เขาวิ่งเข้ามาที่ชานชาลารถไฟ ฉันเห็นเขาหอบเหนื่อยแต่ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เขาเหมือนเด็กที่ไม่รู้จักโตตื่นเต้นกับสิ่งใหม่ๆ ที่จะได้เจอ
“วันนี้เราจะไปที่ไหนกัน” เขาถาม
“ใจเย็นๆ สิ ปกติเธอไม่ได้เป็นคนใจร้อนนี่นา”
“ก็ฉันอยากรู้นี่นา ว่าเราจะไปไหนกัน”
ฉันยื่นตั๋วให้เขา แล้วเดินนำเขาขึ้นไปนั่งบนรถไฟรอเวลาเคลื่อนหัวรถจักร เขาบ่นใส่ฉันที่ฉันไม่ยอมบอกว่าจะพาไปไหน แต่เขาก็ดื่มด่ำกับสองข้างทางที่เขาเห็น หยิบกล้องตัวโปรดขึ้นมาถ่าย กล้องฟิล์มรุ่นเก่าที่ยังเก๋าอยู่ ฉันเคยเห็นรูปที่เขาถ่าย แสงและองค์ประกอบของภาพสวยมาก เขาคงเห็นฉันชอบล่ะมั้ง ก็เลยให้รูปนั้นกับฉันมา ฉันนั่งมองเขาถ่ายรูปวิวด้านนอกจนกระทั่งเขาโบกมือด้านหน้าฉัน
“เธอเป็นอะไรรึเปล่า” เขามองอย่างสงสัย
“เปล่า ทำไมหรอ” ฉันตั้งสติตอบเขา
“ฉันเห็นเธอนั่งเหม่อ ก็เลยสงสัย ว่าแต่เธอบอกได้รึยังว่าเราจะไปที่ไหน” ฉันยังไม่ทันจะได้บอกเสียงประกาศตามสายบนขบวนรถไฟก็ดังขึ้นมา เป็นสถานีปลายทางของเรา ฉันเก็บของแล้วบอกให้เขาเดินตามฉันมา เขาก็เดินตามมาอย่างว่าง่าย
สิ่งแรกที่เขาเห็น เขาตะโกนออกมาเสียงดังแล้วดึงมือฉันให้วิ่งตามเขาไป “ทะเล” อาจจะเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่เขาชอบพอๆ กับท้องฟ้าจำลองก็เป็นได้
“ทำไมเธอไม่ยอมบอกฉันว่าเธอจะพาฉันมาทะเล ฉันจะได้เตรียมตัวมา” เขาบ่นอุบอิบ
“แล้วทำไมฉันต้องบอกเธอด้วยล่ะ” ฉันถามเขากลับไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“เห็นแก่ทะเล เธอจะไม่ได้ยินฉันบ่นเรื่องนี้ในวันนี้อีก” เขาพูดจบ ก็ดึงมือฉันไปเดินเล่นริมหาด คลื่นที่ซัดเข้ามาถูกทำให้เบาลงแต่ก็ยังซัดขึ้นมาถึงหาดทรายที่เราเดินอยู่ด้วยกัน เขาสะพายเป้ใบโปรดห้อยกล้องฟิล์ม และถือรองเท้า ฉันสะพายเป้ใบเล็ก สวมหมวก แว่นกันแดด และถือรองเท้า เราเดินคุยกันถึงหนังสือเล่มที่แลกกันอ่าน “8½ ริคเตอร์” เล่มที่เขาบอกว่ายังอ่านไม่จบ ส่วนฉันนั้นอ่านจบไปสองรอบก่อนที่เราจะแลกหนังสือกัน
“ฉันชอบที่ฟูจิซังบอกกับซานาโกะว่า ‘คุณคือจุดฟูลสต็อปในประโยคชีวิตอันเปราะบางของผม’ ฉันว่ามันละมุนมาก อ่านแล้วรู้สึกอุ่น” ฉันพูดขึ้นมา เราคุยกันเรื่องนี้ ลามไปเรื่องอื่นๆ เล่มที่ฉันกำลังอ่านอยู่ หรือแม้กระทั่งเล่มที่เพิ่งซื้อมาใหม่
มื้อเที่ยงริมทะเลของเรามันก็คงเหมือนการย้ายที่นัดพบกันซะมากกว่า จากร้านกาแฟเล็กๆ มาเป็นชายทะเลที่โล่งโปร่ง ฉันไม่แน่ใจว่าเราสองคนคุยกันถึงเรื่องหนังสือที่แลกกันอ่านไปจนถึงเมื่อไหร่ รู้ตัวอีกที เขาก็ทานหมดไปเกือบครึ่งจานซะแล้ว
หลังจากนั้น เราก็เดินเล่นริมชายหาดไปด้วยกัน จนกระทั่งตกเย็น ฉันนั่งอยู่บนโขดหิน มองดวงอาทิตย์ที่กำลังจะหล่นลงน้ำ ส่วนเขาก็เดินเล่นอยู่ริมชายหาดไม่ไกลจากฉันเท่าไหร่ เขาอาจจะหามุมถ่ายรูปอยู่ก็เป็นได้แสงอาทิตย์ยามลับขอบฟ้า เป็นแสงสีส้มๆ ทองๆ กับชมพูอ่อนๆ ตัดกับขอบฟ้าและพื้นน้ำสีฟ้าใส ฉันได้ยินเสียงชัตเตอร์กล้องฟิล์มของเขาดังขึ้นเป็นระยะ นี่อาจจะทำให้เขามีความสุข และได้พักจากการทำงานอันเคร่งเครียดในแต่ละวันของเขา
เสียงคลื่นที่กระทบโขดหินฟองน้ำที่ลอยขึ้นมา คลื่นที่กระทบฝั่ง ฝูงนกที่บินตัดดวงอาทิตย์ ฉันเก็บภาพนั้นด้วยสายตา กอดท้องฟ้าและอากาศ หลับตารับลมทะเล เขายังคงกดชัตเตอร์ของเขาอยู่ แต่เปลี่ยนเป็นกล้องมิเรอร์เลส แต่ฉันไม่ได้สนใจมากเท่ากับลมทะเลในตอนนี้
แสงเริ่มอ่อนลง ความมืดเริ่มเข้ามาแทนที่ เขาปิดกล้องแล้วหามุมสงบยืมมองดวงดาวบนท้องฟ้า ริมชายหาด แสงจากตึกสูงแทบจะไม่มีให้เห็น อีกทั้งท้องฟ้ายังปลอดโปร่ง เขาชอบท้องฟ้าตอนกลางคืนนี่นา ท้องฟ้าตอนกลางคืน และหมู่ดาว เขายืนอ้าแขนรับลมทะเล ราวกับว่าโอบกอดท้องฟ้ายามค่ำคืนนั้นอยู่
เราเดินทางกลับคืนวันนั้น เขามาส่งฉันที่หน้าบ้านแล้วเราก็แยกกัน
“วันนี้มีความสุขมากเลย ขอบคุณนะ” เขาบอกแล้วโบกมือให้ฉันแล้วเดินกลับไป ไม่นานเขาก็ส่งข้อความมาบอกฉันว่าถึงห้องเรียบร้อยแล้ว ส่วนฉันก็จัดการธุระ เก็บของแล้วจึงเข้าไปอาบน้ำ เราบอกราตรีสวัสดิ์กัน เขานั่งทำรูป และล้างฟิล์มในตอนดึก พลังงานของเขายังคงเต็มปรี่ ต่างกับฉัน ที่ไม่นานก็ผล็อยหลับไป
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in