เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ดวงดาวแห่งซีกโลกใต้ดาญา
ดาวกางเขน southern cross
  • เสียงเครื่องยนต์กระชากตัวออกไปกลางค่ำคืนที่จอแจในทุกทิศทาง คลื่นผู้คนหลั่งไหลเข้ามาในเมืองโดยยานพาหนะนานาชนิด ทั้งรถไฟ รถรางที่ต่างเบียดเสียดไปด้วยฝูงชนผู้กระหายแสงสีเสียง และการเฉลิมฉลองของคืนสุดท้ายของปี การแสดงพลุเที่ยงคืนริมฝั่งแม่น้ำกำลังจะแสดงในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า เสียงหัวเราะยอกเย้าและแย้มยิ้มของคู่รักที่เดินกอดกันตามทางเดินเอสพลานาด สว่างสดใสราวกับนกน้อยๆเริงร่าหลังฝนตก

     เสียงชนแก้วเบียร์ขนาดใหญ่ที่มีฟองขาวละเอียดของกลุ่มผู้ชายในร้านกึ่งผับกึ่งภัตตาคาร พวกเขาอยู่ในชุดสูททันสมัยที่สนนราคาของมันเปล่งประกายของมาจากการตัดเย็บ  ถัดมาข้างนอกร้านมีวงดนตรีควอเต็ทกำลังบรรเลงเพลงแจ๊สด้วยทำนองสนุกสนาน   ผู้ชายร่างสูงสวมแจ็คเกตสักหลาดสีนำ้ตาลชอกโกแลต ดูจะดื่มด่ำกับเสียงเพลงที่ถ่ายทอดผ่านแซกโซโฟนสีทองมันปลาบอย่างหลงไหล หน้าที่ปกคลุมด้วยไรหนวดนั้นจับจ้องนิ้วที่ไล่ไปตามโน้ต สีหน้าของเขาไม่ปรากฏความรู้สึกใด หากแต่ประกายหม่นๆที่ฉายออกมาในแแววตาที่ปิดไม่มิดนั่น  มันทำให้เขาดูน่าค้นหา
     
    เธอจ้องเขาจนลืมไปว่าเธอก็สามารถที่จะถูกมองกลับได้เหมือนกัน ชายในชุดสักหลาดยกมือขึ้นลูบหน้าก่อนที่จะหันมาตรงที่เธอยืนอยู่แล้วเธอก็ปะทะกับสายตาที่ดูเหมือนพระอาทิตย์กำลังอ่อนแสงนั้นพอดิบพอดี  เธอเสหน้าไปทางอื่นเธอหวังว่าเขาจะไม่ได้สังเกตถึงการจับจ้องของเธอ เธอทำเป็นมองรถเข็นขายดอกไม้ที่อยู่ใกล้ๆ ดอกไฮยาซินท์สีขาว สีม่วงที่จัดช่อรวมกับเฟิร์นจิ๋วดูจุ๋มจิ๋มน่ารัก  ทิวลิปสีต่างๆเรียงรายในรถเข็นราวจำแลงรุ้งมาทั้งฟ้า เธอชอบดอกไม้ มันแทนความรู้สึก ลักษณะตัวตนของผู้หญิงได้ลึกซึ้งและบริบูรณ์

    เธอหันหน้ากลับมายังวงควอเต็ทที่ตอนนี้ถูกรุมล้อมด้วยผู้คนที่ต่างโยกตัวไปตามจังหวะเพลงอันโด่งดังของนีน่า ซีโมน  เสียงเหรียญกระทบกันในกล่องใส่เครื่องดนตรีสีดำกำมะหยี่ ราวกับเครื่องเคาะจังหวะ ท่ามกลางวงล้อมของผู้คน เธอไล่สายตาตามหาชายในชุดสักหลาดสีชอกโกแลตอีกครั้ง เขาอาจจะเดินจากไปแล้วก็ได้ เธอไม่ได้หวังใจอะไร  แต่สายตาของเธอกลับสบกับแววตาหม่นเหมือนแสงดาวตกนั้นอีกครั้ง คราวนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่ความบังเอิญ เธอรู้สึกร้อนหนาววูบวาบ แต่หากละสายตาจากเขาอีกครั้ง เธอเหลือบมองนาฬิกาข้อมืออย่างไม่รู้จะทำอะไรดีไปกว่านั้น เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง  เขาก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้นอีกแล้ว

  • ทำไมเธอถึงรู้สึกผิดหวังเล็กๆ บางทีเขาอาจจะดูคลับคล้ายใครบางคนที่เธอรู้จัก อาจจะเพียงแค่นั้น บางอย่างที่ดูคุ้นเคยในเมืองแปลกหน้า อาจจะเพียงพอที่จะทำให้เธอรู้สึกผูกพันขึ้นมาประเดี๋ยวประด๋าวได้ เธอก้าวเท้าออกมาจากวงล้อมของผู้คน แสงไฟประดับตามต้นไม้ระยิบเป็นทิวแถว เธอรู้สึกอยากจะนั่งที่ไหนสักที่ จิบไวน์สักแก้ว ทอดสายตามองผู้คน ถ้าหากโชคดีอาจจะพอมองเห็นพลุเที่ยงคืน 

    เธอซุกมือลงไปในกระเป๋าเสื้อโค้ตสีคาราเมลตัวยาว พลางมองหาร้านคาเฟ่ทำเลเหมาะๆ อุณหภูมิกำลังลดต่ำลงเรื่อยๆ เธอหวังว่าคงจะไม่มีหิมะตกบนยอดเขา ทันใดนั้นหางตาของเธอเหลือบไปเห็นแจ็คเก็ตที่คุ้นตาปรากฏอยู่ข้างๆ เธอไม่กล้าที่จะหันไปมองด้วยซ้ำ เธอกลั้นหายใจ ภาวนาว่ามันคงเป็นภาพลวงตา
    แจ็คเกตสีชอกโกแลตดูจะรักษาระยะห่างจากเธอเท่าเดิม เธอรู้สึกผ่อนคลายขึ้น เธอคิดว่ามันคงเป็นเรื่องบังเอิญ ทั้งหมดทั้งมวลคงเป็นจินตนาการของเธอที่จะปลอบใจตัวเองในคืนที่ความเปลี่ยวดายดูจะทวีความอ้างว้างกว่าเคย

    เธอทอดหายใจ  ไออุ่นสีขาวพวยพุ่งตามลมหายใจออก เธอสะบัดหน้าน้อยๆราวไล่ความคิดอันเหลวไหลออกไป ทว่าแจ็คเกตสีชอกโกแลตนั้นกลับเดินเร็วขึ้นแล้วตอนนี้ก็เข้ามาเคียงข้างเธอ  คอของเธอตั้งตรงขึ้นพร้อมๆกับหัวใจที่รัวเหมือนจังหวะกลอง เธอเตรียมตัวตั้งรับเหตุการณ์ อาจจะไม่ใช่เขา อาจจะเป็นผู้ไม่ประสงค์ดีก็เป็นได้

    "ไฮ" เสียงทุ้มนั้นดังขึ้น
    เธอรวบรวมความกล้าหันไปมองร่างสูงข้างตัว ไรหนวดเครานั้นดูไม่หนาอย่างที่เห็นในระยะไกล เธอหยุดเดินด้วยความรู้สึกสับสน สายตาของเธอปะทะกับสายตาของแสงดาวตกนั้นอีกครั้ง
  • เขาหยุดเดินเช่นกัน
     "เอ่อ... ผมคิดว่าคุณคงชอบแจ๊ส"  
    เธอเกือบจะหัวเราะออกมาเพราะว่าสิ่งเขาพูดมันดูช่างประหลาดและประดักประเดิกกับสถานการณ์ แต่ทว่าก็ทำได้แค่ตอบรับยิ้มๆ "ค่ะ" 
    "เอ่อ...ผมรู้จัก แจ๊สบาร์แถวนี้ คุณอยากจะลองไปไหม"  เสียงของเขาดูไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก

    เป็นครั้งแรกที่เธอมองเขาอย่างเต็มตา เขาไม่ได้ดูเหมือนคนที่เธอเคยรู้จักสักนิด สายตาที่ดูหม่นเหมือนดาวตกก็ไม่ได้หม่นเศร้าเหมือนที่เธอเห็น เขาเป็นชายหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่งที่เธอไม่เคยรู้จักต่างหาก  แต่อะไรบางอย่างในท่าทางนั้นที่เธอรู้ว่าเขาไม่ได้ประสงค์ร้าย อะไรบางอย่างในนำ้เสียงนั้นบอกว่าเขาไม่ได้คิดล่วงเกินเธอ ท่ามกลางวินาที่ของการชั่งใจนั้น เขาก็กลับยิ้มออกมาพลางถอนหายใจและส่ายศรีษะเบาๆ

    "ผมต้องขอโทษ ที่ผมช่างงี่เง่าจริงๆ คุณคงไม่อยากไม่ไหนกับคนแปลกหน้าหรอกใช่ไหมล่ะ แล้วผมก็ยังเสียมารยาทมากที่ไม่แม้แต่แนะนำตัวเอง  ผมชื่อ เจค ยินดีที่ได้รู้จักครับ"
    ยิ้มของเขาอ่อนโยนเหมือนสายลมในฤดูใบไม้ผลิ
    " ฉันชื่อสิริค่ะ" 
    "สิริ" เขาทวนคำ "เพราะจัง" 
     ทั้งปากและตาของเขายิ้มให้เธอ มันระยิบระยับแข่งกับแสงไฟประดับต้นไม้
     
                                                                   


  • ร้านแจ๊สอยู่ลึกเข้ามาในตรอกเล็กๆ ข้ามมายังอีกฝั่งแม่น้ำ ซึ่งเธอคงจะไม่มีทางหาพบเป็นแน่  ผู้คนเบาบางกว่าอีกฝั่งหนึ่งมาก ร้านเล็กๆตกแต่งเรียบง่ายด้วยอิฐเปลือยและประดับไม้ตามขอบประตู มีโต๊ะไม้ตัวใหญ่ที่โชว์ลายไม้ดั้งเดิมอยู่กลางร้าน แจกันใบเขื่องที่จัดดอกไม้พื้นเมืองปนกับกล้วยไม้และใบว่านดูแปลกตาทว่าดูหน้าลุ่มหลงค้นหาเหมือนสาวชาวเกาะไกลโพ้นทะเล  หน้าต่างกระจกใสบานกว้างมองเข้าไปเห็นวงดนตรีแจ๊สแบบคอมโบที่มีเครื่องดนตรีสี่ชิ้น กลอง เบส กีตาร์ และแซกโซโฟนที่นักดนตรีกำลังเข้าประจำที่

     เจคนำเธอไปยังมุมด้านหนึ่งของร้านที่สามารถมองเห็นท้องฟ้าด้านนอกผ่านหน้าต่างบานกว้าง ในร้านอบอุ่นสบายด้วยเครื่องทำความร้อนที่เปิดเพียงแผ่วๆ ลูกค้าเข้ามาฟังเพลงกันไม่หนาตามาก จนดูอึดอัด กลิ่นขนมปังอบใหม่ๆอวนกับกลิ่นใส้กรอกย่าง ช่างเรียกนำ้ย่อยได้ดีนัก
    "ดื่มอะไรดีครับ" เขาถามอย่างไม่มีพิธีรีตอง
    " ฉันขอพีโนต์ นัวร์ ค่ะ" เธอหันไปบอกบริกรหลังจากไล่สายตาตามเมนูไวน์อย่างคร่าวๆ เธอไม่ชอบความฝาดเฝื่อนของชีแรสมากนัก 
    "ถ้างั้น สองแก้วก็ละกันครับ" เขาสั่งเครื่องดื่มให้ตัวเอง
    "คุณมาที่นี่บ่อยเหรอคะ"  เธอถามพลางมองไปรอบๆร้านที่บรรยากาศค่อนข้างเป็นกันเอง เหมือนเป็นที่ชุมนุมของคนคอเดียวกัน
    "ถ้าผมผ่านมาทางนี้น่ะครับ" คำตอบที่พ่วงคำถามหลายต่อหลายอย่างมาด้วย การจะเริ่มต้นรู้จักใครสักคนมันดูเป็นการคาดคะเนอะไรบางอย่างที่เกินหยั่งรู้ราวกับตามหาดาวดวงน้อยในจักรวาลอันกว้างใหญ่

    พีโนต์ นัวร์สองแก้วถูกเสริฟอย่างรวดเร็วในแก้วใสก้านสูง เสียงกระทบแก้วเพื่อแสดงความรู้จักกันอีกครั้งอย่างเป็นทางการดังขึ้น  ดวงตาที่มีรอยหม่นนั้นมีประกายใคร่รู้ขอบเขตของจักรวาลแจ่มชัด
    " คุณดูเหมือนจะอาศัยที่นี่" เขาโยนคำถามหยั่งเชิง
    " ใช่ค่ะ ฉันมาเรียนแล้วตอนนี้ก็เพิ่งได้งานค่ะ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะอยู่ต่อนานแค่ไหน"
  • "งานเกี่ยวกับอะไรครับ" คำถามขยับขอบเขตเข้ามาใกล้ขึ้น
    " ฉันเป็นผู้ช่วยวิจัยค่ะ" เธอจิบองุ่นหมักสีแดงใสราวทับทิมช้าๆ "คุณล่ะคะ"
    "ผมเป็นช่างถ่ายภาพสารคดีครับ เดินทางบ่อยๆ นานๆทีก็กลับบ้านเสียทีหนึ่ง" เขาเสมองท้องฟ้าเมื่อพูดถึงคำว่าบ้าน
    " แล้ววันนี้ไม่อยู่กับครอบครัวเหรอคะ" เธอกล้าที่จะเหยียบเข้าไปในใจกลางของจักรวาลตรงๆอย่างนั้น
    " พ่อแม่ของผมเสียไปหลายปีแล้วครับ ที่นี่ก็เหลือแต่ครอบครัวพี่สาว ผมมีหลานชายสองคน"
    "ฉันเสียใจด้วยนะคะ" เธอรู้สึกผิดที่ก้าวล่วงไปในดินแดนที่เธอคาดคะเนไม่ได้
    "ไม่เป็นไรครับ เรื่องมันนานมาแล้ว"

    เพลงเก่าแก่ของชาลส์ เอิลแลนด์ more today than yesterday เป็นเพลงแรกที่วงเล่นเปิดเบรคที่สอง จังหวะสนุกสนานราวงานรื่นเริงดูจะเข้ากันกับรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของผู้คนที่ตื่นเต้นกับการเฉลิมฉลองการส่งท้ายปีเก่า
    " ทำไมคุณชอบแจ๊สล่ะครับ" เขาเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว
    "ไม่ทราบสิคะ ฉันชอบเพลงที่มีที่ว่างของจินตนาการน่ะคะ ชอบเพลงที่เราสามารถจะใส่เรื่องราวของเราเองไปในนั้น แค่เสียงดนตรีก็สามารถบอกเรื่องราวของตัวมันเองได้แล้ว"
    "ผมว่าแจ๊สเป็นตัวแทนของความไม่รู้จบ เพราะว่ามันไม่มีห้วงจำกัดของเวลา ไม่ว่านานแค่ไหนแจ๊สก็ยังเข้ากับเวลานั้นๆเสมอ อย่างเพลงนี้แต่งขึ้นในยุคเจ็ดศูนย์ แต่เราฟังในปีสองพันก็ยังรู้สึกมันยังสื่อสารชัดเจนอยู่เลย"
    "คุณเล่นดนตรีหรือเปล่าคะ" 
    "ผมพยายามเล่นกีตาร์เมื่อนานมาแล้วครับ ก็พองูๆปลาๆไม่เก่งกาจอะไร คุณล่ะครับ"
    "ฉันหวังว่าจะเล่นเปียโนเป็นนะคะ แต่ก็ไม่มีโอกาสได้เรียนเสียที"

    "คุณชอบที่นี่ไหมครับ" เขาถาม
    "หมายถึงเมืองนี้เหรอคะ" เธอถามยำ้   
    "ครับ"  เขาตอบรับพลางพยักหน้า
    " ฉันรักที่นี่ค่ะ ฉันรักความหลากหลายของที่นี่ทั้ง ผู้คน อาหาร วัฒนธรรม ดนตรี งานศิลปะ การศึกษา ถ้าเปรียบเมืองนี้เป็นสี ก็คงเป็นเมืองที่หลากสีสันเหมือนสีรุ้งนะคะ เสียอย่างเดียว อากาศค่อนข้างปรวนแปรจนบางครั้งปรับตัวไม่ค่อยทัน"  เธอหมุนแก้วทรงสูงในมือไปมา แสงสีแดงกล่ำของของเหลวในแก้วกระทบกับแสงไฟจนเกิดรูปร่างงดงามคล้ายกับการมองผ่านกล้องคาไลโดสโคป 
    เขายิ้มพลางส่งสายตาดาวตกที่ส่องประกายระยิบนั้นให้เธอ
    " คุณช่างคิดจังนะครับ ผมไม่เคยคิดในแง่นี้มาก่อนเลย ที่จริง ผมเบื่อเมืองนี้และอะไรหลายๆอย่าง ผู้คน ความหิวกระหายทางวัตถุ ความงี่เง่าของการเมือง จนผมคิดว่าผมจะทำงานอะไรก็ได้ที่จะได้เดินทางไปที่อื่นตลอดเวลา"
    "บางทีที่อื่นของคุณกับที่อื่นของฉัน มันก็อาจจะมีความหมายเดียวกันแต่ต่างกันที่บริบทก็ได้นะคะ" เธอสบสายตานั้นอย่างกล้าหาญ
    " นั่นสินะครับ"  เขายกแก้วไวน์ขึ้นจิบอย่างใช้ความคิด 

    เขาและเธอแลกเปลี่ยนบทสนทนาเพื่อที่จะเรียนรู้กันอย่างช้าๆ ด้วยความระวังระไวที่จะไม่ก้าวล่วงไปยังดินแดนความเปราะบางของชีวิตที่แต่ละฝ่ายไม่อาจล่วงรู้ การเล่นเกมความสัมพันธ์ที่ดูน่าซับซ้อนที่อาศัยไหวพริบและการตีความอย่างลึกซึ้ง เขาและเธอเดินออกมาจากร้านโดยทิ้งทำนองโหยหาบาดลึกอย่างstarcross lover ไว้เบื้องหลัง เสียงพลุเที่ยงคืนถูกจุดขึ้นจากที่ใดสักที่บนอีกฝั่งแม่น้ำ เขาและเธอยืนชมความตระการตาของการแสดงพลุหลากสีสันและรูปทรงอย่างเงียบๆ  กว่าสิบนาทีที่เสียงของการยิงดอกไม้ไฟประดับประดาท้องฟ้ากระจ่างวับวาวและเลือนหายติดต่อกันสิ้นสุดลง  เขาและเธอแลกเปลี่ยนคำกล่าวสวัสดีปีใหม่แก่กันอย่างเงียบๆ 

    เธอเดินจากเขาไปหลังคำอำลาเรียบง่าย เธอไม่ได้หันไปมองเขาอีก รอยยิ้มจางๆที่ประดับหน้านั้นเป็นสิ่งเดียวที่บ่งบอกว่า บางครั้งการพบกันก็ไม่ได้เป็นการเริ่มต้นของทุกอย่างและก็ไม่ใช่จุดจบของบางอย่างเสมอไป  เวลาและโชคชะตาเท่านั้นที่จะยืนยันความจริงแท้นั้นได้ เธอแหงนหน้ามองดาวกางเขนท่ามกลางฟ้าที่เต็มไปเต็มไปด้วยดาวดารดาษ  เพียงเสี้ยวเวลาหนึ่งกลับทำให้ในความทรงจำเกี่ยวกับดาวดวงนี้ของเธอมีเรื่องราวของเขาเข้ามาเกี่ยวข้อง และทำให้ความหมายของมันก็เปลี่ยนไปตลอดกาล



เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in