เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ยมทูตกับคนตาบอดplatonguon
ตอนที่ 2
  •           …


              คนตาบอดถูกคนเมาขับรถชนเพราะประมาท บดเข้ากับเสาไฟพอดี


              เชื่อเลยว่าฝ่ายนั้นต้องช็อคแน่ ๆ หากรู้ว่าตัวเองตายอย่างไร


              แต่…ใช่ ฉันต้องไปรับคนตาบอดผู้นั้น ดวงตามองดูสภาพของอีกฝ่าย วิญญาณนั้นไม่ผูกติดกับกายหยาบจึงทำให้ร่างวิญญาณดูสภาพดีเหมือนก่อนตาย หรืออาจจะเป็นสภาพที่ผู้ตายอยากจะให้เป็นแบบไหนก่อนตายก็จะได้ดังนั้น กายจริงสภาพน่าอดสูไม่น่ามองนัก ทำเอาคิดว่าหากต้องมารับวิญญาณในสภาพเละแบบนี้คงเป็นอีกความรู้สึกหนึ่งแน่


              วิญญาณดวงนั้นดูจะสับสน หรืออาจจะไม่รู้ว่าโดนชน พยายามอย่างกระวนกระวายตะเกียกตะกายหาที่เกาะเพราะหาไม้เท้าไม่เจอ จนไปจับประคองกับเสาไฟที่เป็นสิ่งก่อสร้างมั่นคงที่อยู่ใกล้มือที่สุด พยายามจะตั้งสติว่าเกิดอะไรขึ้นโดยที่ตัวเองมองไม่เห็นอะไรเลย


              ฉันเองไม่เลือกที่จะปล่อยไว้แบบนี้ เดินเข้าหาประจันหน้าตามหน้าที่ เสียงเท้าหนักพอจะทำให้อีกฝ่ายรู้ว่ามีคนกำลังลงมา


              “ค… ใครน่ะ” คนตาบอดถามด้วยเสียงกระหนกก่อนที่ฉันจะเอ่ยปากอะไร เห็นดวงตาขุ่นสั่นคลอนเมื่อมองในระยะที่ใกล้ขึ้น


              “...ยมทูต” ฉันเลือกที่จะแนะนำตัวด้วยชื่อหน้าที่ “มารับคุณไปยมโลก”

              ตามที่คาดคิดไว้ คนตาบอดทำหน้าไม่เชื่อทันทีที่ได้ยิน


              “อำเล่นเหรอ ไม่ตลกเลยนะ ฉันแค่จะกลับ-–”


              “ถ้างั้นสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนคุณจะตื่นในตอนนี้ คืออะไร” ฉันยิงคำถามไปในทันทีเพื่อให้อีกฝ่ายได้คิด ไม่สนว่าจะตั้งสติทันหรือไม่เพราะไม่รู้จักกัน ด้วยสภาพฝ่ายนั้นก็เป็นการยากในการขัดขืน “ตอนนี้คุณไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยใช่หรือเปล่าล่ะ”


              ความเงียบและสีหน้าซีดคือคำตอบแรกที่ได้มา อ้าปากพะงาบเหมือนจะพูดแต่ไม่มีเสียงออกมาคล้ายกับไม่แน่ใจในคำตอบตัวเอง ใช้เวลาอยู่พอตัวในการเรียบเรียงเรื่องที่เกิดขึ้น ตัวฉันจึงได้แต่รออย่างใจเย็นเมื่อท่าทีฝ่ายนั้นดูไม่ก่อให้เกิดเรื่อง จนในที่สุดก็ได้ยินว่า


              “มีคนบอกระวัง… กับแรงกระแทกที่ชนมา” คนตาบอดพูดออกมาช้า ๆ “จำอะไรไม่ค่อยได้… แต่เสียง?” อีกฝ่ายหันซ้ายหันขวา ก่อนจะตอบคำถามที่สอง “ไม่ได้ยิน… ไม่เลย”


              “อย่างที่คุณเข้าใจ” ฉันกล่าวต่อ “มันคงเข้าใจยากสำหรับคุณ เพราะคุณมองไม่เห็น แต่ที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลเพราะไม่งั้นคุณต้องอยู่ที่เตียง และหากคุณถูกกระแทก…ที่จริงคุณเพิ่งโดนรถชน” อธิบายเหตุผลโดยคิดว่าไม่ต้องพูดเรื่องลงลึกว่าใครเป็นคนชนดีกว่า “ร่างกายคุณแตกเป็นเสี่ยง ๆ เพราะกระแทกกับเสาและกำแพงข้างทาง คุณเสียชีวิตตั้งแต่ตอนนั้น… ณ ตอนนี้ คุณไม่ได้ยินเสียงอะไรนอกจากผม เพราะตัว…หมายถึง ตอนนี้คุณเป็นวิญญาณ อยู่ในโลกซ้อนทับกับโลกที่คุณเคยอยู่ ของรอบตัวยังคงอยู่ แต่โลกนั้นส่งมาไม่ถึงคุณอีกต่อไป และคุณก็ไม่สามารถติดต่อกับโลกเดิมได้อีก”


              “...” เป็นอีกครั้งที่ฉันให้ข้อมูลอย่างเถรตรง ถึงจะไม่ทั้งหมด แต่ก็ทำให้คนตรงหน้าดูจะปรับตัวไม่ทันกับข้อมูลใหม่ที่ได้รับ ไม่สิ ประสบการณ์ใหม่ เพราะตอนนี้ไม่ได้อยู่โลกเดิมอีกต่อไป นัยน์สั่นพร้อมกับใช้มือข้างหนึ่งกอดตัวเอง ดูน่าเห็นใจไม่น้อย แต่ฉันไม่สามารถช่วยอะไรได้ “ฉันอาจจะโดนทำให้สลบ แล้วพามาที่ไหนไม่รู้อีกแล้วก็ได้นี่นา”


              “คุณถูกกระแทกไปทั้งตัวใช่ไหมล่ะ มันควรจะเจ็บไปหมด แต่คุณยังลุกได้ แล้วไม่เจ็บ ตามความจริงมันควรจะเป็นอย่างนั้นไม่ใช่หรือ” เห็นคำพูดดูกล่าวหาอย่างกับฉันเป็นมิจฉาชีพหรือยอมรับความจริงไม่ได้ก็เลยยกเหตุผลใด ๆ ก็ได้ไป เป็นคนตาบอดพอไม่เห็นภาพแล้วช่างยุ่งยากจริงเชียว


              เจ้าของดวงตาที่บอดมัวนั้นทีแรกยืนเกาะกับเสา บัดนี้ค่อย ๆ ทรุดนั่งยองกอดตัวเองเหมือนพยายามคุมสติและปลอบขวัญ ก้มหน้าก้มตาซ่อนสีหน้าเหมือนพยายามยอมรับในเรื่องที่ทำใจได้ยาก ไม่ต่างกับวิญญาณตนอื่นที่ผ่านมา ยังดีที่ให้เหตุผลพอ ๆ กับอารมณ์ได้ขนาดนี้


              ฉันเลือกที่จะเดินเข้าไปใกล้ขึ้น มือเย็นเฉียบสีซีดเผือกไม่ต่างจากศพเข้าไปจับไหล่อย่างแผ่วเบา รับรู้ถึงร่างกายกำลังสั่นระริก ใบหน้าคนตาบอกเงยมาจะมอง แต่มองตรงในระดับสายตา เพราะไม่รู้ว่าตอนนี้ฉันกำลังยืนอยู่ แล้วจึงเอ่ยคำพูดต่อมา


              “ฉันเข้าใจว่ามันทำใจยาก… มันทรมาณใช่ไหมล่ะ ดังนั้นมันอาจจะดีกว่าถ้าหากรีบไป เพื่อจะได้จบความรู้สึกนี้” ฉันพูดออกไปเรียบ ๆ “ฉันจะนำทางไปเอง”


              “ไม่ คือ” อีกฝ่ายพูดเสียงสั่นติดสะอื้น “ถ้าไม่ยังไง ขอเวลาทำใจก่อนได้ไหม? มันทำใจยากมาก…ยาก…ไป”


              คำตอบนั้นทำให้ฉันถอนหายใจ ฉันไม่อยากติดพันกับคนตรงหน้านัก อาจจะเพราะเย็นชาก็ได้ แต่ไม่อยากเสียเวลาเท่าไหร่ เพราะอีกฝ่ายที่ตาบอดก็ทำให้งานลำบากมากขึ้นอยู่แล้ว ทว่าเพราะฉันอยู่มานาน การดึงลากไปทั้งแบบนี้อาจจะมีผลเสียมากกว่า และวันนี้ก็มีเพียงวิญญาณเดียวด้วย


              แต่ละคนก็ดันใช้เวลาไม่เท่ากัน ฉันที่ไม่เคยสูญเสีย ไม่เคยพบกับความตาย เลยไม่สามารถเข้าถึงความรู้สึกอีกคนอย่างถ่องแท้…ดังนั้นแล้ว


              “ตามนั้น” พูดจบก็มองรอบ ๆ แก้เบื่อ เห็นผู้คนโดยรอบสลดและช็อคกับเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิด มีการแจ้งเจ้าหน้าที่ แจ้งเอาเรื่องผู้ขับรถ ร่างผู้เสียชีวิตในสภาพย่ำแย่ก็ถูกดำเนินต่อไป สัมภาระถูกเก็บ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนับถือศาสนาอะไร ไม่สิ มีญาติหรือครอบครัวอยู่เมืองนี้บ้างรึเปล่า บางที… การที่อีกฝ่ายมองไม่เห็น และอยู่ในโลกที่ไม่ได้ยินเสียงแบบนี้ อาจจะเป็นเรื่องดีที่ไม่ต้องมองร่างตัวเองในตอนนี้

              …


              ใช้เวลาพักใหญ่กว่าคนตาบอดจะดีขึ้น หน้าตานั้นดูล้าและเศร้า ตอนที่ลุกขึ้นมาคนตาบอดนั้นกลับไม่ได้พูดอะไร พยักหน้าให้โดยไม่รู้ว่าฉันอยู่ทิศทางไหน 


              เพราะมองไม่เห็น และฉันหยิบไม้เท้ามาให้ใช้ไม่ได้เพราะเป็นของจากโลกคนเป็น ก็เลยให้จับมือ ฝ่ายนั้นแอบตกใจเมื่อได้จับมือของฉันโดยตรง มันเย็นเฉียบมากเกือบคล้ายจับน้ำแข็ง แต่ว่ามือของคนตาบอดเองก็เย็นเช่นกัน แต่ยังมีความอุ่นหลงเหลือ เพราะเพิ่งตายไม่นาน หากปล่อยไว้นานกว่านี้ก็อาจจะเย็นเรื่อย ๆ จนเกือบจะเหมือนอุณหภูมิในตัวฉันก็ได้


              ความจริงจะจับแขนเสื้อ หรือชายผ้าคลุมก็ได้ แต่การจับมือมันช่วยให้มั่นใจว่าจะไม่คลาดไปไหนง่าย ๆ แม้ว่าคนตาบอดจะหนีไม่ได้ง่าย ๆ เช่นกัน อะไรหลายอย่างทำให้ฉันมีอำนาจมากกว่าเมื่ออยู่ในโลกซ้อนทับนี้ ทว่าอีกฝ่ายพอไม่มีไม้เท้าก็กลัวขึ้นมา แถมมือสั่นไม่มั่นใจเลยว่าจะเผลอปล่อยมือเมื่อไหร่ ก็เลยยอมจับแทนที่จะใช้วิธีการที่ดูหยาบคายหรือรุนแรงกว่านี้ที่สะดวกกว่า


              เมื่อพร้อมก็เริ่มพิณิจว่าเดินทางไหนจะใกล้กับทางไปยมโลกมากกว่า ที่จริงจะพาบินไปก็ได้ แต่ด้วยสถานะที่ต่างกัน อีกฝ่ายบินไม่ได้ และไม่มั่นใจว่าตัวเองจะอุ้มได้เท่าไหร่แม้จะอยู่มานานแล้ว ดูท่าจะใช้เวลาพอสมควรในการพาไปถึงปลายทาง แต่งานจะจบลงในคืนนี้แน่ ๆ 


              ฝนยังคงตกเรื่อย ๆ แต่เมื่ออยู่โลกซ้อนทับก็ไม่โดนหยดน้ำ ทุกอย่างแทบเรียกได้ว่าตัดขาดจากอีกโลกยกเว้นแต่วันเวลา และ… ดังนั้นร่มไม่มีความจำเป็น ระหว่างที่ฉันจูงพาคนตาบอดไปตามทาง ผู้คนและเวลาของโลกคนเป็นยังคงดำเนินไปเรื่อย ๆ แม้จะเพิ่งมีคนตาย แต่คนที่ยังไม่ถึงเวลาอันควรนั้นก็ยังคงอยู่ต่อตราบวินาทีสุดท้ายจะมาถึง ส่วนอื่นของเมืองที่ไม่ได้รับรู้เรื่องนี้ ก็เป็นเพียงวันหนึ่งที่เพิ่งผ่านไป


              ความเงียบปกคลุม ไม่มีคำพูดอะไรเอ่ยออกมา แต่ก็แอบเหลือบมองบ้างอยู่ว่าเป็นอย่างไร ดูเหมือนว่าจะยังซึมอยู่


              จนกระทั่ง… ฉันโดนบีบมือ จับรั้งให้หยุด ฉันยอมหยุดและหันไปมองว่ามีอะไร


              “อาจจะขอมากไป แต่ว่า…” คนตาบอดพูดอย่างอ้ำอึ้ง “ขอ…กลับบ้านสักครู่หนึ่ง ได้หรือเปล่า?”


              “ไม่” ฉันตอบทันทีเมื่อสิ้นคำถามนั้น และกำลังจะกำมือไปต่อ


              “ฉ–ฉันรู้ว่ามันทำให้เสียเวลา แต่ว่า–” ฝ่ายตรงข้ามรั้งไว้ “ฉันมีแมวอยู่ที่บ้าน และฉันปิดบ้านไว้ทุกทาง มันจะออกไปหาเพื่อนฉันที่ช่วยเลี้ยงมันไม่ได้ แถมไม่ได้บอกเพื่อนด้วย”


              “เดี๋ยวเรื่องที่คุณตายก็จะไปถึงหูพวกเขาเอง” ฉันหันไปว่าเสียงแข็งจนอีกฝ่ายชะงักด้วยความกลัว “ถ้าเพื่อนคุณรู้เรื่องก็จะมารับเอง”


              “เพื่อนของฉันอยู่ห่างจากคอนโด ไม่รู้ว่าจะรู้เรื่องนี้เมื่อไหร่น่ะสิ และมันจะไม่มีข้าวกิน ถึงมีคนมาบอกแมวว่าเจ้าของตัวเองตายแล้วก็คงไม่รู้เรื่องใช่ไหมล่ะ” คนตาบอดต่อรอง “ต่อให้เจ้าหน้าที่มาที่บ้านก็คงไม่ได้มาเร็ว ๆ นี้ก็ได้ เพราะเรื่องมันเพิ่งเกิดตอนกลางคืน และฉันอยู่บ้านคนเดียวด้วย”


              “ให้แมวอยู่บ้านน่าจะปลอดภัยกว่าไม่ใช่หรือไง ไม่ถูกกัดหรือทำร้ายจากพวกสัตว์จรจัด ยังไงมันก็อดได้ไม่กี่วันหรืออย่างดีก็ไม่ถึงวันหรอก” ฉันพูด คำพูดนั้นมันอาจจะดูเย็นชาฉันรู้ดี


              “แมวฉันน่ะจำทางไปกลับบ้านเพื่อนได้ และคุณเป็นคนเดียวนะที่ฉันพึ่งได้” อีกฝ่ายเริ่มร้องไห้อีกครั้ง “ขอแค่นั้น แล้วฉันจะไม่ขออะไรอีกแล้ว ฉันเลี้ยงมันมาทั้งชีวิต และอย่างน้อยได้กลับมาหามันเป็นครั้งสุดท้าย ขอร้องละ”


              “...” ฉันมองคนตาบอดที่จับมืออยู่ด้วยความขุ่นมัว มันควรจะจบลงง่าย ๆ แต่ฉันก็ยังฟัง ความจริงแล้วเพราะวันนี้ไม่มีวิญญาณมาเพิ่ม ดังนั้นเวลาเหลือเฟือ


              แต่ฉันไม่อยากพัวพันกับวิญญาณตนหนึ่ง ๆ มากนัก อย่างที่รู้…ว่ายมทูตนั้นต้องประพฤติอย่างไร


              “...แค่เรื่องนี้เรื่องเดียว” ฉันตอบอย่างหนักแน่น “มากกว่านั้นฉันจะไม่รับฟังอะไรทั้งนั้น”


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in