เช้าวันนี้เป็นวันที่อากาศดีวันหนึ่ง อาจจะดีกว่าหลายๆ วัน เพราะเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว แต่ฉันยังไม่รู้สึกถึงความเย็นของอากาศเท่าไหร่ นอกเสียจากบรรยากาศภายนอกที่สดใส เริ่มมีหมอกจางๆ เป็นบางครั้ง และไอความเย็นที่แผ่ออกมาจากตัวอาคารรวมถึงกระจกที่เป็นฝ้าขาวๆ จากภายใน
บนรถไฟฟ้าก็ไม่ต่างกัน แม้ว่าใครต่อใครจะบอกเอาไว้ว่า วันนี้ด้านนอกอากาศหนาวกว่าปกติ แต่บนสถานีก็ยังคงร้อนอบอ้าวเหมือนทุกวัน ผู้คนที่อัดแน่นราวกับเป็นปลากระป๋อง บนสถานีรถไฟฟ้าที่ไม่สามารถรองรับผู้คนได้เยอะขนาดนี้ ฉันไม่อยากจะคิดเลยว่า หากต้องออกมาทำงานในเวลาที่มีคนออกมาพร้อมกันมากๆ อย่างวันนี้ ฉันคงประสาทเสียแน่ๆ ตั้งแต่แซงคิวต่อแถว รวมไปถึงเบียดเข้ารถไฟฟ้าก่อนที่คนด้านในจะออกมา ฯลฯ (ถ้าฉันไม่มีนัดประชุมพิเศษในตอนเช้าของวันนี้ ฉันจะไม่มีทางออกมาในเวลาแบบนี้อย่างแน่นอน)
วันทั้งวันฉันแทบไม่มีเวลาว่างที่จะปลีกตัวออกมาซื้อช็อกโกแลตร้อนที่ร้านประจำเลย ทั้งๆ ที่วันอื่นๆ ฉันมักจะมีเวลาว่างให้ออกมา แต่ในความแย่ของช่วงวัน ก็มีช่วงเวลาดีๆ ให้กับฉันอยู่เหมือนกัน นอกจากการที่จะได้เลิกงานไวกว่าเดิม (นิดนึง) ก็ยังมีเรื่องอื่นๆ อีก แต่มันอาจจะเป็นความบังเอิญก็เป็นได้
อย่างที่บอกไปว่าฉันได้เลิกงานเร็วขึ้น ร้านกาแฟร้านประจำก็จะเป็นช่วงที่คนน้อยกว่าเวลาที่ฉันมาค่อนข้างมาก และทำให้ร้านอยู่ในบรรยากาศที่เงียบ เสียงของผู้คนที่เดินขวักไขว่ด้านนอกก็ไม่ทำให้เสียงภายในร้านดังขึ้นมามากมายเท่าไหร่ เสียงของเครื่องทำกาแฟ และเพลงที่เปิดคลอภายในร้านก็ช่วยส่งเสริมบรรยากาศให้ฉันอยากที่จะหยิบหนังสือเล่มที่ค้างเอาไว้ขึ้นมาอ่านเพื่อฆ่าเวลา รอกลับบ้านในช่วงเวลาเดิมเหมือนทุกๆ วัน ติดตรงที่เล่มนี้ค่อนข้างหน้า แม้จะหนาจนเกือบหนึ่งนิ้วไม้บรรทัด แต่ด้วยน้ำหนักที่เบา ก็ทำให้ฉันชอบที่พกหนังสือเล่มนั้นไปไหนมาไหนด้วยเสมอ
หลังจากที่ได้ช็อกโกแลตร้อนมาวางเอาไว้ข้างกายแล้วนั้น นาฬิกาก็ดังขึ้นมาบอกเวลาห้าโมงเย็น เพลงที่เปิดคลอเอาไว้ก็เปลี่ยนบรรยากาศ จากเดิมที่เป็นเพลงแนวบอสซ่าฟังเพลินๆ ที่ร้านกาแฟมักจะชอบเปิด ตอนนี้ก็เปลี่ยนมาเป็นเพลงอะคูสติกฟังสบายๆ และมีลูกเล่นเล็กๆ ของเสียงกีตาร์และเครื่องดนตรีชิ้นอื่นๆ อยู่ด้วย ฉันนั่งถือหนังสือเอาไว้อยู่นาน จนกระทั่งเขาเดินมาหาที่โต๊ะแล้วดีดนิ้วหน้าฉัน "ทำอะไรเนี่ย" ฉันถามเขาขึ้นมา เพราะเห็นเขาเอานิ้วมาใกล้กับหน้าฉัน "เล่นอะไรเป็นเด็กเลยนะ"
"ไม่ได้เล่นสักหน่อย ก็เห็นเธอนั่งเหม่ออยู่นี่นา" เขาตอบ แต่นี่ฉันนั่งเหม่ออยู่รึไงเขาถึงได้บอกมาแบบนั้น อันที่จริงฉันกำลังเงี่ยหูฟังเพลงที่ร้านกำลังเปิดอยู่ต่างหากล่ะ ใช้แอพช่วยเสิร์จเพลงก็ใช้ไม่ได้ เสียงเพลงมันเบาเกินไป "ฉันกำลังตั้งใจฟังเพลงอยู่ต่างหากล่ะ" ฉันบอกเขาไป แต่ดูเหมือนว่าเขาสนใจหนังสือในมือฉันมากกว่า "นี่ถ้าไม่ฟังก็จะไม่พูดแล้วนะ"
"ฟังอยู่น่ะสิ เห็นเธอบอกว่าตั้งใจฟังเพลงอยู่ แต่ฉันก็รู้สึกว่ามันก็เหมือนๆ กันในทุกๆ วันนะ แล้วก็ฉันเห็นว่าหนังสือเธอน่าสนใจดีด้วย"
"เล่มนี้น่ะหรอ" ฉันชูให้เขาดู มันเป็นหนังสือเล่มหนาสีส้ม แต่ถึงแม้ว่ามันจะหนา มันก็เป็นหนังสือขนาดพอดีมือ และน้ำหนักเบา "เธอสนใจเพราะชื่อหนังสือ หรือเพราะสีล่ะ"
"เพราะชื่อหนังสือต่างหากล่ะ ฉันคุ้นมันมากเลย เหมือนจะเคยหยิบมาเปิดๆ แต่ว่ายังไม่ทันได้ซื้อ เพราะกลับมาอีกทีก็หายไปแล้ว" เขาตัดพ้อ
"น่าสงสารจริงๆ" ฉันไม่ได้สงสารเขาขนาดนั้นหรอก เพียงแต่เขาน่าเอ็นดูเสียเหลือเกิน เวลาเขาทำเสียงตัดพ้อแบบนี้
"เลิกพูดเลย" ดูสิ ไม่ทันไรเขาก็ทำหน้างอ ฉันก็เลยก้มหน้าอ่านหนังสือเล่มนั้นต่อ ส่วนเขาก็ยกเครื่องดื่มของเขาขึ้นมาจิบ แล้วหยิบ Over-ear ตัวใหม่ขึ้นมาครอบหู แล้วดำดิ่งไปกับเสียงเพลงที่เขาเปิด แต่ก็ยังคงหน้ามุ่ยอยู่เหมือนเคย
จนกระทั่งเสียงนาฬิกาของเขาดังขึ้นเวลาเดิม ส่วนเขาก็ยังคงไม่ได้สังเกตนาฬิกาของเขาอย่างแน่นอน เพราะตอนนี้เขายังนั่งจดอะไรของเขาอยู่ และยังสวม Over-ear อยู่ ฉันจึงวางหนังสือลงแล้วไปสะกิดเขา เพื่อบอกเวลา "จะกลับพร้อมกันรึเปล่า" ฉันถามขึ้น
"อื้อ นี่สองทุ่มแล้วหรอ" เขาถอดหูฟังออก แล้วถามกลับมา "เร็วจัง"
"เธอนั่นแหละที่ยังเพลินกับเพลงจนลืมเวลาน่ะ"
"ก็ได้เพลงใหม่มานี่นา ฟังมั้ยล่ะ"
"ไว้ขึ้นรถไฟฟ้าก่อนก็ได้"
"ได้เลย ฉันว่าเธอชอบแน่"
"อย่ามั่นใจนักเลย"
"เอาน่าๆ"
เราเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่พบเจอมาแต่ละวันเหมือนเคย ฉันบ่นให้เขาฟังว่าวันนี้ฉันต้องออกมาเช้ากว่าปกติ เขาถึงได้นึกออกว่าทำไมวันนี้เขาถึงไม่เจอฉันในช่วงสายเหมือนทุกวัน เขาอาจจะเห็นว่าฉันบ่นเรื่องงานเยอะล่ะมั้ง ก็เลยชวนฉันคุยเรื่องเพลงมากกว่าทุกวัน ตั้งแต่ฉันเริ่มเก็บของจน เอาขนมที่สั่งเอาไว้ กระทั่งเดินไปรถไฟฟ้าด้วยกัน ปกติเขาไม่ค่อยคุยเรื่องงานของเขาเท่าไหร่ รวมถึงเพลงใหม่ๆ ที่เขาได้กลับมาฟังด้วย แต่วันนี้เขากลับชวนคุยเรื่องงาน รวมถึงเรื่อง Over-ear ตัวใหม่ของเขาที่สวมอยู่ที่คอ และแนะนำเพลงใหม่ๆ ให้ฉันฟังอีก เราคุยกันเพลินจนเขาลืมเอาเพลงให้ฉันฟัง และเขาบอกว่าไว้พรุ่งนี้เย็นจะเปิดให้ฟังใหม่
"ไว้พรุ่งนี้เย็นขอแก้ตัวใหม่นะ เดี๋ยวเปิดให้ฟัง เดี๋ยวเอาเพลย์ลิสต์ใหม่ให้เธอด้วยทีเดียวเลย แต่วันนี้อย่าลืมไปฟังเพลงนี้นะ" เขาพูดเสร็จก็ยื่นแผ่นกระดาษที่จดชื่อเพลงและชื่อวงเอาไว้ให้
"มันอ่านว่าอะไรนะ"
"ชื่อวงน่ะหรอ อ่านว่า Swimmers ไงล่ะ"
"อย่างนี้นี่เอง"
"อื้อ เพลงเพราะดี ถ้าชอบไม่ชอบก็บอกด้วยนะ"
"อื้อ"
"บาย ไว้เจอกันนะ"
"อื้อ บาย"
ฉันคลี่กระดาษแผ่นนั้นที่เขาเขียนมาให้ นั่นเป็นเพลงที่ฉันเพิ่งจะฟังมาเมื่อเช้านี้เอง แต่พอจะหันไปบอกเขา เขาก็เดินลับตาไปเสียแล้ว ฉันหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมา เห็นข้อความเล็กๆ ที่เขาเขียนเอาไว้ พร้อมกับรอยยิ้มกวนๆ ที่เขามักวาดติดไว้เสมอนั้น ฉันก็อดยิ้มออกมาอย่างเสียไม่ได้
อย่างน้อยการมาทำงานในเช้าวันนี้ก็ทำให้ฉันได้ฟังเขาคุยเรื่องต่างๆ มากกว่าปกติ นับเป็นเรื่องดีๆ ของวันได้ล่ะมั้ง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in