เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ดวงดาวแห่งซีกโลกใต้ดาญา
ตอนที่ 3 ดาวเจ้าหญิงอันโดรมีดา Andromeda
  • เครื่องปรับความร้อนเสียงหึ่งๆกับไฟจากหลอดนีออนสว่างจ้าทำให้ห้องสี่เหลี่ยมทึมเทาที่ดูน่าเบื่อนั้นยิ่งเพิ่มความรู้สึกเหนื่อยหน่ายมากยิ่งขึ้น นอกจากโต๊ะทำงานว่างเปล่าสองตัวที่อยู่ติดกันแล้วก็มีตู้ใส่หนังสือและตำราจำนวนหนึ่งอยู่ติดผนังข้างประตู  โต๊ะของสิริหันหน้าออกไปยังหน้าต่างที่กิ่งก้านของต้นเมเปิ้ลแผ่ขยายราวกับม่านบังตาชั้นดีอยู่ด้านนอก ในต้นฤดูใบไม้ร่วง สีเหลืองปนส้มและแซมด้วยแดงจัดจ้าของใบเมเปิ้ลแต่งแต้มอยู่ทั่วทุกกิ่งก้าน  สีสวยของมันตัดกันฉับกับฉากหลังของฟ้าสีน้ำทะเลยามกลางวันที่ท้องฟ้าโปร่งไร้เมฆ บางครั้งมันก็เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้สิริอยากตื่นมาทำงาน  แต่หากเวลาของความงามเหลือเชื่อเช่นนี้อยู่ให้เธอชื่นชมได้ไม่ถึงสี่สัปดาห์ด้วยซ้ำ ตอนนี้ต้นเมเปิ้ลหลากสีหลือแค่ใบสีนำ้ตาลกรอบที่รอวันทิ้งต้นอย่างจำนนต่อชะตากรรม

    สายลมเมื่อพลบค่ำพัดโบกจนกิ่งเมเปิ้ลส่ายไหวเสียงดังแกรกๆ สิริปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์และถอดแว่นตาออกช้าๆเธอนวดขมับพลางถอนหายใจ เย็นวันศุกร์เช่นนี้คนส่วนใหญ่จะกลับบ้านเร็วกว่าปกติ บ้างก็เลี่ยงรถติด บ้างก็มีนัดทานข้าวกับคนรักหรือเพื่อนฝูง สิริไม่ต้องรีบร้อนที่จะไปไหนเช่นเคย เธอไม่มีคนรัก หรือกระทั่งเพื่อนสนิทที่รอฉลองวันหยุดสุดสัปดาห์ด้วยกัน

    สิริได้รับทุนจากรัฐบาลของที่นี่มาเรียนต่อระดับปริญญาโทเมื่อสองปีก่อน ระหว่างเรียนเธอมีเพื่อนสนิทอยู่สองคนคือโทมิโกะ สาวร๊อคเกอร์จากญี่ปุ่น และแอเดรียนาสาวงามตาคมจากบราซิล พวกเธอเรียนสาขาเดียวกันและแชร์บ้านกันอยู่ด้วย พวกเธอไปไหนมาไหนก็ตัวติดกัน จนกระทั่งวันหนึ่งที่ธอได้รับโทรศัพท์จากวีรวุฒิหนุ่มไทยสาขาวิศวกรรมเคมีที่กำลังหาเช่าบ้านอยู่โดยบังเอิญ 

     และจากนั้นวีรวุฒิเข้ามาเป็นชายหนุ่มหนึ่งเดียวในบ้านแก็งค์สาวโสด เขาทำตัวประหนึ่งแชปเปอโรนและคนขับรถให้ทุกคนในบ้าน ตอนแรกพวกเธอเดากันว่าเขาคงจะหลงเสน่ห์ของแอเดรียนาเป็นแน่ เพราะเมื่อวีรวุฒิรู้ว่าแอเดรียนามาจากบราซิลเขาก็ชวนคุยเรื่องต่างๆของประเทศลุ่มนำ้อเมซอนเป็นวรรคเป็นเวร ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ประวัติศาสตร์ เรื่องงานคานิวัล เรื่องทีมฟุตบอลทีมชาติ  เรื่องอาหาร  แต่สุดท้ายถึงรู้ว่าคุณพ่อเขาเคยเป็นทูตอยู่ที่นั่น และเขาได้ไปเยี่ยมคุณพ่อเมื่อตอนเด็กๆเลยมีความผูกพันกับประเทศนี้เป็นพิเศษ 

     สิรินึกถึงวันเวลาที่มีความสุขเหล่านั้นอย่างเหม่อลอย โทมิโกะกลับญี่ปุ่นทันทีเมื่อเรียนจบและตอนนี้ก็แต่งงานและกำลังตั้งท้องได้สามเดือนแล้ว  แอเดรียนานั้นย้ายไปอยู่ประเทศแถบแสกนดิเนเวียกับแฟนหนุ่มนักโบราณคดี  ส่วนวีรวุฒิ ....เธอรู้เลาๆว่าเขาแต่งงานแล้ว แต่จะกับใครมันก็คงไม่ใช่ธุระการอะไรของเธอนี่นะ

    " สิริ" เสียงเรียกดังมาจากข้างหลัง  ทำเอาเธอสะดุ้งโหยง

    " อ้าว ใจลอยไปถึงหน้าตึกแล้ว" อีกเสียงแซวขึ้นอย่างขำๆ เมื่อเธอเหลียวกลับไปดู ก็พบจอห์นหนุ่มไอริชและอลิชา สาวศรีลังกา เพื่อนร่วมโครงการวิจัย ที่โผล่หน้ามาหยอก

    "ฉันนึกว่าพวกเธอกลับไปแล้วซะอีกแน่ะ"  นำ้เสียงของเธอออกจะประหลาดใจ

    "ก็ว่าจะกลับอยู่หรอก แต่หลังจากเดินชนโปรเฟสเซอร์ไมค์ที่หน้าตึก แล้วพูดคุยกันสองสามคำ เลยคิดว่ากลับขึ้นมาชวนเธอไปกินเบียร์ดีกว่า" จอห์น อธิบายถึงสาเหตุด้วยนำ้เสียงทุ่มต่ำที่แต่ละคำดูเหมือนจะพันรวมกันในคอแบบสำเนียงไอริชที่เธอชอบฟังหนักหนา เธอเคยบอกจอห์นว่ามันทำให้เธอคิดถึงนักร้องไอริช  "เดเมียน ไรซ์ " ที่เป็นแฟนในจินตนาการของเธอ

    "ฉันว่าคงจะไม่ใช่แค่สองสามคำแน่ๆ" สิริหันไปมองหน้าอลิชาอย่างรู้เท่าทัน อลิชาหัวเราะกิ๊กออกมา พลางหยิบโค้ตส่งให้เธอ

    "ไปกันเถอะ เดี๋ยวฉันจะเล่าให้ฟัง"

    พวกเขาเดินออกจากห้อง ทิ้งกระจกที่มีเงาสะท้อนจากกิ่งเมเปิ้ลไหวเอนไว้เบื้องหลัง


  • เมื่อเดินผ่านประตูเข้ามาในผับ ก็เห็นคนหนาตาตั้งแต่หัวค่ำซึ่งเป็นปกติของวันศุกร์  โชคดีที่จอห์นซึ่งเป็นขาประจำของที่นี่ พวกเขาจึงได้ที่นั่งรอบโต๊ะกลม ที่มีเก้าอี้แบบหมุนสามตัว ใกล้ๆกับเคาน์เตอร์ด้านในสุดพอดี สิริถอดโค้ตพาดกับพนักเหล็กของเก้าอี้พลางมองสำรวจไปทั่วๆ 

     บาร์โอไบร์นอัน ผับแบบไอริชเก่าแก่ประจำเมือง ตกแต่งร้านด้วยไม้โอ๊คทาแลกเกอร์สีนำ้ตาลเข้มตัดกับขอบไม้ที่ทาสีเขียว มีแก้วไวน์และแก้วเบียร์ขนาดต่างๆห้อยแขวนเรียงรายอยู่หน้าเคาน์เตอร์ที่มีถังเบียร์สดหลากหลายยี่ห้อไว้ให้ลิ้มลอง ตรงข้างฝาประดับด้วยรูปโบราณและอักษรเขียนด้วยภาษาเกลิค และเครื่องดนตรีที่เรียกว่าปี่ไอริช และแบนโจ อยู่ที่ผนังถัดไป  ลูกค้าผู้ชายส่วนใหญ่ที่กำลังคุยกันโขมงออกรสชาตินั้นกลบเสียงเพลงที่ดังอยู่แว่วๆให้กลืนหายไปในบรรยากาศ 

    เมื่อเบียร์ดำ "กินเนส" อันเลื่องชื่อถูกยกมาในแก้วไพน์หนาหนัก สีขาวครีมของฟองเบียร์ละเลียดริมแก้วของทานเล่นสองสามอย่างทยอยมาวางตรงหน้าพร้อมกันด้วย มีมันฝรั่งหั่นหนาทอดที่เรียกว่าเวดเจส ที่เสริฟเคียงกันมาในตะกร้ากับซาวครีม ถั่วหลากชนิดอบแห้งโรยเกลือ และขนมปังซาวโดว์หั่นขวางอบมาร้อนๆพร้อมกับเครื่องจิ้มที่เป็นพริกหวานที่ย่างจนสุกแล้วปั่นเนียนกับครีมชีสและซาวครีมให้เข้ากันและโรยหน้าด้วยพาสลีย์  

    " สลอนชา" พวกเขาส่งเสียงไชโยเป็นภาษาไอริช  พลางยกแก้วสูงหนาหนักกระทบกันอย่างรู้ธรรมเนียม กลิ่นเบียร์ดำหอมกรุ่นเหมือนเครื่องเทศอวลอยู่ปลายจมูก

    " ตกลงว่าโปรเฟสเซอร์ว่าไงบ้าง" สิริหันหน้าไปถามอลิชาที่ถือแก้วไพน์เอาไว้ในอุ้งมือทั้งสองข้าง

    " จะว่าข่าวดีหรือข้าวร้ายก็ไม่รู้นะ จอห์น" อลิชาบุ้ยใบ้ไปทางชายหนุ่มข้างตัว

    " ก็เป็นเรื่องเงินทุนนั่นแหละ เห็นแกหัวเสียว่าโครงการจะถูกตัดเงินสนับสนุนจากมหาวิทยาลัย เพราะว่ารัฐบาลต้องการเปลี่ยนประเด็นการวิจัยไปหาหัวข้อที่ฮอตกว่า ใกล้เลือกตั้งแล้วก็อย่างนี้แหละ ยิ่งสายมนุษยวิทยาอย่างเรายังไงก็สู้ความหอมหวานของการวิจัยทางฝั่งเศรษฐศาสตร์ กับวิทยาศาสตร์ไม่ได้หรอก"  จอห์นว่าพลางจิบของเหลวสีดำอึกใหญ่

    " หมายความว่าโครงการนี้จะต้องสรุปผลเร็วๆนี้งั้นเหรอ"  สิริถามอย่างกลั้นหายใจ

    " ก็คงงั้นนะ หรือไม่งั้นก็ต้องพับโครงการไปก่อน" จอห์นตอบ

    " แต่ยังไงก็น่าจะรอดจนปีงบประมาณหน้าน่ะนะ อีกเกือบปี"  อลิชาเสริม

    " เกือบปี..." สิริพึมพำอย่างใช้ความคิด " แล้วพวกเธอจะทำไงต่อล่ะ สมัครโครงการอื่นเหรอ" 

    " ไม่รู้เหมือนกัน ฉันอาจจะขอทุนต่อปริญญาเอก ยังไม่อยากกลับบ้านน่ะ กลับไปก็ไปเจอพิษเศรษฐกิจ" จอห์นตอบ เขายกมือเป็นสัญญาณกับบาร์เทนเดอร์สำหรับกินเนสแก้วที่สอง
    " เธอล่ะ อลิชา"  สิริหยั่งเสียง

    " ฉันน่ะเหรอ..."  อลิชายังพูดไม่จบ พ่อหนุ่มไอริชตัวโย่งก็แทรกขึ้น

    " เธอน่ะก็ตั้งหน้าตั้งตาออกเดท หาเจ้าบ่าวให้ได้ก่อนที่จะถูกจับแต่งงานน่ะสิ" 

    " ไอ้ปิศาจ จอห์น"  อลิชาหันไปตอกกลับเพื่อนชาย 

    "แต่ก็ถูกนะ นี่คือโอกาสสุดท้ายแล้ว พ่อกับแม่ยื่นคำขาดว่าถ้าฉันยังหาเจ้าบ่าวเองไม่ได้ในปีนี้ ฉันต้องกลับศรีลังกา เพื่อไปแต่งงานกับคู่ตุนางันที่เขาหาเตรียมไว้ให้จริงๆ"  

    "แล้วมีวี่แววบ้างไหมล่ะ" สิริกระเซ้า

    "ยังเลยน่ะสิ ฉันล่ะกลุ้มใจอยู่นี่ไง  สิริ เธอโชคดีนะที่เมืองไทยไม่มีธรรมเนียมบ้าๆแบบนี้  "  อลิชาพูดพลางถอนหายใจ

    " ธรรมเนียมจับคู่น่ะเหรอ ฉันคิดว่าก็ยังพอหลงเหลืออยู่บ้างนะ โดยเฉพาะกลุ่มชนชั้นสูงน่ะ" สิริพูดเรียบๆ

    แต่ในฐานะนักมนุษยวิทยา ทั้งจอห์น และอลิชา ต่างตื่นเต้นสอบถามเธอกันพัลวัน ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร  สิริตอบพวกเขาไปอย่างมืออาชีพทว่าในใจของเธอยังมีภาพเหตุการณ์ที่ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่เธอยังสามารถจำภาพนั้นอย่างแจ่มชัดเสมอ


  • " สิริ ครับ แม่พี่จะมาเยี่ยมตอนใกล้ที่จะรับปริญญา สิริไปทานข้าวด้วยกันนะครับ" วีรวุฒิชวนเธอในบ่ายวันหนึ่ง 

    ในตอนนั้นวีรวุฒิได้ย้ายออกจากบ้านสามสาวโสดแล้วเพราะก่อนจบเขาต้องไปเรียนอีกทีแคมปัสหนึ่งซึ่งไกลจากแถวบ้านพักของพวกเธอพอสมควร แต่เขาก็โชคดีที่ได้ที่พักใหม่กับเพื่อนชายร่วมคณะเดียวกัน เธอยังจำได้ว่าก่อนไปเขาหันกลับมาบอกเธอว่า ถึงแม้ว่าเขาจะย้ายออกไปแต่เขาคงต้องทิ้งหัวใจไว้ที่นี่
    คำเฉิ่มเชยที่โทโมโกะและแอเดรียนาบังคับให้เธอแปลให้ฟังหลังจากเห็นท่าทีแปลกๆของเพื่อนร่วมบ้านชายหญิงที่ ฝ่ายชายพูดอะไรสักอย่างแล้วทันทีฝ่ายสาวก็หน้าแดงแป๊ดเป็นลูกตำลึง  ทันใดที่รู้ว่ามันหมายความว่าอย่างไรทั้งสองก็หัวเราะงอหาย แล้วมิวายยังเอากลับเอามาล้อเธออยู่เป็นนานหลังจากนั้น

    " จะดีเหรอคะพี่วี" เธอถามอย่างไม่มั่นใจระคนประหม่า เธอไม่รู้ว่าการไปพบผู้ใหญ่ฝ่ายเขานั้นเธอจะไปในฐานะใดกันแน่

    " ก็ต้องดีสิครับสิริ เพราะว่าหลังจากที่เรากลับเมืองไทยกันแล้ว สิริก็ต้องทำความรู้จักพ่อแม่ของพี่อยู่ดี คุณแม่พี่ท่านไม่ดุนะครับ" วีรวุฒิขยั้นขยอ

    "ถ้างั้นไปก็ได้ค่ะ" สิริตอบตกลงในที่สุด เธอมองไม่เห็นว่าการไปพบมารดาของเพื่อนชายนั้นไม่น่าจะผิดแปลกอะไร ดีเสียอีกที่จะได้รู้จักผู้ใหญ่ทางฝั่งเขาเพื่อยืนยันความจริงใจของเธอ


    เมื่อเธอได้พบกับมารดาของเขาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในเมือง เหตุการณ์กลับไม่เป็นอย่างที่คิด คุณหญิงสวลี แม่ของวีรวุฒิไม่ได้ยินดียินร้ายต่อการที่ได้พบกับเธอนัก ท่านซักถามเธอคำสองคำว่าเธอเป็นใครมาจากไหน พอรู้ว่าเธอเป็นนักเรียนทุนแต่มีพื้นเพมาจากต่างจังหวัด พ่อแม่ก็เป็นข้าราชการธรรมดาๆ ไม่ได้มีหน้าใหญ่โตอะไร ท่านก็ไม่ได้สนใจเธออีกหากแต่พูดกับลูกชายถึงเรื่องคนนั้นคนนี้ คนใหญ่โตในวงสังคม วิถีชีวิตที่ต่างจากเธอราวกับมาจากอีกโลกหนึ่ง เธอรู้สึกว่าตัวของเธอลีบลงแล้วลีบลงอีก ใช่ว่าเธอจะประเมิณค่าของตนเองต่ำต้อยหรืออะไรอย่างนั้น แต่เธอไม่คุ้นกับการตีค่าคนอย่างโจ่งแจ้งของผู้ที่เป็นมารดาของเพื่อนชายคนสนิทมากกว่า

    สิริอดคิดไม่ได้ว่านี่มันยุคสมัยไหนกันแล้วนะ ขึ้นชื่อว่าคนอย่างไรก็ต้องเท่าเทียมกัน ชาติตระกูลหรือฐานะนั้นเป็นเรื่องที่มาทีหลังความสามารถของปัจเจก แต่หลังจากที่ได้พูดคุยกับคุณหญิงท่านนี้แล้วเธอไม่คิดว่าสิ่งที่เธอเคยอนุมานนั้นมันจะเป็นจริง 

    " ต้องขอบใจหนูสิรินะจ๊ะที่ช่วยดูแลและเป็นเพื่อนตาวีในระหว่างที่อยู่ที่นี่"  ถ้อยคำหวานที่คุณหญิงสวลีพูดทิ้งท้ายกับเธอนั้นแปลความหมายได้กว้าง และมีนัยยะซ่อนอยู่ เธอรู้ว่าคุณหญิงรู้ว่าเธอคงจะเข้าใจนัยยะต่างๆที่ส่งมาอย่างไม่ตกหล่นแน่นอน  แต่วีรวุฒิเสียอีกที่ไม่เอะใจสักนิดว่าอะไรจะเกิดขึ้น 

    " ดูเหมือนคุณแม่พี่จะชอบสิริมากเลยนะครับ  ถ้าเรากลับเมืองไทยกันแล้วคงจะได้เจอกับคุณแม่บ่อยขึ้น"  วีรวุฒิเอ่ยขณะที่ขับรถมาส่งที่บ้าน  เธอมองหน้าด้านข้างวีรวุฒิเนิ่นนาน  เขาคงไม่รู้ว่านับจากนี้วิถีของเขาคงไม่สามารถที่จะบรรจบกันกับวิถีของเธออีกแล้ว  

    โทโมโกะและแอเดรียนารู้สึกถึงความผิดปกติของเธอหลังจากนั้น ทั้งสองคาดคั้นเอากับเธอว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อเธอตอบว่าไม่มีอะไร แต่ทั้งสองก็ปักใจและถามเอาอยู่อย่างนั้น จนเธอต้องสารภาพ

    " ฉันคิดว่า ฉันคงไม่สามารถคบกับวีต่อไปได้แล้วล่ะ" สิริพูดด้วยหน้าตาเศร้าสร้อย

    " แล้วมันเรื่องอะไรกันล่ะ หลังจากเธอไปเจอแม่เขามาเธอก็ดูเหี่ยวแห้งอย่างกับโดนดูดเลือดหมดตัวอย่างงั้นแหละ" แอเดรียนาถามพลางกัดขนมปังกร้วมใหญ่

    " นั่นน่ะสิ  แม่เขาเป็นผีดูดเลือดงั้นรึ" โทโมโกะที่กำลังเช็ดผมอยู่รับมุก

    " พวกเธอนี่" สิริกริ๊ดใส่เพื่อนเบาๆ  " ฉันคิดว่าฉันคงไม่สามารถที่จะเปลี่ยนชาติตระกูลให้ไปอยู่ในระดับเดียวกับพวกเขาได้หรอก แล้วฉันก็ไม่อยากให้พี่วีมาเดือดร้อนกับอะไรเรื่องนี้ด้วย เขาน่ะไม่รู้ตัวด้วยซำ้ว่าตัวเขาเกิดมาพร้อมกับพันธะหน้าที่อะไรบ้าง" 

    " เดี๋ยวๆๆ นี่เธอกำลังพูดถึงพล็อตนิยายน้ำเน่าสมัยยี่สิบปีก่อนเหรอยะ"  แอเดรียนาขัดขึ้น

    " ไม่หรอกน่ะ  เดียน่า ฉันรู้ว่าสิริหมายถึงอะไร วัฒนธรรมเอเชียก็เป็นแบบนี้แหละ"  โทโมโกะซึ่งเป็นลูกสาวนายธนาคารใหญ่สนับสนุนเนือยๆ เธอคงคิดถึงตัวเองเหมือนกันที่อาจจะต้องกลับไปดูตัวกับผู้ชายที่ครอบครัวเลือกให้ 

    " นอสซ่ะ!"  เอเดรียนาอุทานเป็นภาษาโปรตุกีสเสียงลั่น

    " แล้วเธอจะทำยังไง จะทำเป็นนางเอกแล้วปล่อยแฟนตัวเองไปอย่างงั้นเหรอ" แอเดรียนาเกาหัวยิกๆอย่างงุนงง

    " ไม่รู้สิ....ฉันยังไม่รู้จะทำยังไงดี แต่รู้ว่ายังไงฉันคงจะไม่กลับเมืองไทยหลังเรียนจบแน่ๆ"  สิริตอบอย่างสัตย์จริง


  • และเธอก็ทำตามที่เธอได้ตั้งใจไว้ วีรวุฒิกลับเมืองไทยก่อนเธอ สิริพยายมาหางานทำสุดความสามารถที่จะทำให้เธอต่อวีซ่าได้และไม่ต้องกลับไปเมืองไทย  ตอนแรกวีรวุฒิโทรมาเช้าเย็นครำ่ครวญให้เธอเปลี่ยนใจและกลับเมืองไทยให้เร็วที่สุด แต่เมื่อเธอยืนยันความตั้งใจของตัวเองก็ดูเหมือนเขาจะจำนน

    "ตามใจสิรินะครับ พี่วียังรอสิริอยู่เสมอนะ"  เขาพูดกับเธออย่างนั้น 

    หลังจากนั้นครึ่งปีเธอก็ได้ยินข่าวว่าเขาหมั้นหมายกับใครสักคนนามสกุลใหญ่โต ซึ่งมันไม่ได้ยังความแปลกใจกับเธอเลยสักนิด แต่จะบอกว่าเธอไม่ได้รู้สึกเสียใจหรืออะไรสักนิด มันก็คงจะโกหกตัวเองมากเกินไป  

    สิริดิ้นรนหางานจนได้งานผู้ช่วยวิจัยจากการแนะนำของอาจารย์ที่ปรึกษา เธอรู้ว่าสัญญาจ้างมีระยะเวลาสองปี แต่เธอไม่รู้ว่าโครงการจะต้องสิ้นสุดก่อนสัญญาจะหมดอย่างนี้  แล้วเธอจะทำอย่างไรต่อไป เธอยังไม่อยากจะกลับไปรับรู้อะไรที่เมืองไทย  การขอทุนเรียนต่อปริญญาเอกคงเป็นหนทางสุดท้ายที่เธอจะเลือกหากมันไม่มีหนทางอย่างอื่นให้ไป เธอไม่รู้ว่าด้วยซำ้ว่าหลังจากที่เธอบุกบั่นและผ่านความยากลำบากในการเรียนขั้นสูงสุดแล้ว เธอจะสามารถหางานทำได้หรือเปล่า จะสามารถแข่งขันกับเจ้าถิ่นและตัวเลือกที่เก่งฉกาจฉกรรจ์จากประเทศอื่นๆในตลาดแรงงานได้หรือไม่  ในต่างประเทศนั้นการมีคุณวุฒิสูงด้านการศึกษาอาจจะเป็นดาบสองคมได้ 

      เธออยากจะทำงานหาประสบการณ์ก่อน ประสบกาณ์ทำงานจะทำให้เธอรู้จุดมุ่งหมายของตัวเองที่แจ่มชัดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเรียนต่อหรือการใช้ชีวิต มิหนำซ้ำยังเป็นการดีกว่ามากที่จะมีเงินติดกระเป๋าพอที่จะไม่ต้องกังวลกับค่าใช้จ่ายที่มีเข้ามาทุกวันมากนัก 

    แต่เธอจะทำอย่างไรได้ เธอรู้สึกว่าชีวิตกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย รอให้ปีศาจเข้ามากัดกินวิญญาณ  เธอจะเอาตัวรอดได้ไหม หรือจะมีอัศวินที่เข้ามาช่วยชีวิตในวินาทีสุดท้ายเหมือนดังเพอซิอุสที่เข้ามาช่วยชีวิตเจ้าหญิงอันโดรมีนาหรือเปล่า  อนาคตเท่านั้นที่เป็นผู้กุมความลับนี้ไว้

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in