เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ยมทูตกับคนตาบอดplatonguon
ตอนที่ 1
  •           นาฬิกายังคงหมุนโดยไม่มีวันหยุด


              ไม่ว่าผู้คนจะทำอะไรก็ตาม ก็ไม่สามารถรับรู้ได้เลยนอกจากเสียงรองเท้าย่ำเดินอยู่รอบข้างหู อาจจะมีเสียงพูดคุยนิดหน่อย ให้พอรู้ว่าจะไปทางไหน เดาได้ว่าพวกเขาจะทำอะไร


              แต่ฉันไม่ได้ใส่ใจกับมันมากเท่าไหร่ เพราะฉันจะไม่ได้ยินเสียงของที่นี่อีกแล้ว


              “...”


              สูดหายใจเข้าถึงกลิ่นอากาศสดชื่น มีสัมผัสสดชื่นของเครื่องปรับอากาศ เสียงสัญญาณประตูให้ได้ยินบ้างมาพร้อมเสียงก้าวเดินที่น้อยกว่าวันอื่น แล้วก็ เสียง…เสียงคล้ายหยดน้ำกระทบเล็กที่พื้นหลาย ๆ ครั้ง นั้นคงเป็น…ฝนตก ฉันกำลังจะหยิบร่ม และพบว่า


              อ๊ะ ให้ตายเถอะ ลืมพกร่มมางั้นเหรอตัวฉัน


              ฉันถอนหายใจเบา ๆ ทั้งที่วันนี้อุตส่าห์ลาออกจากงานบริษัทที่ยอมทนทำงานหลังขดหลังแข็งมาหลายปีแท้ ๆ พอจะกลับบ้าน ก็ดันลืมร่ม… ไม่สิ ลืมฟังพยากรณ์อากาศด้วย เพราะมัวแต่จดจ่อกับการยู่บริษัทวันสุดท้าย มาอีกทีก็เลยเวลาที่คนส่วนใหญ่มักจะกลับ


              พอคิดว่าลืมอีกก็ถอนหายใจอีก


              มีแต่ต้อง… กลับไปทั้งอย่างนี้? ตอนนี้ฝนตกไม่แรง แต่ก็ดึกมากแล้ว คนไม่ค่อยเยอะ ยังไงก็ต้องรีบกลับ ยังโชคดีที่คอนโดอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากเท่าไหร่ และมีกระเป๋าทำงานบังหัวไว้ ถึงจะไม่ค่อยถนัดมากก็เถอะ


              แกร๊ก ๆ 


              เสียงเคาะนำทาง มือฉันตามสัมผัสลึกตื้นจากปลายไม้ที่ถือ ก่อนจะเป็นดั่งเข็มทิศให้ฉันรู้ว่าต้องเดินไปทางไหน แม้ว่าทางนี้จะเคยเดินจนชิน ทว่าครั้งหนึ่งเคยหน้าคมำตอนที่ไม่รู้ว่าบันไดเสียหาย ดังนั้นกันไว้ก่อนก็สบายใจไปได้เยอะ


              ตัวฉันเดินไปตามทาง รอบข้างได้ยินเสียงหยดฝนโปรยปราย ถูกพรมน้ำในส่วนที่บังไม่มิดอย่างเบาบาง เสียงรถเสียงคนเดินบ้าง จากที่ถนน มีกลิ่นควันรถผสมกลิ่นชื้นของฝนเคล้ากับกลิ่นดินของต้นไม้ที่ข้างทาง ป่านนี้โตขนาดไหนแล้วนะ คราวก่อนก็เกือบเดินหลงทางตอนที่ทำไม้หาย แต่พอคลำจนแตะต้นไม้ที่เคยอยู่ที่เดิมมาตลอดก็อุ่นใจ


              แต่ถ้าตัดแล้วจะทำไงดีนะ… ไว้ค่อยถามคนแถวนั้นในตอนกลางวันดีกว่า หลังจากนี้น่าจะมีเวลามากขึ้นเพราะไม่ต้องเข้าบริษัทแล้ว จากที่ได้คุยตอนเสาร์อาทิตย์ อาจจะได้คุยทุกวันก็ได้ ตราบเท่าที่ฉันจะไม่ขังตัวเองไว้ในบ้านเพราะเหนื่อยเกินไป หรือว่าตื่นตอนเย็น


              ซื้ออาหารอร่อย ๆ มาตุนในตู้เย็นแล้ว แล้วก็ ใช่ ซื้อมาเผื่อคลาวด์ด้วย หวังว่าเธอจะชอบนะ ยิ่งไม่ใช่ถูก ๆ ด้วย ฉันก็ไม่เคยกินอาหารแมวก็เลยไม่รู้ว่ามันอร่อยหรือไม่อร่อย


              พอคิดว่าจะไม่ต้องทำงานอย่างหลังขดหลังแข็ง ก็เลยวางแผนเอาไว้ว่าจะทำอะไรบ้าง จะพักผ่อนให้เต็มที่ตอบรางวัลตัวเองเสียบ้าง แต่ก็คงต้องทำตัวให้อุ่นไว้ ไม่งั้นอาจจะเป็นหวัด แล้วหวังว่าจะไม่เหมอจนแช่น้ำร้อนเป็นชั่วโมงนะ


              หวังว่า…


              ไม่สิ ต้องทำมันให้ได้ต่างหาก ไม่ใช่แค่ความหวังอีกต่อไป การที่ฉันลาออกฉันก็ตัดสินใจเอง ไม่ได้รอความหวังเหมือนแต่ก่อนแล้วนี่นา ถ้าเกิดมีอะไรเสียที่บ้านฉันก็จะซ่อม ถ้ามีอะไรขาดก็จะสั่งซื้อ ถ้าเหนื่อยก็พัก จะเดินหน้าจัดการเอง ถ้ามัวแต่หวังเดี๋ยวก็คงผิดหวังเสียล่ะมั้ง


              เท้ายังคงก้าวไปตามทาง ฉันรู้สึกฝนตกนั้นเย็นขึ้น แต่เป็นความเย็นที่สดชื่นมากกว่าจะเป็นความหนาวเหน็บพาให้จับไข้ พลอยให้ใจชื่นด้วยความรื่นรมย์ หากว่าไม่ตาบอด ฉันอยากจะลองเต้นรำกับน้ำฝน เสียงเท้ากระทบน้ำจะกลายเป็นเสมือนเสียงจังหวะดนตรี ยิ่งเมื่อต่อไปฉันจะทำชีวิตให้ดีขึ้น วินาทีนี้ไม่ต่างกับการโบยบินอย่างอิสระนักหรอก และฉันชอบความรู้สึกนี้เหลือเกิน


              ฉันโหยหาเวลานี้มานานแค่ไหนแล้วนะ และอีกไม่นานฉันก็จะ…


              “ระวัง!!”

              !!!


              เสียงคนแปลกหน้าลั่นในประสาทของฉัน กว่าจะรู้สึกตัวจากภวังค์ก็–


              โครมม!!!!


              …

              .

              .

              .

              .

              .


    -  ‘อีกโลกหนึ่ง’ ในเวลาและสถานที่เดียวกันกับช่วงที่คนตาบอดยังอยู่หน้าสำนักงาน-


              วันนี้เป็นวันที่ 145,112 แล้วที่ตัวฉันมีตัวตน วันนี้มืดไว ฝนก็ตก เมฆครึ้มผสมกับความมืดแล้วดูหม่นหมองและหนาวเย็นไปเสียทุกที่ที่เมฆสีเข้มนั้นครอบคลุมไปถึง


              เป็นวันพอเหมาะอย่างน่าเหลือเชื่อ ที่ลางสัญญาณประจำตัวบอกว่าวันนี้จะมีคนเสียชีวิต ที่เสาไฟ ในเมืองที่ฉันคอยเฝ้าดูตั้งแต่ที่จำได้ว่าการมีอยู่ของตัวเองนั้นมีเพื่ออะไร


              เมืองเล็ก ๆ ที่บางทีก็สงบ บางครั้งก็ไม่ แต่ ณ ตอนนี้ก็เป็นเพียงเมืองธรรมดา ช่วงเวลาผ่านไปขนาดไหนก็ไม่ได้มีผลต่อตัวเองมากนัก เพราะหน้าที่มีไม่กี่อย่าง พอมองคนจากอีกฝากที่ต้องหาเลี้ยงตัวเอง ปฏิสัมพันธ์กับใคร ๆ แล้วก็เป็นการตอกย้ำว่าฉันห่างไกลจากพวกเขามากแค่ไหน เพราะไม่ได้อยู่ในจุดที่ต้องใช้ชีวิตอย่างมีเป้าหมายเหมือนพวกเขา มีเพียงหน้าที่ และมีอยู่เพื่อทำหน้าที่เท่านั้น


              ห้ามให้ความรู้สึกกับวิญญาณ มันไม่ประโยชน์ ไม่ว่าจะใจดีหรือใจร้าย ก็ต้องพาวิญญาณไปยังทางเข้าปรโลกไม่ว่าอย่างไร


              วันนี้ลางสัญญาณบอกก่อนราวหนึ่งชั่วโมงก่อนเข้าเที่ยงคืนของเมื่อวาน ว่าวันนี้จะมีคนเสียชีวิตหนึ่งคน 


              เพราะมีวิญญาณเพียงดวงเดียวที่จะไปรับ งานวันนี้ก็เบา ฉันจึงไปรอระหว่างทางก่อนประมาณเกือบสิบห้านาทีเพื่อจะได้ไม่เสียเวลาหรือคลาดสายตาวิญญาณที่อาจจะเดินไปไหนก็ได้ ทำแบบนี้เป็นประจำ


              ตอนที่ไปถึง พอรู้ว่าเป็นคนตาบอดก็ทำเอารู้สึก… ไม่รู้สิ อีกแล้วสินะ? ไม่ใช่ครั้งแรกที่อีกฝ่ายเป็นคนตาบอด ไม่งั้นคงรู้สึกสงสาร จะสงสารตรงไหน คงเป็นเรื่องที่จากอายุวัยที่พินิจแล้วยังเพิ่งใช้ชีวิตได้เกือบครึ่งชีวิตเอง แต่ความตายล้วนไม่ได้ปราณีต่อใครอยู่แล้ว ท่าทางตอนที่ออกจากบริษัท สีหน้าดูทั้งกังวลและโล่ง? ดูออกยาก ราวกับเพิ่งเจอเรื่องหนักมา


              หากสงสัยว่าอีกฝ่ายไม่เห็นฉันงั้นเหรอ นั่นเพราะหากอีกฝ่ายยังไม่ตาย ก็จะยังไม่สามารถเห็นฉันได้ แต่ฉันเห็นทุกคน คงเป็นกลโกงอย่างหนึ่งที่ฉันได้เห็นการใช้ชีวิตทุกคนไปด้วย เป็นเรื่องแก้เบื่อไม่กี่อย่างเมื่อวันนั้น ๆ ไม่มีคนตาย ก็จะล่องลอยดูวันเวลาของใครต่อใครก็ได้


              พวกเราจะได้เจอก็ในจุดที่เสียชีวิต แล้วมันก็เหลือเวลาอีกไม่นาน ที่จะรู้ว่าคนตาบอดผู้นี้จะตายอย่างไร …แต่อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าฉันชอบเห็นความตายละ มันก็เป็นเพียงสิ่งที่พ่วงตามมาจากการเฝ้าดูจนวินาทีสุดท้าย


              ที่เสาไฟ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in