เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ยมทูตกับคนตาบอดplatonguon
ตอนที่ 4
  •           ไม่รู้ว่าใช้เวลาไปกี่นาที หรือเป็นชั่วโมง แต่ก็ยาวนานพอสมควร ทั้งฉันแล้วก็ยมทูตนั้นต่างเหน็ดเหนื่อย ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นยังไงนอกจากเสียงหอบเบา ๆ แต่ฉันน่ะนอนแผ่ไปกับพื้นเรียบร้อย


              “ดูเหมือนคลาวด์จะยังไม่ตื่น” ยมทูตพูดด้วยเสียงเบาลงและเอื่อยขึ้น ยมทูตเองก็มีขีดจำกัดเหมือนกันสินะ เสียงเย็น ๆ พอเบาและเอื่อยผนวกกับที่ฉันนอนหมดแรงนี่มันพากล่อมให้หลับเสียตรงนี้ได้เลย


              แต่พอเป็นเรื่องแมว ก็ยันตัวมานั่งโดยทันที


              “ที่เปิดเนี่ยเสียงไม่ดังเหรอ” ฉันถาม


              “มันเปิดทีละนิดช้า ๆ เอง และ…ได้แก้ประตูฝืดหรือเปล่าล่ะ”


              “ประจำ” พอตอบแล้วก็คิดว่าไม่น่าเลยตัวฉัน ไม่อยากให้แมวโดนกองทัพยุงหรือแมลงมาเล่นงาน “ปล่อยแบบนี้จนกว่าคลาวด์จะตื่นเองสินะ…”


              “อืมม…” ยมทูตครางคิดในคอ “ลองคุยกับมันก่อนไหมล่ะ”


              “ได้เหรอ” ฉันโพล่งขึ้น “ไหนว่าเสียงของโลกนี้ไปไม่ถึงอีกฝากไง”


              “ก็…เสียงน่ะใช่ แต่ความฝัน หรือลางสังหร ก็อาจจะ” คำพูดของคู่สนทนาทำเอางง ก่อนจะได้ถาม ก็ถูกจับมือดึงให้ลุก เดินมาที่ตำแหน่งโซฟา “ไม่เคยลองกับตัวหรอก… แต่เคยเห็นเรื่องเหนือฝันจากมนุษย์ อย่างการบอกในฝัน หรือลางของแฝดที่แยกกัน แล้วอีกฝ่ายตาย… บางทีหากเจ้าพูดละก็ เสียงอาจจะไปถึงคลาวด์”


              “จะได้ผลเหรอ?” ฉันคิดว่ามันไม่น่าได้ หรือว่าต้องพูดซ้ำ ๆ จนกว่าจะได้ยิน เหมือนกับที่ต้องดันประตูไม่รู้กี่ครั้งถึงจะเปิด


              “ก็อยากรู้เหมือนกัน แต่ถึงมันจะไม่ได้ยิน” อีกฝ่ายเว้นช่วง “นี่คือโอกาสบอกลา”


              “...” โอกาสบอกลา… ฉันไม่รู้ว่าวิญญาณตนอื่นมีโอกาสได้ทำหรือไม่ และฉันเอง ถ้าทำได้ก็อยากบอกลาเพื่อน บอกลาพ่อแม่ ฉันไม่เคยคิดมาก่อนในชีวิตว่าต้องทำแบบนี้ ที่ผ่านมามีเพียงการลาจากในการเดินทาง การทำงานไกล การบอกลาตลอดกาล… คงไม่เคยมีใครทำได้


              ฉันไม่อยากรบกวนยมทูต รวมถึงว่าพ่อแม่ฉันไม่ได้อยู่ในเมืองนี้ ดังนั้นแล้วคงมีแค่เจ้าแมวน้อยของฉันที่อยู่ตรงนี้ มันคงไม่สามารถบอกสารแก่ใครได้ แต่อย่างน้อยมันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตฉัน และจะเป็นตลอดไป


              พยายามยื่นมือควานหาออร่าบนโซฟา วางมือโดยไม่ลงน้ำหนัก ฉันสัมผัสไม่ได้ถึงขน แต่ว่าออร่าขยับตามร่างกายที่กำลังหายใจของคลาวด์ ฉันรู้สึกได้ว่ามันมีชีวิต พอจะเปิดปากพูด… ก็เหมือนเสียงไม่ออกมา หลายความรู้สึกไหลเวียนในใจฉัน เหมือนเป็นการตอกย้ำสถานะของตัวเอง แต่คราวนี้มันทรมาณกว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าสิ่งที่ฉันหวงแหน สุดท้ายก็ยังไม่เห็นตัวมัน


              ไม่รู้เลยว่าหากฉันยอมตามยมทูตเงียบ ๆ หรือว่ามาอยู่ตรงนี้ แบบไหนจะเจ็บน้อยกว่า… แต่เมื่อฉันได้รับโอกาส สักเล็กน้อย ก็ยัง…


              “คลาวด์…ขอโทษนะที่วันนี้กลับดึก รู้งี้น่าจะรีบออกจากงานอำลาแล้วรีบกลับมา” ฉันเริ่มกล่าวช้า ๆ “ไม่เคยคิดถึงขนนุ่ม ๆ เหมือนปุยเมฆขนาดนี้มาก่อนเลย… เธอมักจะอยู่ด้วยในทุกช่วงชีวิตของฉัน และมีขนติดเสื้อทุกคตัวเหมือนกัน”


              คุณยมทูตอาจจะเริ่มขมวดคิ้วว่าฉันพูดอะไรกันนะ


              “หลายคนบอกว่าคนตาบอดน่าจะเลี้ยงหมานำทางมากกว่า… แต่ว่าไม่เคยเสียใจนะที่มีคราวด์เป็นครอบครัวฉันน่ะ อยู่คนเดียวน่ะน่ากลัว แล้วก็เครียดมากด้วย และหวังว่าที่ผ่านมาฉันจะเป็นความสุขของเธอ…เหมือนกันนะ” เสียงของฉันเริ่มเบาลง “ตอนนี้ฉันไม่อยู่แล้วละ… ต่อจากนี้ ขอให้มีความสุขด้วยนะ”


              “...” ไม่มีเสียงอะไรเกิดขึ้น ทั้งจากตัวยมทูต หรือแวดล้อมรอบตัว ทุกอย่างเงียบราวกับว่าฉันคุยกับอากาศ มีเพียงมือของตัวเองสัมผัสออร่าของเจ้าแมวน้อยอยู่พอให้ระลึกได้ว่าเรื่องตรงหน้าอาจจะเป็นของจริง


              เว้นช่วงให้ความเงียบปกคลุมสักพักเหมือนกับว่าพยายามทำใจ ฉันค่อย ๆ ลุกขึ้น ยิ้มบางเล็ก ๆ ที่ดูไม่ได้สดชื่น มันเป็นความว่างเปล่าที่อธิบายไม่ได้ คล้ายจะโล่งก็ไม่ใช่เช่นกัน “คลาวด์คงไม่ได้ยินล่ะมั้ง” ฉันพูด เพราะตอนที่ฉันผละมือออกมา ออร่าก็ยังคงอยู่ที่เดิม


              “...ก็คงเป็นเช่นนั้น” ยมทูตพูดเสียงเรียบ ดูเหมือนว่าเขาเองก็ผิดหวังเหมือนกัน


              “อย่างน้อยได้พูดก็ดีแล้ว วิญญาณอื่นไม่มีโอกาสแบบนี้ใช่ไหมล่ะ”


              “ไม่ค่อย” คำตอบนั้นทำให้ฉันเลิกคิ้ว “แต่หมดธุระ ก็ต้องไปแล้ว”


              “อ่า…” ฉันคิดว่าจะพูด แต่ก็พูดไม่ออก เพียงแค่ยื่นมือให้อีกฝ่ายจับได้ถนัด รับรู้ถึงมือที่เย็นเฉียบแล้วก็เตรียมจะไปต่อ นับก้าวระยะเดิน


              แต่ว่าพอจะออกจากห้อง เจ้าของมือเย็นเฉียบกลับหยุดชะงัก


              “มีอะไร” ฉันถามขึ้นมาทันที ด้วยความที่มองไม่เห็นก็เลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น


              “คลาวด์ตื่นแล้ว”


              “ว่าไงนะ–” ฉันหันไปมองข้างหลังที่เพิ่งจากมา “คลาวด์” ฉันเผลอเรียกโดยลืมไปว่ามันส่งไปไม่ถึง หรือลืมว่าตัวเองอยู่คนละโลก นั่นทำให้ไม่เสียงตอบกลับมา “มันทำอะไร”


              “...ยืดตัว ลงจากโซฟา” ยมทูตรายงานบอกอย่างกับผู้เล่าสารคดี สมเป็นที่พึ่งคนเดียวจริง “...เดินออกไปทางระเบียงแล้ว”


              “ปีนต้นไม้รึเปล่า”


              “ปีนไปแล้ว เดินไปที่รั้ว” อีกฝ่ายเว้นช่วงก่อนจะตอบ


              เสียงโล่งใจของฉันถอดออกมาทันทีเมื่อได้ยินอย่างนั้น สมกับเป็นแมวน้อยของฉันจริง ๆ เท่านี้ฉันก็…เบาใจเรื่องนี้ไปได้แล้วละ “ขอบคุณมาก ๆ นะ ขอบคุณใจจริงเลย” กล่าวไปเสียงสะอื้นก็เริ่มกลับมาจนยกมือว่างมาปิดหน้าตัวเอง คราวนี้ฉันรู้สึกโล่งใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนตั้งแต่มาที่นี่ ดีใจและเศร้าไปพร้อม ๆ กัน แต่มันไม่ทรมาณแบบเดิมแล้ว


              ทางยมทูตไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแค่เหมือนรอฉันทำใจให้ได้สั้น ๆ ก็พาเดินทางไปยังจุดหมายที่ตกลงไว้แต่ทีแรก จุดหมายที่ไม่มันหวนกลับ นี่คงเป็นอีกเรื่องในชีวิต?ฉันที่ไม่อยากลืมแน่


              …


              เดินลงบันได้อย่างปลอดภัยดี 


              “จะว่าไป ทางไปยมโลกอยู่ไหนนะ” ฉันนึกขึ้นได้ก็ถาม


              “แม่น้ำ” อีกฝ่ายตอบทันควัน “แม่น้ำของเมือง”


              “แม่น้ำเองเหรอ” ฉันพูด นึกไปถึงตำนานหลาย ๆ เรื่อง ไม่ว่าแม่น้ำจะเป็นทางไปเอวจี หรือเป็นสายน้ำกั้นระหว่างโลกคนเป็นและคนตาย “แบบนี้คุณจะพายเรือพาฉันไปเหรอ”


              “ไม่ แค่พาลงน้ำ”


              “หืม แบบนั้นฉันจะจมน้ำรึเปล่าเนี่ย” เริ่มกลัวขึ้นมานิดหน่อย

              

              “ไม่จมหรอก แม่น้ำในโลกซ้อนทับจะเป็นประตูไปอีกโลกหนึ่งแทน”


              ฉันพยักหน้าเข้าใจทันที แอบพิศวงเอามากเมื่อมันกระจ่างชัด และหวังว่าจะไม่ใช่เรื่องหลอกเพราะสิ่งที่เจอผ่านมาและแวดล้อมก็พอจะเชื่อได้บ้าง พอมองไม่เห็นก็ลำบากเหมือนกัน ถ้าเห็นกับตาอาจจะเป็นเรื่องง่ายกว่านี้ “จะว่าไปแล้ว…ยมทูตนี่ตายได้หรือเปล่า”


              “...ว่ากันว่าได้” อีกฝ่ายตอบกลับมา จากคำดูเหมือนว่าจะไม่แน่ใจ หรือเป็นเรื่องห่างไกลจนเป็นเพียงปากเล่า “แล้วก็รอเวลานั้นมาถึงอยู่เหมือนกัน”


              ประโยคต่อมานั้นเหนือคาด ไม่อยากอยู่แบบนี้เหรอ แต่หากอยู่ในโลกตามที่อีกฝ่ายเคยเล่า มันอาจจะเป็นโลกที่ไม่มีใครและน่าเบื่อ มีแต่งานเดิมซ้ำ ๆ แถมลาออกไม่ได้ด้วย “อยู่มานานเท่าไหร่แล้ว”

              “145,112 วัน” ยมทูตตอบทันที ฉันเลิกคิ้วสูงอย่างประหลาดใจ มันทั้งนาน และอีกฝ่ายนับมันด้วย หรืออาจจะมีเครื่องนับ “อีกไม่ถึงชั่วโมงก็จะ 145,113”


              “ทำงานคนเดียวหรือเปล่า”


              “ไม่ แต่เมืองนี้มีฉันประจำคนเดียว” นั่นน่าจะเหงาน่าดู


              “ยมทูตนี่ได้ค่าตอบแทนอะไรหรือเปล่า”


              “ไม่มี เพราะเราไม่ต้องกิน หรือไม่ต้องนอน แถมอุปกรณ์ครบครัน”


              “อุปกรณ์เหรอ” กล่าวเสียงสูงอย่างสงสัย


              “พวกอุปกรณ์จับวิญญาณ อย่างเช่น ตายพร้อมกันหลายสิบคนในช่วงสงคราม หรือว่าตามหาวิญญาณที่หลบหนี ขัดขืนก็ใช้โซ่ล่ามลากไปทั้งอย่างนั้น อะไรทำนองนั้น”


              “น่ากลัว” ฉันหลุดพูดออกมาพร้อมหน้าซีดเซียวเมื่อนึกภาพตาม หากว่าตัวเองโดนอย่างนั้น “รู้สึกดีชะมัดที่คุณยอมให้ฉันไปหาเจ้าคลาวด์น่ะ”


              “...หลายคนก็บอกอย่างนั้น” อีกฝ่ายพูดเสียงเรียบนิ่ง “ทีแรกคุณเองก็ดูกลัว”


              ฉันพูดไม่ออกเมื่อได้ยินอย่างนั้น เหมือนกับตำหนิโดยที่ไม่รู้จักคนที่จับมือด้วยดี แต่มันเพราะฉันมองไม่เห็น และไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น “แต่คุณใจดีนะ” เลือกที่จะพูดต่อ ด้วยมุมมองที่เปลี่ยนไป “ถ้าไม่ได้คุณก็คงจะกังวลเรื่องแมวไปตลอดทางก็ได้ ทั้งที่น่าจะบังคับฉันไปเฉย ๆ มันจะได้จบ ๆ ไป”


              “...” อีกฝ่ายเงียบ รู้สึกว่าคงพูดอะไรไม่ค่อยดีไป แต่ก่อนจะเอ่ยปากขอโทษ “ก็ไม่ได้อยากทำให้ใครกลัวอยู่แล้ว… ถึงอย่างนั้นส่วนใหญ่ก็ไม่อยากเจอตัวฉันอยู่ดี”


              “นั่น…นั่นเพราะว่าคุณปรากฎตัวเวลาพวกเขาตายนี่นา” ฉันพูด จากที่ได้ยินเรื่องเล่า เวลาสิ่งที่เรียกว่ายมทูตปรากฎตัว นั่นแปลว่าชีวิตจบลง


              “ถูก พวกเขาเลยไม่ชอบ ทั้งร้องไห้หรือก่นด่าเมื่อรู้ความจริง พยายามหนี มันเป็นแบบนั้นแต่ไหนแต่ไร ฉันแค่ทำตามหน้าที่” อีกฝ่ายเล่า “เพราะไม่อยากให้หน้าที่บกพร่อง ก็เลยต้องใช้วิธีรุนแรงเพื่อจบโดยเร็วที่สุด โดนคัดค้านสุดใจ ในขณะที่เมื่อพวกเขายังมีชีวิตอยู่ก็มีความสุขดี เหมือนกับว่าฉันเป็น… มีตนหนึ่งเคยพูดว่าอย่างไรนะ ถังขยะ? ถังขยะรองรับอารมณ์”


              ฉันถึงกับพูดไม่ออกเมื่อได้ยินคำเปรียบเทียบต่อตัวเอง ยมทูตอยู่มาน่าจะหลักร้อยปีได้ นี่เจอมามากแค่ไหนกัน


              “ถึงสมัยนี้จะเปลี่ยนไปก็เยอะ บางคนดูจะเต็มใจที่จะให้ฉันพาไป บางคนยอมแต่โดยดี เงียบตลอดทาง… แต่สุดท้ายฉันก็เป็นผู้พาพวกเขาไปยังยมโลก เท่ากับว่าฉันก็ทำให้พวกเขาตายโดยสมบูรณ์ ทีแรกฉันพอทำใจ แต่นานเข้าที่ต้องพาใคร ๆ ไปยังยมโลก มันเหมือนกับฉันต้องฆ่าเขาอีกครั้งหนึ่ง ไม่รู้กี่ชีวิต” เสียงเย็นเฉียบนั้นยังคงบอกเล่าต่อ แต่รู้สึกว่าภายใต้เสียงเรียบนั่นคงทรมาณไม่น้อย ว่าแม้แต่โลกทับซ้อนก็ไม่ได้ใจดีกับยมทูตเลย “ฉันไม่ได้ชอบเห็นคนเสียใจ ผิดหวัง หลายคน ไม่สิ ทุกคนควรจะมีชีวิตที่ดีกว่านั้นก่อนจะมาถึงจุดนี้… นั่นคือเหตุผลที่ฉันยอมให้คุณไปหาแมว”


              แอบคิดว่ามีชีวิตนานขนาดนี้ก็น่าจะชินซะมากกว่า ไม่นึกว่าจะฟังเสียงหรือเฝ้ามองใคร ๆ จากอีกโลกหนึ่งจนเก็บมาทิ่มแทงตัวเอง ในโลกที่ฉันเคยอยู่ ล้วนมีหลายอย่างที่ทำให้ยิ้มแล้วก็เศร้าโศก แต่งานของยมทูต มันดูไม่ใช่งานที่ให้ความยินดีกับใคร และเดาว่าคงไม่เคยมีทางเลือกอะไรแน่นอน ในเมื่อลาออกไม่ได้ แถมไม่รู้จุดสิ้นสุดตัวเอง


              “...สำหรับฉัน” ฉันนึกคำพูดต่อ “ถ้าหากไม่มีคุณ ฉันคงลำบากมาก… ปกติฉันเดินโดยไม่มีไม้เท้าก็ต้องระวังนั่นนี่ไปเรื่อย แม้จะเป็นที่เดิม ๆ ก็เถอะ แล้วถ้าอยู่โลกที่ไม่มีเสียง ไม่มีอะไร คงจะลำบากกว่านั้นแน่ แถมยังอยู่ตัวคนเดียวด้วย มันยิ่งน่ากลัวขึ้น ถ้าเป็นแบบนั้นจริงนี่นึกภาพไม่ออกเลย” กลอกตาคิด ฉันรู้ว่าตัวเองปลอบใครไม่เก่ง แม้แต่ปัญหาตัวเองบางทีก็จัดการได้ยาก แต่ก็อยากลอง “คุณไม่ใช่ยมทูต… คุณคือเพื่อนที่ช่วยนำทางต่างหาก มันไม่เป็นไรหรอก หากปลายทางมันคือความตาย แต่อยากให้รู้ไว้ว่าฉัน…”


              “ดีใจที่ได้พบคุณที่นี่”


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in