เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ยมทูตกับคนตาบอดplatonguon
ตอนที่ 3
  •           เมื่อคนที่เรียกตัวเองว่า ‘ยมทูต’ ยอมตกลง ฉันพูดขอบคุณไม่หยุดจนอีกฝ่ายห้าม เพราะแมวตัวนั้นมีค่าต่อฉันมาก ไม่สิ เรียกว่าเป็นโลกอีกใบที่ฉันไม่อยากทิ้ง แม้ว่าต่อไปจะไม่อยู่แล้ว อย่างน้อยแมวอาจจะไม่ต้องมาเห็นฉันจากไปต่อหน้า ถ้ามันมีชีวิตแบบไม่รู้เรื่องนี้อาจจะดีกว่า และฉันไม่อยากเห็นมันเหงา หิว หรือว่าอะไรที่มันแย่กว่านั้น


              ฉันบอกทางไปห้องตัวเองกับคุณยมทูต จะได้ไปถูกทาง ฉันไม่รู้หรอกว่าตอนนี้อยู่ในอารมณ์ไหนหลังจากที่เพิ่งพูดด้วยเสียงแข็งใส่แบบนั้น แต่ตอนนี้ก็ยอมตกลง และอย่างน้อยบ้านฉันก็ไม่ได้อยู่ไกลจากตรงนี้ หวังว่าจะทำให้รู้สึกดีขึ้นที่มันจะได้ไม่ใช้เวลานาน


              ระหว่างที่เดินไปก็แอบคิดไปด้วยถึงเรื่องก่อนหน้านี้ที่เกิดขึ้น ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตัวเองตายแล้ว แต่แวดล้อมรอบตัวก็ชวนให้เป็นแบบนั้น จะโดนจัดฉากหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่ตอนนี้ไม่ได้ยินเสียงอะไรแล้วจริง ๆ และคิดว่า… ไม่รู้สิ หากยมทูตเป็นมิชฉาชีพ ป่านนี้คงจะโดนอะไรต่ออะไรไม่รู้ แล้วก็ไม่จับมือ หรือไม่ต่อรองแบบนี้ล่ะมั้ง แต่ถ้าตายจริง ๆ …


              “อยู่ชั้น 2 สุดทางเดินใช่ไหม” ก่อนจะได้คิดอะไรยมทูตก็หันมาถามก่อน


              “ใช่” หลังจากตอบคำถามเสร็จก็นึกได้ว่าแล้วเราจะเข้าไปยังไงนะ หากจำไม่ผิดในหนังผีก็น่าจะทะลุกำแพงหรือเปล่า


              “...ง่ายดี” เขาพูด ก่อนจะจูงมือเข้าไปในคอนโด ขึ้นบันไดแทนที่จะใช้ลิฟท์ จุดนี้ทำให้คิดว่าอาจจะอยู่ในโลกทับซ้อนจริง ๆ ก็ได้ ฉันเคยขึ้นบันได จำความชัน ความสูงการก้าวขั้น ฉันเคยล้มแต่บางทีก็พยายามขึ้นไปเพราะรอลิฟท์ไม่ไหว เคยต้องให้คนช่วยเพราะดันไม่มีราวจับ


              ฉันจำระยะทางเดินได้ดี ไม่นานคุณยมทูตก็หยุดเดิน อาจจะยืนอยู่หน้าห้องฉัน แต่ไม่นานก็เดินตรงไปต่อ


              “ถึงแล้ว” คุณยมทูตบอก


              “เราเข้าห้องหรือยัง?”


              “เข้ามาแล้ว เราทะลุกำแพงเข้ามา”


              “จริงเหรอเนี่ย” ฉันทำหน้าประหลาดใจ ไม่นึกว่าเป็นวิญญาณแล้วจะทะลุได้จริง ยมทูตเองก็ทะลุกำแพงได้ จนฉันแอบคิดว่าคุณยมทูต… ไม่สิ เขาเป็นคนแปลกหน้า ไม่ควรพูด


              “แมว…อยู่ที่โซฟา” อีกฝ่ายพูดก่อนจะจูงมือตามไป ยืนอยู่ในจุดที่ฉันจำได้ว่าโซฟาเองก็อยู่ตรงนี้ “กำลังนอน”


              “คลาวด์…” ฉันเผลอพูดเสียงอ่อนเพราะคิดถึงตัวนุ่มนิ่มของมันเต็มทน มืออีกข้างกวาดไปตามพื้นโซฟาเพื่อที่จะพยายามสัมผัสมัน เหมือนจะสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่โซฟา แต่ดูแตะต้องไม่ได้เสียอย่างงั้น เหมือนมี…อะไรหยุ่น ๆ แทนที่จะเป็นขน พยายามกดแล้วก็เหมือนพยายามผลักออก ทำให้ฉันรู้สึกว่ามันประหลาดเกินไป


              “เธอแตะต้องมันไม่ได้” ยมทูตพูดขึ้น “ในโลกทับซ้อนนี่ไม่สามารถสัมผัสสิ่งที่ยังไม่ตายได้ หรือกระทั่งสิ่งของก็ด้วย มันจะผลักเราออก”


              ฉันหันตามเสียง เต็มไปด้วยความฉงนมากมาย “ไม่ได้งั้นเหรอ” ฉันโพล่งขึ้นเมื่อมันไม่เป็นอย่างที่หวัง “แล้วกำแพงนั่น–”


              “สงสัยว่าทะลุได้อย่างไรล่ะสิ คำตอบก็คือหากเราไม่ได้ตั้งใจที่จะเคลื่อนย้ายมัน เราจะเดินทะลุแทน ทุกสิ่งกระทั่งสิ่งมีชีวิต” อีกฝ่ายตอบมาแบบนั้นราวกับว่าเดาความคิดได้โดยไม่ต้องรอให้พูดจบ “แต่มันก็มีข้อจำกัด การสัมผัสสิ่งที่ไม่ได้อยู่ในโลกซ้อนทับมากเท่าไหร่ทำให้พวกออร่าที่กันสิ่งนั้น ๆ ที่อยู่โลกคนเป็นนั้นอ่อนแอลง ถึงจะไม่มาก แต่ก็นั้นแหละ เพื่อไม่ให้วิญญาณเข้าถึงโลกคนเป็นมากเกินไป”


              แท้จริงเป็นอย่างนี้ งั้นเรื่องเล่าเหนือธรรมชาติก็เป็นเรื่องจริงหรือเปล่านะ แต่มันก็มีคำถามผุดขึ้นมาอีก “ถ้ามันมีออร่ากั้น ถ้าอย่างนั้น ประตูหน้าต่างฉันล็อคหมด ฉันก็ขยับมันไม่ได้น่ะสิ”


              “ถูกต้อง”


              “งี้ก็ช่วยคลาวด์ไม่ได้ไม่ใช่เหรอ”


              “ไม่ถูก” คำตอบนั้นสะกิดเข้าความสงสียอีกแล้ว “หากสัมผัสมากเท่าไหร่ ออร่าจะยิ่งอ่อนแอลง นั้นหมายความจะสามารถจับได้หากมีแรงมากพอ และเราจะเคลื่อนย้ายมันได้” 


              คำพูดจากคุณยมทูตนั้นให้ความหวังขึ้นมา และชื่อสุดหัวใจเลยว่าเขาไม่โกหกแม้ว่าจะไม่เห็น “ดีเลย ถ้างั้น” ฉันเว้นช่วงคิด “หน้าต่างตรงระเบียงที่มีต้นไม้ ตรงนั้นน่ะ คลาวด์จะโดดขึ้นต้นไม้แล้วค่อยโดดไปที่รั้วกำแพง มันใช้ทางนั้นแหละไปหาเพื่อนฉัน”


              ยมทูตไม่ได้ตอบอะไร แต่ไม่นานหลังจากบอกก็จูงมือพาฉันไปทางที่จำได้ว่าเป็นตรงที่ระเบียงยื่นออกไปข้างนอก ก่อนจะจูงมือให้ฉัน แตะที่ตัวปลดล็อค ตรงนี้


              “ขอบคุณ” ฉันกล่าวก่อนจะพยายามปลดล็อคประตู มัน…


              มันกดเลื่อนปลดล็อคแทบไม่ได้ มือพยายามจะกดงัดมันให้ขยับ เมื่อเช้ามันยังขยับได้อย่างง่ายดาย มาวันนี้มันเหมือนแทบจะไม่ขยับให้เลย!


              “มันยากขนาดนั้นเองสินะ” จู่ ๆ ยมทูตก็พูดขึ้นจนฉันหันหน้าไปหา เผลอทำหน้าไม่พอใจเหมือนเขากำลังแกล้งให้ดึงอะไรหนัก ๆ หรือเหมือนกับบอกว่า ‘แค่นี้ทำไม่ได้เหรอ’ อะไรประมาณนั้น แต่เป็นฉันเองก็ไม่นึกว่าจะยากขนาดนี้เหมือนกัน


              “คุณเคยเปิดรึเปล่า” ฉันถามออกไปเลย


              “ปกติฉันไม่ยุ่งกับของโลกนั้นอยู่แล้ว แต่เท่าที่จำได้ก็เคย…” น้ำเสียงของยมทูตเหมือนคิดไปด้วย “ก็จำได้ว่าใช้เวลาอยู่ แต่มันก็ผ่านมานานเกินไปจนไม่แน่ใจ”


              นานขนาดไหนกันนะ ถ้าเป็นยมทูตจะนานมากเลยรึเปล่า “แต่ถ้ายังไงมันจะเปิดได้ ฉันก็ต้องทำให้ได้” พูดจบก็พยายามกด ออกแรงอีกรอบ กดจนเก็บเสียงขณะออกแรงไม่อยู่ สภาพที่ยมทูตเห็นอาจจะไม่ต่างจากคนที่ต้องดึงลากของหนักจนสุดแขนเลย แต่ในที่สุด—


              กริ๊ก!


              “ได้แล้ว!”


              “ต่อไปก็เลื่อนประตูเลื่อน” ยมทูตกล่าวต่อ “ยิ่งของใหญ่ขนาดไหน มันต้องใช้แรงเท่านั้น”


              หลังจากที่ได้ยินประโยคนั้น ตาของจริงฉันที่ขุ่นมัวอยู่แล้ว ก็รู้สึกมืดมัวไปยันจิตใจ ถ้าแค่ตัวปลดล็อคอันขนาดไม่ถึงมือนี่ยังใช้แรงขนาดนี้ ถ้าต้องเลื่อนประตูที่สูงกว่าตัว ถึงจะไม่หนา แต่จะขนาดไหนกัน อย่างน้อยมันอาจจะเป็นโชคดีรึเปล่านะที่ประตูฉันมันไม่ได้ล็อคแม่กุญแจ หรือมีตัวล็อคหลายอัน คิดสภาพแล้วคงหมดแรงก่อนแน่


              “ที่โลกทับซ้อนไม่มีความหิวหรือกระหาย ถ้าเกิดเหนื่อยก็พักจนกว่าจะพอใจได้เลย แต่ให้ดีต่องานของฉันก็อย่าทำอย่างนั้น” ยมทูตพูดซึ่งเหมือนจะไม่ใช่กำลังใจที่ดีเท่าไหร่เลยนี่สิ ก่อนจะจับมือฉันมาวางตรงที่จับประตูใหม่ “เอาเลย เพื่อ…ชื่ออะไรนะ คลาวด์ของคุณ”


              พอได้ยินชื่อของเจ้าแมวแสนรักก็มีแรงขึ้นมาอย่างพิศวง มันเป็นแรงใจนี่เอง


              ฉันไม่รอช้าที่จะลงมือจับที่ช่องจับประตู และออกแรงเลื่อนมัน ความรู้สึกหนักหน่วงตอนนี้ไม่ต่างกับการลากหินก้อนใหญ่กว่าตัวให้เลื่อนกับพื้นโดยไม่มีตัวช่วยอะไรทั้งสิ้น มันหนักจนเจ็บมือ และดึงมันนานจนรู้สึกว่าถ้าคนอื่นมาเห็นคงรู้ว่ามือแดงแค่ไหน


              มันไม่ค่อยขยับสักที จนในทึ่สุดก็ปล่อย หอบหายใจอย่างที่ไม่รู้ว่าวิญญาณนั้นเหนื่อยได้มาก่อน ไม่รู้สึกว่าจะเลื่อนมันได้เลย ใครออกแบบโลกนี้ หรือโลกซ้อนทับกันนะ


              “ทำไมไม่ง่ายเหมือนในหนังผีเลยนะ”


              “มนุษย์นั้นตีความขึ้นมาเพื่อความน่ากลัวไม่ใช่หรือไง” ยมทูตตอบ “ถึงที่นี่วิญญาณเร่ร่อนจะทำอะไรคล้าย ๆ เชิงนั้นได้ แต่ความจริงก็ไม่ทุกอย่าง ก็อย่างที่คุณเห็น ขนาดจะยกของให้ลอยขึ้นหรือขยับก็ยังยาก นั่นก็เพื่อป้องกันไม่ให้วิญญาณข้องกับโลกคนเป็นมากไป”


              “แบบนี้… คงไม่ใช่ว่าพวกของลอยได้ หนังสือลอยได้อะไรพวกนั้นก็คือผีนักกล้ามมายกหรอกนะ?” ความคิดประหลาด ๆ ของฉันมันบอกมาอย่างนั้น


              “อืมม ก็ไม่แน่นะ” คุณยมทูตตอบเพียงเท่านั้น ทำเอาคิดว่าจริงเหรอเนี่ย ในหนังที่เป็นภาพผู้หญิงผมดำในชุดขาว หรือว่าตามตำนานอะไร แท้จริงเป็นผีนักกล้าม?? “แต่มันไม่สำคัญหรอก ฉันอาจจะไม่ได้เห็นกับตา พวกวิญญาณเห็นฉันก็หนีกันหมด แต่ไม่ว่าคุณจะเป็นยังไงก็เปิดประตูให้ได้เถอะ”


              ฉันพยักหน้า ความจริงถ้าเอาของมาช่วยดึงน่าจะสะดวกกว่า แต่เพราะโลกนี้แตะต้องไม่ได้ง่าย ๆ เชื่อเลยกว่าจะหาของ กว่าจะยกมางัดร่องที่จับประตูให้เลื่อนน่าจะกินแรงจนหลับไปเลยก็ได้


              “ฮึบบ!” มือเอื้อมไปจับอีกครั้งโดยมียมทูตช่วยจับวางให้ พยายามออกแรงอีกครั้ง มันกินแรงมากกว่าตอนกดปลดล็อค แต่คราวนี้ฉันรู้สึกได้ว่ามันเริ่มขยับแบบหนืด ๆ “ใกล้จะได้แล้ว—”


              “เพิ่งขยับได้แค่พอนิ้วสอดได้” พอได้ยินยมทูตพูดแบบนั้นก็ใจห่อเหี่ยวไปมาก ฉันคิดว่าแค่กว้างพอให้แมววัยโตที่ไม่อ้วนลอดไปได้ก็คงพอแล้ว แต่ดึงก็เสียแรงไปมากแล้วขยับแค่นี้เองงั้นเหรอ 


              ถึงอย่างนั้นจะให้ยอมแพ้ก็ไม่ได้ ฉันอุตส่าห์ขอร้องก็เพื่อแมวของฉัน คลาวด์เป็นโลกทั้งใบที่ไม่มีอะไรมาแทนที่ ถึงฉันจะไม่ได้อยู่ต่อ มันต้องอยู่ต่อ มือพยายามงัดขยับทั้งสองข้าง ข้างหนึ่งที่จับประตู อีกข้างที่ร่องของประตูที่เปิดแล้วเมื่อมันแง้มให้แทรกมือไปได้


              ก่อนจะได้ยินเสียงเดินมาใกล้ และฉันรู้สึกว่ามีแรงช่วยดึงประตูเหมือนกัน


              ไม่ได้ถามอะไรเพราะเสียงฉันแหบหายไปกับความเหน็ดเหนื่อยในการขยับให้ประตูเปิดออก แรงใจมากขึ้นทุกครั้งเมื่อรู้สึกว่ามันเริ่มกว้างขึ้น มากขึ้น คราวนี้ไม่ได้ต้องดึงเพียงลำพังแล้ว


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in