เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Plaa's diary feat. APP JP LINGnamprikplaa2
Entry No.3 ข้อควรคำนึงเมื่อเขียน 自己PR
  • เย้ เฮลโหลค่ะทุกคนสบายดีไหมคะ✧٩(ˊωˋ*)و✧

    ก็กลับมาพบกันอีกครั้งในเอนทรี่ที่ 3 นะคะ หลาย ๆ วันที่ผ่านมาเราค่อนข้างยุ่งกับงานที่บ้านมาก ๆวีคนี้เลยมาลงบล็อกช้าไปหน่อยค่ะ แหะ ๆ5555555 (เปล่าอู้น้า---)

    สำหรับเนื้อหาในวีคนี้เราอยากจะพูดถึงเรื่อง自己PR ซักหน่อยค่ะ

    (สำหรับใครที่เบื่อ ๆ ลองคลิกเปิดฟังเพลงนี้ระหว่างอ่านก็ได้นะคะ ไม่เกี่ยวกับเนื้อหาหรอกค่ะ แค่อยากขายเพลง5555555)

          โดยส่วนตัวเรื่องนี้ค่อนข้างใหม่สำหรับเราค่ะฟังดูทีแรกละเหมือนจะง่าย แต่จริง ๆ คือ โคตรยาก 5555555555555555 เพราะว่าถ้าถามว่าเรานี่มันเป็นคนแบบไหนเราก็คงตอบแบบเล่นๆ บอกไปตามตรงได้นะคะ แต่อันนี้มันคือใช้งานโอกาสทางการอย่างการสมัครงาน..........คือการเขียนพรีเซ้นต์ตัวเองเวลาสมัครงานเนี่ย มันคือการเขียนอวยตัวเองยังไงก็ได้ให้ดูดีและดูไม่นาร์ซิสจนเกินไปอะค่ะ ทั้งหมดจะต้องเบสออนความจริง และไม่เว่อวังจนเกินไปจากที่เราเรียนมาในคาบบวีคนี้เราก็ได้มีโอกาสฟังการบรรยายจากท่านผู้เชี่ยวชาญ(เป็นเกียรติมากค่ะ*กราบ*) ซึ่งเราก็ได้สรุปมาเป็นลิสต์ “ข้อควรคำนึง” เวลาเขียน自己PR ตามข้างล่างนี้เลยค่ะ


    1.   รู้จัก“ข้อดี” / “ข้อเสีย” ของตนเอง

    โดยทั่วไปแล้วการแอพพีลฝ่ายตรงข้ามที่เขาไม่เคยรู้จักเรามาก่อนเนี่ยการพูดถึงข้อดี หรือว่าข้อเสียก็เป็นวิธีที่ใช้กันบ่อย และมีความชัดเจนในการพรีเซ้นความเป็นตัวเราได้ดีมากๆ เลยค่ะ อย่างเช่นข้อดีของเราคือเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูง ถ้าได้รับมอบหมายงานมาแล้วเราจะวางแผนเลยว่าต้องทำให้เสร็จภายในเวลาไหน(โดยมากจะพยยทำให้เสร็จก่อนหนึ่งวันเดดไลน์) ซึ่งผลก็คือเราจะสามารถจัดสรรตารางชีวิตให้สามารถทำงานได้อย่างมีความสุขและไม่ต้องเครียดมากอะไรแบบนี้ค่ะหรืออีกข้อก็คือเราเป็นคนมองโลกในแง่ดีค่ะ ถึงเวลาเสียใจมันจะมีเฟลบ้างแต่เราไม่ค่อยจมกะมันมากเท่าไหร่ค่ะ(ถ้าถามคติประจำใจก็อาจจะเป็น I don’t give a * 55555555555) ถ้ารู้จักข้อดีของตนเองแล้วมันจะเขียนง่ายมากค่ะเราก็เขียนไปตามที่เราคิดว่าเราเป็น แต่ควรมีเค้าความจริงนะ ไม่ใช่มโน

           ส่วนข้อเสียนี่เราว่าแล้วแต่คนจะเขียนเลยค่ะจากที่เราอ่านของเพื่อน ๆ ในคลาสมาก็มีบางคนเขียนข้อเสียของตัวเองแล้วใช้ลีลาในการเขียนพลิกให้ตัวเองดูน่าสนใจขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เพื่อนคนหนึ่งในคลาสเขาเขียนประมาณว่าตัวเองไม่ชอบทำงานเบื้องหน้าแต่ชอบทำงานเบื้องหลังมากกว่าแล้วเขาก็ยกความสำคัญของงานเบื้องหลังประกอบกับประสบการณ์ที่เขาได้ทำงานเบื้องหลังเพื่อให้สิ่งที่เขาเขียนมีน้ำหนักมากขึ้น โดยส่วนตัวเราประทับใจของเพื่อนคนนี้มาก ๆ เลยค่ะ^^            

    *ข้อควรระวัง* บางสกิลอาจจะไม่ใช่ข้อดีก้ได้เช่น เป็นคนตรงต่อเวลา เพราะHRบางบริษัทเขาอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องที่ทุกคนควรทำอยู่แล้วนะคะ;;__;;


    2.   นึกถึงหลักwill/can/must

    บางทีเราก็ไม่รู้ใช่ไหมคะว่าตกลงเราเป็นคนแบบไหนแล้วบางทีก็ไม่มีคนให้ถามด้วย ไม่เป็นไรค่ะ เรามีสิ่งนี้มานำเสนอมันคือหลักสามอย่างที่จะช่วยให้เรานึกออกว่าตกลงเรามีดีตรงไหนกันแน่ได้ค่ะ555555555555

    WILL= 強い意志を持って取り組めるこเช่น จะวางแผนการทำงานให้มากกว่านี้เพราะตนเองเป็นคนขี้เกียจไม่ชอบเริ่มทำงาน

    CAN= 自分が得意で続けられるこ เช่น ตนเองถนัดงานส่วนนี้ก็ทำงานส่วนที่ชอบและถนัดก่อน

    MUST= 使命感を持って取り組めるこ เช่น เราจะต้องทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและไม่ผลัดวันประกันพรุ่ง

                   ไม่รู้ว่ามันจะช่วยทุกคนได้ไหมแต่ถ้าไม่รู้จะ自己分析ยังไงก็ลองพิจารณาใช้ดูกันนะคะ

                   (ขอบคุณต้นคิดจาก https://passnavi.evidus.com/article/study/202006_09/02/ ค่า)

     

    3.   具体的に書く!

    การเขียนว่าเราคิดหรือตั้งเป้าว่าจะเป็นเช่นนั้นโดยใช้คำว่า “พยายาม” เป็นเรื่องที่ดีค่ะ แต่มันจะขาด 説得力 ในสายตาผู้อ่าน ทุกคนลองนึกถึงภาพลู่วิ่งตั้งแต่จุดสตาร์ทจนถึงจุดเส้นชัยนะคะ

    -            เขียนแบบมีเป้าหมายแต่ไม่มีอธิบายเกี่ยวกับวิธีการที่จะนำไปสู่เป้าหมาย

    -            เขียนแบบมีเป้าหมายและวิธีการที่ชัดเจน

    การทำให้ผู้อ่านเห็นเส้นทางที่เราจะใช้เพื่อนำไปสู่เป้าหมายที่เราหวังไว้จะช่วยให้自己PR ของเรานั้นไม่ดู抽象的เกินไปและยังช่วยฝึกเราให้วางแผนด้วยค่ะ(*^▽^)/★*☆


    4.   นำสิ่งที่เขียนมาทั้งหมดเชื่อมโยงตัวเองกับหลักการทำงานของบริษัทที่จะสมัคร

    ข้อนี้สำคัญมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ก่อนเราจะไปสมัครงาน หรือยื่นทุนอะไรก็แล้วแต่ เราต้องเขียนแสดงด้วยค่ะว่าเราเนี่ย“เหมาะกับสถาบัน/องค์กร” ยังไง แล้วทำไมเขาต้องเลือกเรา เพราะถ้าเราเป็น HR เราก็คงอยากได้พนักงานที่วิสัยทัศน์ในการทำงานตรงกับสถาบัน/องค์กรใช่ไหมคะสมมติว่าเราไปสมัครงานเป็นคอลเซนเตอร์บริษัทหนึ่งและมีหลักการทำงานว่า “บริการด้วยใจห่วงใยสวัสดิภาพ” เราก็ต้องพยายามเชื่อมโยงว่าเราอะนะ เป็นคนที่คิดถึงคนรอบข้าง มีเซอร์วิสมายด์อะไรเทือกนี้ค่ะ  คหสตถ้าเราทำส่วนนี้ได้ดีและตอบโจทย์บริษัทก็จะทำให้เราได้คะแนนเพิ่มได้แน่นอนค่ะ

    สำหรับเอนทรี่ก็น่าจะมีเพียงเท่านี้ค่ะ ทั้งหมดเป็นลิสต์ที่เราสรุปด้วยตัวเอง มีทั้งที่ได้จากในคาบแล้วก็ที่เราไปหามาเองค่ะ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะคะ แล้วเจอกันใหม่ค่ะ(๑`·ᴗ·´๑)

    ปล. เรายังไม่ค่อยชินกับเว็บนี้ ถ้าฟ้อนต์มันแปลก ๆ ต้องขออภัยด้วยนะคะ แง(T▽T)

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
oriental_tomato (@oriental_tomato)
รูปประกอบน้องกระต่วยน่ารักมากเลยค่ะ ( •̀ ω •́ )y
ชอบการแบ่งเป็นข้อๆ (มีแค่ 4 ข้อ) จำได้ง่ายดี แถมยังมีการยกตัวอย่างประกอบด้วย ทำความเข้าใจตามง่ายมากเลยค่ะ
k.l.k (@k.l.k)
ภาพประกอบน่ารักจัง