"งานเกี่ยวกับอะไรครับ" คำถามขยับขอบเขตเข้ามาใกล้ขึ้น
" ฉันเป็นผู้ช่วยวิจัยค่ะ" เธอจิบองุ่นหมักสีแดงใสราวทับทิมช้าๆ "คุณล่ะคะ"
"ผมเป็นช่างถ่ายภาพสารคดีครับ เดินทางบ่อยๆ นานๆทีก็กลับบ้านเสียทีหนึ่ง" เขาเสมองท้องฟ้าเมื่อพูดถึงคำว่าบ้าน
" แล้ววันนี้ไม่อยู่กับครอบครัวเหรอคะ" เธอกล้าที่จะเหยียบเข้าไปในใจกลางของจักรวาลตรงๆอย่างนั้น
" พ่อแม่ของผมเสียไปหลายปีแล้วครับ ที่นี่ก็เหลือแต่ครอบครัวพี่สาว ผมมีหลานชายสองคน"
"ฉันเสียใจด้วยนะคะ" เธอรู้สึกผิดที่ก้าวล่วงไปในดินแดนที่เธอคาดคะเนไม่ได้
"ไม่เป็นไรครับ เรื่องมันนานมาแล้ว"
เพลงเก่าแก่ของชาลส์ เอิลแลนด์ more today than yesterday เป็นเพลงแรกที่วงเล่นเปิดเบรคที่สอง จังหวะสนุกสนานราวงานรื่นเริงดูจะเข้ากันกับรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของผู้คนที่ตื่นเต้นกับการเฉลิมฉลองการส่งท้ายปีเก่า
" ทำไมคุณชอบแจ๊สล่ะครับ" เขาเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว
"ไม่ทราบสิคะ ฉันชอบเพลงที่มีที่ว่างของจินตนาการน่ะคะ ชอบเพลงที่เราสามารถจะใส่เรื่องราวของเราเองไปในนั้น แค่เสียงดนตรีก็สามารถบอกเรื่องราวของตัวมันเองได้แล้ว"
"ผมว่าแจ๊สเป็นตัวแทนของความไม่รู้จบ เพราะว่ามันไม่มีห้วงจำกัดของเวลา ไม่ว่านานแค่ไหนแจ๊สก็ยังเข้ากับเวลานั้นๆเสมอ อย่างเพลงนี้แต่งขึ้นในยุคเจ็ดศูนย์ แต่เราฟังในปีสองพันก็ยังรู้สึกมันยังสื่อสารชัดเจนอยู่เลย"
"คุณเล่นดนตรีหรือเปล่าคะ"
"ผมพยายามเล่นกีตาร์เมื่อนานมาแล้วครับ ก็พองูๆปลาๆไม่เก่งกาจอะไร คุณล่ะครับ"
"ฉันหวังว่าจะเล่นเปียโนเป็นนะคะ แต่ก็ไม่มีโอกาสได้เรียนเสียที"
"คุณชอบที่นี่ไหมครับ" เขาถาม
"หมายถึงเมืองนี้เหรอคะ" เธอถามยำ้
"ครับ" เขาตอบรับพลางพยักหน้า
" ฉันรักที่นี่ค่ะ ฉันรักความหลากหลายของที่นี่ทั้ง ผู้คน อาหาร วัฒนธรรม ดนตรี งานศิลปะ การศึกษา ถ้าเปรียบเมืองนี้เป็นสี ก็คงเป็นเมืองที่หลากสีสันเหมือนสีรุ้งนะคะ เสียอย่างเดียว อากาศค่อนข้างปรวนแปรจนบางครั้งปรับตัวไม่ค่อยทัน" เธอหมุนแก้วทรงสูงในมือไปมา แสงสีแดงกล่ำของของเหลวในแก้วกระทบกับแสงไฟจนเกิดรูปร่างงดงามคล้ายกับการมองผ่านกล้องคาไลโดสโคป
เขายิ้มพลางส่งสายตาดาวตกที่ส่องประกายระยิบนั้นให้เธอ
" คุณช่างคิดจังนะครับ ผมไม่เคยคิดในแง่นี้มาก่อนเลย ที่จริง ผมเบื่อเมืองนี้และอะไรหลายๆอย่าง ผู้คน ความหิวกระหายทางวัตถุ ความงี่เง่าของการเมือง จนผมคิดว่าผมจะทำงานอะไรก็ได้ที่จะได้เดินทางไปที่อื่นตลอดเวลา"
"บางทีที่อื่นของคุณกับที่อื่นของฉัน มันก็อาจจะมีความหมายเดียวกันแต่ต่างกันที่บริบทก็ได้นะคะ" เธอสบสายตานั้นอย่างกล้าหาญ
" นั่นสินะครับ" เขายกแก้วไวน์ขึ้นจิบอย่างใช้ความคิด
เขาและเธอแลกเปลี่ยนบทสนทนาเพื่อที่จะเรียนรู้กันอย่างช้าๆ ด้วยความระวังระไวที่จะไม่ก้าวล่วงไปยังดินแดนความเปราะบางของชีวิตที่แต่ละฝ่ายไม่อาจล่วงรู้ การเล่นเกมความสัมพันธ์ที่ดูน่าซับซ้อนที่อาศัยไหวพริบและการตีความอย่างลึกซึ้ง เขาและเธอเดินออกมาจากร้านโดยทิ้งทำนองโหยหาบาดลึกอย่างstarcross lover ไว้เบื้องหลัง เสียงพลุเที่ยงคืนถูกจุดขึ้นจากที่ใดสักที่บนอีกฝั่งแม่น้ำ เขาและเธอยืนชมความตระการตาของการแสดงพลุหลากสีสันและรูปทรงอย่างเงียบๆ กว่าสิบนาทีที่เสียงของการยิงดอกไม้ไฟประดับประดาท้องฟ้ากระจ่างวับวาวและเลือนหายติดต่อกันสิ้นสุดลง เขาและเธอแลกเปลี่ยนคำกล่าวสวัสดีปีใหม่แก่กันอย่างเงียบๆ
เธอเดินจากเขาไปหลังคำอำลาเรียบง่าย เธอไม่ได้หันไปมองเขาอีก รอยยิ้มจางๆที่ประดับหน้านั้นเป็นสิ่งเดียวที่บ่งบอกว่า บางครั้งการพบกันก็ไม่ได้เป็นการเริ่มต้นของทุกอย่างและก็ไม่ใช่จุดจบของบางอย่างเสมอไป เวลาและโชคชะตาเท่านั้นที่จะยืนยันความจริงแท้นั้นได้ เธอแหงนหน้ามองดาวกางเขนท่ามกลางฟ้าที่เต็มไปเต็มไปด้วยดาวดารดาษ เพียงเสี้ยวเวลาหนึ่งกลับทำให้ในความทรงจำเกี่ยวกับดาวดวงนี้ของเธอมีเรื่องราวของเขาเข้ามาเกี่ยวข้อง และทำให้ความหมายของมันก็เปลี่ยนไปตลอดกาล
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in