เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ยมทูตกับคนตาบอดplatonguon
ตอนที่ 5
  •           ทีแรกฉันไม่อยากให้อารมณ์มาเกี่ยวข้องกับงานแล้ว แต่มันกลายมาเป็นแบบนี้ได้อย่างไรกันนะ…


              คำพูดจากคนตาบอดที่ดูทั้งอ่อนโยนและซื่อตรง หรืออาจจะเห็นโลกไม่ได้มากไปกว่าตัวฉันเอง แต่มันก็สัมผัสได้ถึงความพยายาม อย่างที่ไม่เคยได้เห็น…ไม่สิ หรือมันเกิดขึ้นนานจนลืมเลือนไปแล้ว แต่เพราะตอนนั้นทำให้เกิดนิสัยแบบนี้มานานเท่าไหร่ก็จำไม่ได้ ทำให้ฉันเปลี่ยนคำพูดตามเวลาบ้าง หรือเผลอเห็นด้วยความคิดแปลก ๆ จากคนตาบอดคนนี้ จับมือแทนที่จะใช้เชือกจูง และพยายามกลบลบมันโดยเตือนสติเสมอว่าห้ามให้อารมณ์เจือปนในงาน สุดท้ายก็ยังไม่ดีพอ สุดท้ายก็ทำไม่ได้


              ฉันเผลอหยุดเดิน นั่นทำให้เจ้าของมือที่เหลือความอุ่นนั่นบีบมือเหมือนถามเป็นนัยว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่กล้าบอกเลยว่าฉันอยากตอบอีกฝ่ายว่าอะไร


              ฉันเริ่มไม่อยากให้วิญญาณดวงนี้หายไปไหน


              “...ถ้าเรามีเวลามากกว่านี้ เราอาจจะเป็นเพื่อนกันจริง ๆ ก็ได้” ฉันกล่าวออกไปเสียงเรียบเท่าที่จะเรียบได้ แต่ฉันรู้อยู่แก่ใจว่าไม่อาจทำอย่างนั้น


              หากเจตนาปล่อยวิญญาณให้อยู่ในโลกทับซ้อน ยมทูตตนนั้นจะถูกทำให้หายไป… ไม่ว่าทางไหนก็ต้องมีใครคนหนึ่งจาก หรือหากฉันปล่อยวิญญาณดวงนี้แล้วหายไปเอง ยังก็ต้องมียมทูตตนใหม่รับช่วงต่อ แบบนั้นอีกฝ่ายคงสับสนและเสียใจน่าดูแม้ไม่ต้องมองเห็น ทำแบบนั้นก็เป็นการประกาศความเห็นแก่ตัวของตัวเอง


              “นั้นสินะ” เสียงของคนตาบอดตอบรับ น้ำเสียงดูเศร้าอย่างชัดเจน ในขณะที่เสียงฉันยังคงเรียบนิ่ง ก่อนจะจูงมือพาเดินเช่นเคย ความเงียบของโลกนี้ปกคลุม ดูเหมือนว่าแม้แต่อีกฝ่ายก็คงคิดเรื่องพูดไม่ออกเหมือนกัน


              เวลาจะหมดลงเรื่อย ๆ เท่าที่จำทางได้ อีกสักพักก็คงถึงแม่น้ำ มันอาจจะเป็นเวลาดี… ที่พูดคุยเป็นครั้งสุดท้าย หรือจากลา


              “คุณเชื่อเรื่องของภพชาติหรือเปล่า” ฉันเปิดประเด็นถาม


              “หืม” อีกฝ่ายดูแปลกใจ “ก็เคยได้ยินนะ ตอนแรกไม่แน่ใจ แต่พอเจอโลกนี้แล้ว อาจจะมีจริง ๆ ก็ได้นะ ถ้านี่เป็นเรื่องจริง ภพชาตินี่ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกแล้วมั้ง”


              “ปรับตัวไวดี” ฉันตอบกลับ แต่ความจริงก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามีจริงไหม เห็นแค่มนุษย์หลายคนที่เชื่อ “แล้วอยากเกิดเป็นอะไร ถ้ามันมีจริง”


              “อาจจะ…ลูกของเจ้าคลาวด์มั้ง” อีกฝ่ายตอบ “ไม่ได้บอกเรื่องนี้นี่นา แต่ว่าคลาวด์น่ะปิ๊งรักกับแมวหนุ่มของบ้านเพื่อนที่มันจะไปน่ะ”


              ได้ฟังแล้วก็ทำเอาเข้าใจเลยว่าทำไมถึงไปหากันได้ อยากจะบอกว่าสัตว์มันก็เพียงเกิดความสนิทชิดชอบช่วงฤดูผสมพันธ์ุก็ได้นะ แต่ไม่ตอบอย่างนั้นดีกว่า “เป็นความฝันที่น่ารักดี” ตอบอย่างไม่รู้ว่าจะตอบอะไรดี “ถ้าตายก็จะได้เจอยมทูตที่เป็นแมว”


              “มียมทูตเฉพาะสัตว์ด้วยเหรอ” คนตาบอดดูตื่นตาขึ้นมา และบีบ ๆ มือฉันคล้วยสำรวจอีกรอบ “งั้นคุณเป็นคนสินะ”


              “ถ้าหมายถึงรูปร่าง ใช่”


              “เพิ่งรู้เลยแฮะ” คราวนี้ฉันถูกจับด้วยสองมือ “แต่ถ้าชาติหน้าเกิดเป็นคนอีกแล้วยังจำความได้ฉันจะแพร่งพรายเรื่องนี้”


              “แม่น้ำของยมโลกล้างความทรงจำทั้งหมด ไม่ต้องห่วง” หรือต่อให้เขียนในร่างวิญญาณ แล้วเข็นแรงเขียนให้ได้สักหนึ่งขีดในโลกทับซ้อนโดยแน่ใจว่าจะไม่มียมทูตตามจับก็ทำไปเถอะ


              “แย่เลยแฮะ งั้นคุณยมทูตก็เขียนสิ”


              “กว่าจะได้ขีดหนึ่งก็เหนื่อยลากแล้ว และมันเป็นกฎด้วย”


              “น่าเสียดาย นึกว่าจะได้คนเผยแพร่งานเป็นภาษาปกติ ส่วนฉันก็อักษรเบรลล์ เอ้ะ หรือจะทางเสียงดี ต้องฮือฮาแน่ ๆ ”


              “น่าจะไม่มีใครได้ยินนะ หรือมันคงแปลกถ้าฝันเหมือน ๆ กันทั้งโลก”


              “ถ้างั้นทำเลยมั้ยล่ะ”


              “ไม่”


              ไม่ยักรู้ว่าตาบอดแบบนี้จะคุยเก่งขนาดนี้ จุดประกายแค่เรื่องเดียวก็ต่อบทสนทนาน้ำไหลไฟดับไม่รู้เท่าไหร่ จากเดิมโลกที่เงียบเชียบไร้ชีวิตก็มีแต่เสียงพูดคุย


              “ก่อนหน้านั้นเห็นคุณมือหนึ่งถือกระเป๋า อีกมือถือกล่องใส่ของ” นึกได้แล้วก็ประเดิมเรื่องใหม่ “ไม่ได้ทำงานต่อแล้วเหรอ”


              “อ๋อ” ทีแรกก็ทำหน้าแปลกใจ คงไม่นึกว่าฉันจะเห็น ก่อนจะพูดด้วยเสียงที่อ่อนลง “วันนี้ลาออกน่ะ… เพราะว่าอยากทำงานใหม่ที่ได้อยู่บ้านมากขึ้นมากกว่า”


              “จะได้อยู่กับคลาวด์เหรอ”


              “ใช่ จะได้ไม่ต้องระแวงเรื่องเดินทางด้วย ก่อนหน้านั้นลำบากใครหลายคนมากเลย แต่ดีตรงที่ทำงานอยู่ไม่ไกล แถมคนก็ใจดีด้วย ฉันทำงานอย่างเต็มที่เพื่อบริษัทที่ดี แล้วคิดว่าจะทำงานใหม่ที่รัก” คนตาบอดเว้นช่วง “ถึงจะ…ไม่ได้ทำต่อแล้วก็นะ”


              อย่างที่ฉันคิด ทุกคนน่าจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้จริง ๆ “หวังว่าภายภาคหน้าจะมีชีวิตที่ดี”


              “หวังไม่ได้หรอก ชีวิตมันไม่แน่นอนใช่มั้ยล่ะ ต่อให้เริ่มต้นดีหรือแย่แค่ไหน” คนตาบอดบอกแบบนั้น “เราแค่ทำเต็มที่ก็พอแล้ว ยังไงโลกคงไม่ใจดีให้ มีแต่เราที่ใจดีได้” ก่อนที่ฉันจะได้พูดอะไรต่อก็ถูกบีบมือ “คุณเองก็ใจดีกับฉัน”


              ยังไม่เลิกพูดงั้นหรือ “คุณเองก็เป็นคนใจดี” ฉันกล่าวเพียงแค่นั้น ยังคงรู้สึกขอบคุณ อีกฝ่ายตอบด้วยรอยยิ้มกลับมา หากไม่ติดว่าตาบอดฉันอาจจะยิ้มกลับ


              พอเดินมาได้ไม่นาน ก็มาถึงแม่น้ำเสียแล้วสิ


              “ถึงแล้ว” ฉันบอกคนตาบอด ฝ่ายนั้นก็เริ่มนิ่งค้างไปบ้าง


              ดวงตาขุ่นมัวทอดมองออกไปทางข้างหน้า มือบีบแน่นขึ้นเหมือนกับกลัว “ไวจัง” พูดออกมาเบา ๆ “ช่วยจูงพาลงน้ำได้หรือเปล่า”


              ก่อนหน้านี้ตอนขอยังดูติดเกรงใจ คราวนี้ขอตรง ๆ เลยหรือ “ได้ เดินช้า ๆ ละ” สิ้นประโยคก็จูงมือไปข้างหน้าอย่างไม่เร่งรีบตามที่ว่า


              มันไม่มีอุปสรรคอะไรขวางกั้นทั้งนั้น แค่ไม่อยากให้เวลามาถึง


              “พอลงน้ำแล้วจะเปียกหรือเปล่า”


              “ใช่ แต่มันเย็น ให้ความรู้สึกคล้ายกับอาบลมมากกว่า” ฉันตอบ ยิ่งพูดก็ยิ่งช้าลงจนคนตาบอดเผลอนำไปก่อน ฉันจึงบีบมือให้หยุด


              แต่พอบีบมือแล้ว ฉันก็ไม่ได้เดินต่อจนอีกฝ่ายหันมามอง


              “เป็นอะไรไป”


              “...”


              “คุณยมทูต”


              “...”


              ฉันไม่อยากพูด ไม่อยากทำอะไรเลย ในหัวกำลังคิดว่าจะทำอย่างไรดี มันอึดอัด ถ้าฉันยังพาไป อีกฝ่ายก็จะหายไป แต่ถ้าฉันรั้งไว้นานกว่านี้ ฉันจะหายไปเอง


              ในหัวมีแต่ความปั่นป่วน จนกระทั่งมือของฉันถูกโอบด้วยสองมือ เรียกให้มองดวงตาน้ำขุ่นของคนตรงหน้าไปด้วย


              “ฉัน…ฉันเองก็รู้สึกเสียใจที่ตัวเองต้องเสียทุกอย่างไป ร่างกาย ความทรงจำ แต่ว่ายังไงก็ต้องไปต่อ มันแค่การเดินทางที่ไกลแสนไกลเท่านั้น สิ่งที่เกิดขึ้นจะไม่มีวันไปไหน” คนตาบอดกล่าวช้า ๆ “คุณยมทูตก็เจอมาเยอะแล้ว อยากร้องไห้หรือเปล่า”


              “...” ฉันอ้ำอึ้ง ไม่เคยมีใครบอกให้ฉันร้องไห้ได้ มันไม่จำเป็น มันไม่เคยทำให้อะไรดีขึ้น แต่ว่าตอนนี้ ฉันเหมือนจะเก็บมันไม่อยู่ ตาของฉันคล้ายจะปริแตกเป็นเสี่ยง ๆ ได้แล้ว ถ้าหากจะตอบรับความใจดีของอีกฝ่ายล่ะก็ “...กอดอำลาได้หรือเปล่า”


              สิ้นประโยคไม่ทันไร คนตาบอดพยายามวาดแขนมากอดตัวฉันที่เย็นเฉียบยิ่งกว่าน้ำแข็ง แต่ก็ไม่ปล่อยไปไหน เพราะตัวอีกฝ่ายเริ่มเย็นยิ่งกว่าเดิมขึ้นเรื่อย ๆ ฉันจึงกอดกลับ ปล่อยน้ำตาไหลรินเงียบ ๆ ความรู้สึกเสียดแทงเข้ามาในคอนั้นทรมาณจนอยากเป็นบ้า แต่อีกความรู้สึกนั้นว่างเปล่าจนไม่มีแรงจะทำอะไรมากไปกว่าการกอดที่เหมือนจะทำให้ตัวอบอุ่นขึ้นมา มันทั้งรู้สึกดีและเศร้าไปพร้อมกันจนจะคุมอารมณ์ไม่อยู่


              คำเตือนสตินั้นไม่อาจห้ามไว้ได้แล้ว ตอนนี้มันมากมายเสียจนควบคุมตัวเองไม่ได้


              “...ฉัน…ฉันลืมบอกเลย” น้ำเสียงตอนนี้สั่นคลอนมากซะจนผิดแผกไปจากเดิม “ฉันก็ดีใจที่ได้เจอคุณเช่นกัน”


              …


              ช่วงที่ไม่ต้องการก็มาถึง เมื่อเท้าลงไปในน้ำทางคนตาบอดก็ดูตื่นเต้น สัมผัสของมันเหมือนลมอ่อน ๆ เข้าโอบ เย็นสดชื่นเหมือนแรงดึงดูดให้เข้าหามากขึ้น ไม่ต้องกลับไปยังโลกเก่า แต่ดวงตาอีกฝ่ายคงไม่เห็นแบบที่ฉันเห็น เท้านั้นแตกสลายไปกับสายน้ำแล้วต่างหาก แค่คนที่แช่จะรู้สึกว่ายังยืนอยู่ได้จนกว่าจะลงไปทั้งตัว ขณะที่เท้าของฉันนั้นไม่เป็นไร


              “อยากให้ลงไปด้วยหรือเปล่า” ฉันถาม แม้จะรู้ว่าตัวเองไม่สลายแบบอีกฝ่าย


              “ก็ดีนะ” คนตาบอดตอบ ยังจับมือไว้อยู่


              เราค่อย ๆ ก้าวลงอย่างเชื่องช้าเพื่อให้ปรับตัวทัน ด้วยความต่างระดับของพื้นทำให้เราจมลงไปทีละขั้น ทุกขั้นที่สายน้ำโอบคนตาบอดมันก็หายไปตามลำดับ แต่คนตาบอดนั้นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เพราะสัมผัสของมันนุ่มนวลและสบายใจ


              มือที่จับไว้เริ่มจุ่มลงน้ำ ภาพของมืออีกฝ่ายนั้นได้สลาย เหมือนกับฉันกำลังจับกับอากาศ แน่นอนว่าอีกคนยังคงรู้สึกว่าฉันจับอยู่


              ฉันคงได้อยู่เป็นเพื่อนจนสุดปลายทางจริง ๆ 


              “สบายหรือเปล่า” ฉันถาม


              “อื้อ มันสุดยอดเลย ไม่นึกว่าจะดีอย่างงี้” คนตาบอดเริ่มหัวเราะแบบที่ฉันเองคงทำให้ไม่ได้แน่ “ถ้าได้เต้นรำคงดีกว่านี้”


              “ฉันเต็นไม่เป็น”


              “อืมม…งั้นก็ ยกมือที่จับขึ้น” พูดจบคนตาบอดก็ยกมือฉันขึ้นด้วย แล้วก็ได้เห็นสภาพมือจนถึงใต้ศอกนั่นเหมือนแก้วใส ไม่มีอะไรข้างใน มันต้องกับแสงของพระจันทร์นิดหน่อย นั่นคือสภาพของตัวตนที่สัมผัสกับปากทางยมโลก “มองหน้าด้วยนะ”


              “...อืม” ฉันยอมทำตามคำกล่าวแต่โดยดี นี่ฉันต้องมองหน้าคนผู้นี้สลายหายไปต่อหน้าด้วยหรือ แต่อีกฝ่ายดูจะมีความสุข รอยยิ้มอิ่มเอมนั่น ให้มันดำเนินจนวินาทีสุดท้ายของโลกซ้อนทับนี้ แทนวินาทีสุดท้ายของโลกใบเดิม


              “เรียนมาจากไหน”


              “ฉันแต่งขึ้นเอง เมื่อกี้เลย” คนตาบอดกล่าว “คุณก้าวเท้าตามที่ฉันบอก ขวา ซ้าย ขวา แล้ววาดแขนมาจับมืออีกข้าง ก้าว ชิด ก้าว แล้วกางออก สลับกันเรื่อย ๆ ”


              ฉันทำตามที่ว่า พร้อมพูดจังหวะ ขวา ซ้าย ขวา แล้วเข้าจับมืออีกข้างของคนตรงหน้าทำให้หันตัวเข้าหากัน ก้าว ชิด ก้าว แล้วก็วาดออก วนเช่นนี้ซ้ำ ๆ และเราก็จมลงเรื่อย ๆ


              พอกลับมาจับมือใหม่ น้ำก็อยู่ในระดับไหล่แล้ว


              “มีความสุขดีไหม”


              “ที่สุดเลย”


              ฉันมัวแต่จดจ่อกับการเต้นจนเกือบจะลืม มันอาจจะเป็นความตั้งใจของคนตาบอดที่ไม่อยากให้ฉันรู้สึกเศร้า ยังดีที่รอบนี้จมถึงใต้คาง ใบหน้านั้นกำลังยิ้มเปี่ยมไปด้วยความสบายใจ


              “...ลาก่อน”


              “อืม…ลาก่อนนะ”

              .

              .

              .

              .

              .

              .

              .

              .

              .

              .


              ตัวฉันจมลงไปพร้อมกับคู่เต้นรำ และฉันหวังว่าฉันจะขึ้นมาไม่ได้ มันทรมาณเหมือนตาย แต่อยู่ในนั้นไม่ว่าจะกี่นาที หรือชั่วโมง วัน เดือน ฉันก็ไม่ตาย


              เดินขึ้นน้ำพร้อมกับความผิดหวัง ไอโขลกอย่างแรงจนตัวโยน มันเจ็บไปหมด ทั้งร่างกายแล้วก็ข้างใน กายหยาบฉันมันไม่แหลกสลายไปไหน ทำไม ทำไมกัน ไม่เคยนึกว่าการเปิดใจให้วิญญาณครั้งแรก…หรือในรอบร้อยปี? นี้จะทรมาณขนาดนี้มาก่อน ฉันน่าจะใจแข็งกว่านี้ ทุกอย่างคงไม่เป็นปัญหา


              “...”


              ฉันนอนหง่ายหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน ดวงจันทร์ลอยเด่นเหนือหัวตรงพอดี อ่า… ตอนนี้คงเป็นวันใหม่แล้วสินะ มันอาจจะเรียกดีแล้วรึเปล่าที่เราเพิ่งเจอกันในเวลาสั้น ๆ หากอยู่คุยกันทั้งวันทั้งคืน มันน่าจะหนักหน่วงกว่านี้จนนึกภาพไม่ออก


              ฉันเพิ่งจะรับรู้ถึงความสูญเสีย รับรู้ถึงการถูกพรากเอาไป


              เหนื่อยเหลือเกิน


              …


              …?


              ขณะที่กำลังคิด ลางสัญญาณอันคุ้นเคยก็ได้เข้ามา รู้สึกว่าวันนี้จะมีคนตาย 3 คน

              “...”


              วันที่ 145,113 


              จะเป็นวันทำงานวันสุดท้ายของฉัน







    -------------------------------------------------------จบบริบูรณ์-------------------------------------------------------


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in