เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ดวงดาวแห่งซีกโลกใต้ดาญา
ตอนที่ 2 ดาวเทพเจ้าอินทรีย์ Aquila
  • " เจค...กาแฟหน่อยไหมเพื่อน"เสียงไมเคิล เพื่อนและผู้ช่วยของเขาดังขึ้นพลางยื่นกาแฟในกระติกอลูมิเนียมเก็บความร้อนให้เขา  ยามเสร็จงานที่ใช้เวลายาวนานกว่าห้าชั่วโมงเสร็จลง คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้จิบกาแฟร้อนๆ แม้ว่ารสชาติมันจะไม่ได้เลิศเลออะไรเพราะเป็นแค่กาแฟสำเร็จรูปทึ่ชงจากซองเท่านั้น แต่ในพื้นที่ที่ห่างไกลความเจริญเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่หรูหรามากพอแล้ว

    เจครินของเหลวสีนำ้ตาลเข้มควันฉุยลงบนฝาถ้วย เขาจิบมันอย่างละเลียดพลางทอดสายตามองแม่นำ้กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตานั้นอย่างไม่มีจุดหมาย เกือบเดือนแล้วที่เขาปักหลักทำงานอยู่ในพื้นที่นี้  สถานที่ที่ไกลจากความศิวิไลใดๆ ไม่มีแม้กระทั่งไฟฟ้าและนำ้ประปาหรือเครื่องไฟฟ้าอำนวยความสะดวก เขาเดินทางมาถ่ายทำภาพชุดสารคดีของผู้คนแถบลำนำ้โขงทางตอนใต้สุดของประเทศลาวที่ติดชายแดนประเทศกัมพูชา  วันนี้เขาพอใจมากที่ได้จับภาพที่ต้องการ ชายพื้นเมืองขับเรือยนต์หาปลา และ โลมาอิระวดีที่เพิ่งเผยโฉมให้เขาได้เจอเป็นครั้งแรกในรอบห้าวัน

    เจคตรวจภาพในกล้องของเขาช้าๆ พลางจิบกาแฟรสชืดบนลานทรายที่ขาวละเอียด เกือบสี่อาทิตย์แล้วที่เขาเดินทางจากบ้านเกิดมาทำงาน  หลังจากหยุดพักร้อนเพื่อฉลองปีใหม่กับครอบครัวของพี่สาวคนละพ่อซึ่งตอนนี้คือครอบครัวเดียวของเขาบนโลกใบนี้  และหลังจากค่ำคืนการเฉลิมฉลองปีใหม่ที่แสนจะประหลาดกับผู้หญิงที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน ผู้หญิงคนที่ยืนตรงข้ามกับเขาหน้าร้านที่วงดนตรีแจ๊สเปิดหมวกบรรเลงอยู่  ผู้หญิงที่เขาเดินตามและชวนเธอไปนั่งฟังเพลงอย่างอุกอาจ อะไรที่ทำให้เขาทำอย่างนั้นนะ เขาก็ยังไม่เข้าใจจนกระทั่งถึงวันนี้ 

    "สิริ" เขาพึมพำออกมา น่าขำที่เขาตกใจตัวเองราวกับว่าเอ่ยคำต้องห้ามออกมากระนั้น  ทำไมเขาถึงคิดถึงเธอขึ้นมานะ  บางทีการที่เขามาอยู่ที่ดินแดนใกล้บ้านเกิดเมืองนอนของเธอนั้นอาจจะทำให้เขาหวนระลึกถึงเธอขึ้นมาก็ได้กระมัง ด้วยความสัตย์จริงว่าเขาไม่คิดอะไรมากกว่าอยากนั่งคุยกับใครสักคน และบังเอิญว่าเธอเป็นคนนั้นในตอนนั้นพอดี  และอาจจะเป็นเพราะบางอย่างในท่าทีของเธอที่ดึงดูดเขาก็เป็นได้ เขาไม่สนใจที่จะสานสัมพันธ์กับผู้หญิงคนใดมานานแล้ว หลังจากปราวตี ผู้หญิงเชื้อสายอินเดียมาเลเซียซึ่งเป็นผู้หญิงคนสุดท้ายที่เขามีความสัมพันธ์จริงจังด้วยเมื่อหลายปีมาแล้วแต่ก็เลิกรากันโดยเหลือความเจ็บปวดไว้ต่างหน้า เขาคิดเสมอว่างานของเขาไม่อำนวยที่จะให้เขาอยู่ในสัมพันธ์กับใครได้นาน หรือที่แท้แล้วอาจจะเป็นตัวเขาเองก็ได้ที่ไม่พร้อมกับการผูกมัดใดๆ ความสัมพันธ์มันถึงลงเอยด้วยการเลิกร้างทุกคราวไป

    "เจค  ขึ้นเรือได้แล้วเพื่อน อุปกรณ์ขนขึ้นเรือหมดแล้ว" ไมเคิลตะโกน แข่งกับเสียงเรือยนต์ที่ติดเครื่องรอ
    เขาตื่นขึ้นจากภวังค์ ยืนขึ้นเก็บกล้องลงกรถเป๋าและกระโดดขึ้นเรือเพื่อกลับที่พักแข่งกับแสงอาทิตย์ที่เริ่มอ่อนแสง

    บุนธรรมคนเดินเรือที่พวกเขาจ้างผูกขาดระหว่างทำงานที่นี่ ได้เทียบเรือเข้าฝั่งอย่างนุ่มนวล เขาช่วยยกอุปกรณ์ถ่ายภาพต่างๆขึ้นจากเรืออย่างระมัดระวังและช่วยขนกล่องต่างๆใส่ในรถกระบะเก่าครำ่คร่าที่ไมเคิลเช่ามาเพื่ออำนวยความสะดวกในการทำงาน

    " เรียบร้อย เสร็จไปหนึ่งวัน เจอกันวันจันทร์นะครับ"เขาพูดภาษาอังกฤษได้ดีทีเดียวสำหรับคนที่ไม่เคยออกจากบ้านเกิด  บุนธรรมบอกว่าเขาเรียนภาษาอังกฤษและฝรั่งเศสกับมิชชั่นนารีที่มาตั้งโบสถ์อยู่ในหมู่บ้านในตอนที่เขายังเด็ก

    " เจอกันอาทิตย์หน้าบุนธรรม  ขอบคุณมาก วันนี้เราได้งานดีทีเดียว"  เขาและไมเคิลโบกไม้โบกมืออำลาบุนธรรมและรอจนเขาติดเครื่องเรือยนต์จากไป บ้านของบุนธรรมอยู่อีกเกาะหนึ่ง คนที่นี่เรียกเกาะว่าดอน เขากับไมเคิลพักอยู่ที่ดอนเด็ด เกาะเล็กๆซึ่งมีเกสต์เฮ้าส์ไว้บริการนักท่องเที่ยวไม่มากเท่ากับเกาะใหญ่ แต่เขาชอบความสันโดษเช่นนี้มากกว่าความอึกทึกในตัวเมือง




  • ไมเคิลขับรถกระบะผ่านหลุมบ่อ ทิ้งฝุ่นตลบไว้เบื้องหลัง ถนนแคบๆที่รกชัฏด้วยหญ้าคาสูงมิดศรีษะรวมทั้งสภาพถนนที่ไม่ได้ลาดยางใดๆทำให้พวกเขาต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมากที่จะไม่ไปชนกับชาวบ้านที่ขี่จักรยานและจักรยานยนต์ผ่านมารวมถึงสัตว์เลื้อยคลานที่อาจจะคลานตัดหน้ารถเมื่อไหร่ก็ได้  ไฟจากหน้ารถของพวกเขาเป็นสิ่งเดียวที่ให้ความสว่างท่ามกลางถนนลูกรังขมุกขมัวแห่งนี้
    แสงสลัวจากพระอาทิตย์ที่อำลาขอบฟ้า ทำให้พวกเขาต้องเดินทางแข่งกับเวลา น่าจะเป็นการดีที่จะกลับที่พักก่อนที่แสงสุดท้ายของตะวันจะหมดลง 

    ดอกหญ้ารวงยาวโบกสะบัดล้อลมเล่น ในสองข้างทางของนาข้าวเขียวขจีที่มีต้นตาลยืนต้นหงอยเหงาอยู่ตรงนั้นตรงนี้ ดวงตะวันกลมโตสีส้มเกือบลับเหลี่ยมเขา เสียงจิ้งหรีดกรีดแหลมอยู่ตามคันนา  ความบริสุทธิ์แห่งธรรมชาติเช่นนี้ทำให้เจคหลงรักมันครั้งแล้วครั้งเล่า ท่ามกลางความมืดสลัวปราศจากแสงไฟ และถนนขรุขระฝุ่นฟุ้ง แม่นำ้ที่มีนำ้เขียวเต็มเปี่ยมกว้างใหญ่จนไม่เห็นฝั่ง อาจจะเป็นความลำบากและล้าหลังสำหรับคนอื่นๆแต่สำหรับเขามันคือพลังแห่งจิตวิญาณ

    เมื่อไมเคิลจอดรถไว้ที่ลานหญ้าข้างเกสต์เฮ้าส์ก็พลบค่ำเสียแล้ว พวกเขาใช้ผ้าใบคลุมขึงอุปกรณ์หลังรถกันนำ้ค้างและเดินเข้าบ้านพักที่เป็นเรือนไม้ยาวแบ่งเป็นห้าห้อง แต่ละห้องมีอุปกรณ์การนอนเพียงมุ้งและฟูกบางๆ หมอนและผ้าห่ม ไม่มีตู้เตียงหรือสิ่งอำนวยความสะดวกใดอื่น ห้องนำ้อยู่แยกถัดไปจากเรือน เมื่อยามคำ่คืนเช่นนี้ต้องใช้เทียนไขหรือไฟฉายให้แสงสว่างเท่านั้น

    พี่ส้อยและอ้ายสะแหวงเป็นเจ้าของเฮือนสุกใจแห่งนี้  ทั้งสองมีบ้านพักต่างหากในบริเวณเดียวกัน เฮือนสุกใจตั้งอยู่ติดลำนำ้และมีร้านอาหารเล็กๆไว้บริการนักท่องเที่ยว พี่ส้อยทำอาหารเก่งทั้งอาหารฝรั่ง อาหารไทยอาหารลาว แขกที่พักที่นี่ซึ่งตอนนี้มีแค่เขากับไมเคิล ส่วนคนต่างชาติอีกสองคนคือจิลและเอียนนั้นได้มาพักที่นี่มานานจนเป็นเสมือนคนท้องถิ่นไปแล้ว  

    พวกเขาโชคดีที่ไม่ต้องไปหาอาหารทานจากที่อื่น หลังจากเจคและไมเคิลอาบนำ้ชำระร่างกายเสร็จแล้วก็เดินข้ามเรือนมายังร้านอาหารที่ปลูกด้วยไม้ไผ่ยกพื้นสูงข้างแม่นำ้ เด็กๆห้าหกคนมาดูทีวีที่ใช้ไฟฟ้าจากเครื่องปั่นไฟที่ร้านเฮือนสุขใจเป็นประจำ ทั้งดอนมีทีวีแค่สองเครื่องเท่านั้นเครื่องหนึ่งอยู่ที่บ้านผู้ใหญ่บ้านและอีกเครื่องหนึ่งที่เฮือนสุกใจ

    พวกเขาทักทายอ้ายสะแหวงและพี่ส้อยซึ่งนั่งจักตอกอยู่หน้าทีวี  ก่อนจะสั่งอาหารเย็นและเครื่องดื่ม พวกเขานั่งที่โต๊ะริมแม่นำ้ตัวเดิม
  • ไม่นานนักพี่ส้อยก็ลำเลียงอาหารสองสามจานออกมา พวกเขาสั่งอาหารง่ายๆอย่างข้าวผัดหมูกับไข่เจียว แต่พี่ส้อยมักจะแถมอาหารพื้นบ้านที่ปรุงทานกันเองในครอบครัวมาให้ชิมเสมอ อย่างวันนี้มีแกงจืดหน่อไม้สดกับเนื้อเค็มมาให้ชามโต พี่ส้อยบอกด้วยภาษาอังกฤษปนลาวจับใจความได้ว่าวันนี้อ้ายสะแหวงขุดหน่อไม้ตงหลังบ้านได้หน่อใหญ่เลยเอามาต้มแจกให้บ้านใกล้เรือนเคียงด้วย

    ที่นี่ไม่มีตู้เย็นเพราะฉนั้นอาหารต่างๆต้องรีบทำรีบกินตอนยังสดใหม่ อะไรที่เก็บไว้ไม่นานต้องใช้การถนอมอาหารช่วยเช่นการตากแห้งหรือดองเค็ม แต่เฮือนสุกใจกักตุนเนื้อสัตว์และผักต่างๆให้แขกที่มาพักโดยแช่ไว้ในกระบะใส่นำ้แข็งก้อนใหญ่ ซึ่งพี่ส้อยสั่งนำ้แข็งก้อนมหึมาทุกวันจากดอนคง ส่วนผักและเนื้อสัตว์พี่ส้อยจะลงเรือไปซื้อที่ตลาดสดทุกสามวัน ทุกอย่างที่ต้องแช่เย็นจะแช่รวมกันในถังนำ้แข็งนั้น รวมถึงเบียร์ลาเกอร์อันโด่งดังซึ่งแช่ตุนไว้ให้พวกเขากว่าครึ่งโหลทุกวัน

    " เจค ...กลับมาทำงานคราวนี้นายดูแปลกๆไป มีอะไรหรือเปล่า" ไมเคิลถามขึ้นหลังจากอิ่มหนำกับอาหารเย็นแล้ว เขาค่อยๆเทเบียร์เย็นเฉียบลงในแก้วยื่นให้คนตรงหน้า  เจคยื่นมือไปรับ  แก้วที่มีฟองขาวละเอียดหนาครึ่งนิ้วลอยอ้อยอิ่งเหนือของเหลวสีเหลืองอำพัน ไฟดวงน้อยที่สว่างด้วยเครื่องปั่นไฟห้อยลงมาจากหลังคา เสมือนแสงดาวสว่างวับแวมท่ามกลางผืนฟ้าสีนิล ลมพัดผ่านจากแม่นำ้เย็นชื่น กอหญ้าข้างตลิ่งไหวเอนในความมืด

    "แปลกยังไง" เจคจุดบุหรี่ขึ้นสูบ

    " ไม่รู้สิ  แกใจลอยชอบกล มีใครเป็นอะไรหรือเปล่า" ไมเคิลถามด้วยความห่วงใย เขาทำงานกับเจคมานาน ขึ้นเหนือล่องใต้ด้วยกันมาเกือบทุกมุมโลก เจคเป็นคนมุ่งมั่นและไม่เคยอิดอออดไม่ว่าจะเดินทางไกลเสี่ยงภัยหรือลำบากแค่ไหน ต่อให้ต้องฝังตัวอยู่เป็นเดือนๆเพื่อที่จะได้รูปที่ต้องการไม่กี่รูปเขาก็ทำ การที่ไม่ต้องมีครอบครัวให้คอยพะวงหน้าพะวังหลังทำให้เจคเต็มที่กับงานราวกับมันจะเป็นสิ่งเดียวที่ยึดโยงเขาไว้กับโลก แต่อะไรที่ทำให้อินทรีย์แห่งวงการถ่ายภาพสารคดีดูเหม่อๆ ลอยๆในเวลางานชอบกลแบบนี้หนอ
  • "ไม่มีอะไรนี่  ฉันดูเป็นอย่างนั้นเหรอ" เจคตอบเพื่อน
    "ก็....."  ไมเคิลกำลังจะแย้ง 
    หากมีเสียงตะโกนมาจากข้างหลัง

    " วันนี้ทำงานเป็นไงบ้าง" จิลนั่นเอง เธอเดินขึ้นบันไดพลางถือตะเกียงเจ้าพายุมาด้วย 
    " จิล เป็นไงบ้าง" พวกเขาทักทาย
    เธอวางตะเกียงลงบนโต๊ะพลางนั่งลงบนเก้าอี้
     " เอียนยังช่วยพวกผู้ชายซ่อมมอเตอร์ปั่นไฟบ้านลุงซื่นอยู่เลย" เธอว่า  

    จิลอายุราวต้นสี่สิบเธอมาจากประเทศเดียวกับพวกเขาจึงทำให้สนิทกันได้ไม่ยาก เธอและแฟนหนุ่มได้เป็นผู้ช่วยประสานงานให้พวกเขากับชาวบ้านได้เป็นอย่างดี ทำให้การทำงานครั้งนี้เป็นไปอย่างราบรื่นและง่ายมากกว่าทุกครั้ง  พวกเขาเป็นธุระจัดหายานพาหนะให้ แนะนำให้รู้จักกับแหล่งที่เขาจะได้รูปที่ต้องการรวมทั้งเป็นล่ามคอยสื่อสารให้ด้วย  จิลและเอียนเดินทางไปๆมาๆที่นี่เป็นเวลาเกือบสิบปีแล้ว จนคุ้นเคยกับทุกคนในหมู่บ้านเป็นอย่างดี โดยเฉพาะกับครอบครัวพี่ส้อยและอ้ายสะแหวง พี่ส้อยว่าจิลเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน  

    เจครู้สึกนับถือจิลและเอียนเป็นอย่างมากที่สามารถใช้ชีวิตในแบบที่พวกเขาต้องการ พวกเขาไม่ยี่หระที่จะขนขวายหางานดีๆทำเพื่อที่จะได้ซื้อบ้านซื้อรถ  ตั้งรกรากสร้างครอบครัว ทำงานหนักเพื่อส่งลูกเรียนโรงเรียนดีๆ เพื่อลูกจะได้มีงานและอนาคตที่ดี  จิลบอกว่าชีวิตของเธอไม่ได้สร้างมาเพื่อสืบสานเผ่าพันธ์ุมนุษยชาติ เธอไม่แคร์สังคมทุนนิยมและวัตถุนิยมที่รายล้อม เธอออกเดินทางตั้งแต่จบมัธยมปลาย พอเงินหมดก็กลับบ้านหางานในร้านอาหารหรือหาอะไรที่ไม่ผูกมัดทำสักหกเดือนหรือหนึ่งปี แล้วออกเดินทางใหม่ เป็นเช่นนี้สิบกว่าปีจนกระทั่งเธอและแฟนหนุ่มมาเจอกันที่ดอนเด็ดและตกหลุมรักดินแดนไกลปืนเที่ยงนี้ด้วยกัน หลังจากนั้นเขาและเธอจึงอาศัยอยู่ที่นี่คราวละหลายเดือน พวกเขาบอกว่าพวกเขาเจอบ้านที่แท้จริงแล้วและไม่ต้องการไปไหนอีก 

    " ลุงซื่นให้มาตามแน่ะ" เอียนตะโกนเรียก
    "ซ่อมไฟเสร็จแล้วเลยจะก่อไฟ ตั้งวงกันซะหน่อย เจค ไมเคิลมาด้วยกันสิ"
  • กองไฟก่อจากอิฐสามเส้าง่ายๆลุกโชนให้ความสว่างและอบอุ่นเป็นอย่างดี  พวกผู้ชายเพื่อนบ้านสามสี่คนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ลุงซื่นมีกับแกล้มเช่นไก่ปิ้ง ข้าวหลาม ตั้งบนตะแกรงข้างๆ  พวกผู้ชายรินเหล้าอุที่หมักเองในหม้อดินเผาลงในจอกไม้ไผ่เล็กๆและเวียนส่งให้ทั่งถึงกัน อ้ายสอนหยิบแคนเจ็ดเครื่องดนตรีพื้นบ้านออกมาเป่าสร้างความครึกครื้นแก่การสังสรรค์รอบกองไฟเป็นอันมาก

    ท่วงทำนองสนุกสนานนั้นทำให้จิลและเอียนเริ่มร่ายรำตามจังหวะไปด้วยโดยคนที่เหลือส่งเสียงเป็นลูกคู่เหล้าหมักจากข้าวกลิ่นหอมอ่อนๆ  รสละมุนทำให้ดื่มง่ายไม่แพ้สาเกของญี่ปุ่นเลยทีเดียว แต่ความแรงนั้นคงไม่ต้องพูดถึง คนคออ่อนนั้นอาจจะเมาพับได้ง่ายๆ

    เจคนั่งมองหนุ่มสาวฝรั่งหัวใจลาวที่เซิ้งกันอย่างสนุกสนานโดยมีชาวบ้านพื้นถิ่นปรบมือให้จังหวะพลางพูดแซวสองหนุ่มสาวสาวกันเอิกเริก เขายิ้มให้กับความเข้ากันอย่างประหลาดของคนที่มาจากต่างถิ่นต่างวัฒธรรมแต่กลับกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตกันและกันราวกับเป็นครอบครัวเดียว แต่ตัวเขาเองที่เดินทางมากว่าค่อนชีวิตทว่าไม่เคยที่จะรู้สึกว่าที่ไหนที่จะเป็นบ้านที่แท้จริงของเขาเลย หรือว่าพญาอินทรีย์อย่างเขาคงต้องบินเดียวดายเรื่อยไปอย่างนี้จริงๆ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in