่นๆ ของใครอีกคนที่กำลังกระหวัดเลียส่วนกลางลำตัวของเขาอยู่

    "ฉันไม่ได้ไปเอากับใครที่ไหนรู้ไว้ซะด้วย"

    จื่อหยางคายแท่งร้อนที่เยิ้มไปด้วยน้ำลายออกมาเพื่อพูดกับคนที่นอนหอบฮักก่อนจะกลับลงไปตั้งหน้าตั้งตาทำสิ่งที่ทำอยู่ก่อนหน้านี้อีกครั้ง

    ปู่ฝานผงกหัวขึ้นมามองคนที่อยู่ตรงหว่างขาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง

    "งั้นก็หมายความว่านายชะ--"

    "ไอ่อ้องอูด"

    แผ่นหลังหนาแอ่นลอยขึ้นจากเบาะพร้อมเสียงซี๊ดปากเป็นระยะๆ เพราะสัมผัสจากโพรงปากที่กำลังรูดรั้งส่วนนั้นในจังหวะไม่คงที่ มันทำให้เขารู้สึกดีจนต้องสวนสะโพกเข้าหาความอบอุ่นจากโพรงปากของอีกคน

    ปู่ฝานนิ่วหน้าทันทีเมื่อรู้สึกถึงนิ้วยาวที่รุกล้ำเข้ามาตรงช่องทางด้านหลัง จิกเกร็งปลายเท้าเมื่ออีกฝ่ายงอนิ้วพร้อมกระแทกเข้าออกและยิ่งจิกเกร็งขึ้นไปอีกเมื่อจื่อหยางเพิ่มจำนวนนิ้ว

    คนแก่กว่าเพิ่มความเร็วทั้งสองตำแหน่งขึ้นเรื่อยๆ ปู่ฝานขบกรามแน่นรับทุกสัมผัสที่อีกคนมอบให้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขากำลังรู้สึกดีมากเสียจนอยากหยุดเวลานี้เอาไว้ หยุดมันเอาไว้แค่ห้องนี้

    ไม่นานส่วนนั้นของปู่ฝานก็ปลดปล่อยออกมาจนเต็มโพรงปากของคนตัวบางและทุกหยาดหยดถูกกลืนลงคอในวินาทีถัดไป

    "กลืนเข้าไปทำไม!"

    เอ่ยปากต่อว่าพร้อมกับปาห่อกระดาษทิชชู่ใส่ไอ้คนที่กำลังใช้หลังมือเช็ดสิ่งที่เยิ้มอยู่ที่มุมปาาก

    "อยากให้คนอื่นรู้รึไงว่าเรามาทำอะไรกันที่นี่"

    "....."

    "อีกอย่าง..ก็จะได้รู้ว่าฉันไม่ได้รังเกียจนาย"

    นาทีนี้ไม่มีอะไรทำงานได้ดีไปกว่าความเงียบอีกแล้ว ต่างฝ่ายต่างจ้องตาหยั่งเชิงกันว่าใครจะเป็นฝ่ายเปิดปากพูดต่อ

    "สำหรับฉันมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นนะปู่ฝาน"

    จื่อหยางสูดเอาออกซิเจนเข้าไปจนเต็มปอดแล้วปล่อยมันออกมารวดเดียวจนหมดก่อนจะเอ่ยปากพูดสิ่งที่เรียบเรียงไว้ในใจ

    "เราเป็นเพื่อนกันมากี่ปี จู่ๆ จะให้เปลี่ยนจากเพื่อนไปเป็นอย่างอื่นมัน...."

    "......"

    "หลายครั้งที่ตัวฉันเองก็สับสนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันคืออะไร บางครั้งก็โหยหาแต่บางครั้งก็กลับผลักไสเมื่อนายเข้ามาใกล้"

    "....."

    "ยิ่งเราเป็นไอดอล นายก็รู้ว่าความสัมพันธ์มันกระทบกับหน้าที่การงานของเรามากแค่ไหน"

    "....."

    "ฉันเลยคิดว่ามันจะดีกว่าถ้าฉันเว้นระยะห่างเพื่อหาคำตอบให้ตัวเอง"

    จื่อหยางเงยหน้ามองเพดานเพื่อหยุดความอ่อนแอที่กำลังจะรินไหลลงมา แต่มันมีมากไปจนเกินจะห้ามไหว ปู่ฝานที่จัดการกับท่อนล่างของตัวเองเสร็จถือโอกาสนี้ดึงคนตัวบางเข้ามากอดไว้แนบอกโดยไม่สนว่าอีกฝ่ายจะต่อว่าหรือผลักไสเขาหรือไม่ แต่จื่อหยางก็ไม่ได้ทำทั้งสองอย่าง เขายืนนิ่งแล้วปล่อยให้เนื้อผ้าของปู่ฝานซับน้ำตาจนเปียกชุ่ม

    จื่อหยางรู้ตัวดีว่าเขาอ่อนแอเกินกว่าจะรับได้ว่าเพื่อนที่คบกันมานานจะกลายมาเป็นโซลเมทของเขา ความรักของจื่อหยางที่มีต่อปู่ฝานมันยังไม่มากพอที่จะทำให้ตัวเขามั่นใจในความสัมพันธ์นี้ แต่ถ้าหากถึงเวลาที่ต้องเลือกว่าจะหยุดแค่นี้หรือเดินหน้าต่อคนขี้ขลาดแบบเขาก็ลังเลที่จะตอบอยู่เหมือนกัน จื่อหยางเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้...

    คนแก่กว่าผละตัวออกจากอ้อมกอดของเด็กหนุ่ม ปาดน้ำตาทิ้งอย่างลวกๆ 

    "ขอเวลาให้ฉันหน่อย..."

    "......"

    "แล้วฉันจะกลับไปเป็นหยางเกอคนเดิมของนาย"

    รอยยิ้มเล็กๆ ถูกวาดขึ้นบนใบหน้าของปู่ฝาน นึกย้อนไปถึงวันแรกที่ต่างฝ่ายต่างช็อคไม่แพ้กันเมื่อได้ยินเสียงของโซลเมทในวันที่ฝนพรำ พี่ชายคนนี้ของเขาบอบบางกว่าที่เขาคิดไว้มากและนั่นก็ทำให้เขาอยากปกป้องคนๆ นี้ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใดก็ตาม

    "อย่าปล่อยให้ฉันรอนานนะ"
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    E N D
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    ปาดเหงื่อแบบปาดแล้วปาดอีก

    เป็นเรนเวิร์สที่ไม่ใช่เรนเวิร์สเรยOrz

    มีความไม่เมคเซ้นต์ในบางช่วงบางตอนต้องขออภัยด้วยค่ะ /กราบรอบทิศ

    พยายามจะเขียนแบบไม่ฟิกโพสิชั่น แต่ก็มีแอบหลุดๆ อยู่นิดหน่อย(?)ในส่วนนี้ก็ต้องขออภัยเช่นกัน

    อนึ่ง ฟิคเรื่องนี้คือฟิคแก้บนที่เคยบนๆ บ่นๆ กับตัวเองเงียบๆ ว่าถ้าปู่หยางมีโมเม้นต์ไม่ว่าจะมากหรือน้อยเราจะแต่งวันช็อตหนึ่งเรื่องเพื่อเป็นเกียรติเป็นศรีของกอผักตบนี้

    สุดท้ายนี้ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านฟิคกากๆ ของคนกากๆ นะคะ ติชมกันได้ ด่าได้แต่อย่าแรงเพราะนุ้บอบบาง เริ้บ.

    ♥ @genonerzou_





เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in