เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
The Murderous Hand (DToL Omegaverse AU)piyarak_s
The Dream Eater
  • (1)

    “คุณบาคุ มากินฝันของผมสิ... ท่องแบบนี้สามครั้ง
    แล้วบาคุก็จะมากินฝันร้ายของเด็กคนนั้นตามคำเรียก"


    ถ้อยคำที่ใช้เรียกบาคุ สัตว์ประหลาดในตำนาน
    งวงเหมือนช้าง ตาเหมือนแรด หางเหมือนวัว เท้าเหมือนเสือ
    ที่ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าจะมากินฝันร้าย และทำให้นอนหลับสบาย
    ผมได้ยินเรื่องนี้มาตั้งแต่เด็ก และแม่เป็นคนเล่าให้ผมฟัง


    “แต่การเรียกบาคุมากินความฝัน ก็ต้องระวัง” แม่บอก

    เพราะถ้าบาคุหิวจัด กินความฝันอย่างเดียวไม่อิ่ม
    ก็จะกัดกินเอาความฝันที่ดีและความหวังในชีวิตไปด้วย
    และเมื่อความหวังถูกกัดกิน ชีวิตที่เหลือก็จะมีแต่ความว่างเปล่า
    ไม่มีความฝัน ไม่มีความหวังอีกต่อไป...

    ผมเคยสงสัยแบบเด็ก ๆ ว่า แม่ของผมเคยเรียกบาคุมากินฝันของแม่ไหม
    เพราะผมจำได้ว่า แม่เรียนเอกวรรณกรรม และเรียนต่อด้านคติชนวิทยา
    แม่จดจำตำนานของท้องถิ่นต่าง ๆ ได้ขึ้นใจ และเล่าให้พี่ ๆ กับผมฟังเป็นนิทาน

    แม่เคยเดินทาง เพราะความฝันของแม่ คือ การเขียนหนังสือตำนานต่างประเทศ
    แต่แม่ก็ไม่ได้ทำอย่างที่เคยตั้งใจเอาไว้

    ผมถามแม่ด้วยคำถามนั้น แม่ยิ้มและหัวเราะเบา ๆ แล้วตอบผมว่า
    บาคุไม่ได้กินความฝันของแม่จนว่างเปล่า ความฝันนั้นยังมีอยู่
    แต่แม่มีอย่างอื่นให้ทำมากมาย และมีลูก ๆ หลายคนที่ต้องดูแลจนโต


    จนกระทั่งโตขึ้น ผมถึงรู้ว่า ความเป็นโอเมก้าของแม่ และของผม
    เป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตมากแค่ไหน และกัดกินฝันดีแทนที่จะเป็นฝันร้าย





    (2)

    ผมสะดุ้งตื่นขึ้นกลางดึก หรืออาจจะเป็นเวลาเช้ามืด
    ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงเกิดนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้

    ผมไม่ได้ฝันร้ายมาหลายเดือนแล้ว ทั้งที่ก่อนหน้านี้
    ผมเคยเผชิญกับอาการนอนไม่หลับจนต้องพึ่งยา
    แต่ที่สุดแล้ว ผมก็เลิกมัน และทำงานหนักให้เหนื่อยจนหลับ
    ผมยินดีที่จะพบเจอความโหดร้ายไม่สวยงามในงาน
    มากกว่าผู้คนที่เป็นเหตุของฝันร้ายตามหลอนในยามหลับ

    ในบางครั้งตอนนั้น ผมอดคิดไม่ได้ว่า
    ถูกบาคุกัดกินความหวังและความฝันไปเสียให้หมด
    อาจยังดีกว่าถูกทำลายความหวังและความฝันทั้งที่ยังตื่น
    แต่ทิฐิมานะในตัว ที่ไม่อยากอ่อนแอให้ใครเห็นก็ชนะ

    ผมยังมีชีวิตอยู่ และเผชิญหน้ากับฝันร้ายได้
    โดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยเรียกบาคุมากินฝันร้าย
    หรือไม่เช่นนั้น ผมอาจได้พบเจอบาคุในชีวิตจริงแล้วก็ได้


    แสงสว่างจากโคมไฟที่หัวเตียงยังคงเปิดอยู่
    อาจเป็นเพราะเราต่างผล็อยหลับไปทั้งที่ไม่ได้ปิดมัน

    ถึงจะมองเห็นได้ในความมืด แต่ผมก็ชอบมองเขาในแสงสว่าง

    ดวงตาสีฟ้าเหมือนน้ำแข็งแต่เป็นมิตรกำลังปิดสนิท
    ผมสั้นสีเข้มแต่มีสีขาวแซมที่ช้างขมับยุ่งเหยิงกว่าตอนตื่น
    ถึงจะสูงพอกัน แต่ตัวของเขาที่ผมเบียดเข้าไปชิดใหญ่กว่ามาก
    กลิ่นประจำตัวของเขาที่เหมือนไอแดดฤดูร้อนทำให้ผมอุ่นใจ

    เท่าที่ผมจำได้ นับแต่มีเขาเข้ามาอยู่ในชีวิต ผมก็เลิกฝันร้าย
    ผมเคยฝันร้ายเมื่อเราอยู่ด้วยกัน แต่เขาทำให้ผมรู้ว่า
    ฝันร้ายที่ผ่านมา มันทำอะไรผมไม่ได้ และทำอะไรเราไม่ได้
    นับจากนั้นเป็นต้นมา ฝันร้ายก็ห่างไกลผมออกไปเรื่อย ๆ
    จนในที่สุดแล้ว ผมก็สามารถหลับสนิทโดยที่ไม่มีฝันร้ายรบกวน


    “คุณบาคุ มากินฝันของผมสิ...”
    “คุณบาคุ มากินฝันของผมสิ...”
    “คุณบาคุ มากินฝันของผมสิ...”


    ผมนึกถึงประโยคที่ใช้เรียกสัตว์กินฝันในตำนานที่แม่เล่า
    มองคนข้างตัวอีกครั้งหนึ่ง และเอื้อมมือข้ามตัวเขาไปปิดไฟ

    “ไมเคิล...”

    ผมเอ่ยชื่อของเขาออกมา เมื่อถูกเขาดึงกลับลงมานอนที่เดิม
    และมองผมอยู่ในความมืด “ฝันร้ายอีกหรือเปล่า”

    ผมยิ้มให้เขา ส่ายหน้า และซุกหน้าเข้ากับไหล่ของเขา
    ตัวของเขาไม่อ่อนนุ่มเหมือนตัวของแม่ที่ผมเคยนอนกอด
    แต่มีบางสิ่งที่เหมือนกัน คือ เขาเป็นคนที่ทำให้ผมรู้สึกปลอดภัย
    และวางใจได้ว่า เมื่อมีเขาอยู่ด้วย ผมจะไม่ฝันร้ายต่อไปอีกแล้ว

    หรืออย่างน้อยที่สุด ผมไม่ได้เผชิญกับฝันร้ายตามลำพัง


    ถ้อยคำอัญเชิญบาคุมากินฝันร้าย ไม่จำเป็นกับผมอีกต่อไปแล้ว


    -------------------------------



    แถมท้าย : the Pokémon Hunter


    (1)


    “ผมคิดว่า ผมเห็นกีเดียนอยู่หน้าบ้านนะ”


    ไมเคิลบอก หลังชะโงกหน้าออกไปดูว่า
    เสียงแปลกประหลาดที่เราได้ยินที่หน้าบ้านเป็นเสียงอะไร
    เขาหยิบกางเกงกับเสื้อยืดที่ถอดกองเอาไว้ที่พื้นขึ้นมาใส่
    และส่งเสื้อผ้าของผมที่อยู่ใกล้ ๆ กันให้ผมรับเอาไว้ด้วย

    “เพิ่งหกโมงเช้าอยู่เลย เกิดอะไรขึ้น”
    ผมสวมเสื้อผ้า และหยิบแว่นสายตาขึ้นมาใส่
    ไถหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่ชาร์จทิ้งไว้ตรงหัวเตียง
    แต่ไม่มีข้อความหรือแจ้งเตือนอะไรสักอย่าง

    ปกติแล้ว พี่ชายคนเดียวในหกคนที่ผมสนิทด้วย
    มักจะโทรศัพท์หรือส่งข้อความมาหาผมก่อนเสมอ
    การที่เขามาปรากฏตัวหน้าบ้านแบบไม่บอกกล่าว
    ไหนจะไม่กดออดอีก ทำให้ผมกังวลอยู่บ้างเล็กน้อย

    “ไปดูกันให้ชัด ๆ ดีกว่า” ไมเคิลตัดสินใจ

    “เห็นหน้าเขาไหม” คนข้างตัวของผมถาม
    ผมส่ายหน้า ถอยออกมาจากตาแมวหน้าประตู
    “เขาหันหลังให้ แต่ผมแน่ใจว่าเป็นกีเดียนแน่ ๆ”

    กีเดียนทำงานเป็นภัณฑารักษ์ของพิพิธภัณฑ์
    เวลาเปิดทำการ คือ สิบโมงเช้า ซึ่งเหลืออีกหลายชั่วโมง
    ถึงหลายครั้งเขาจะหมกมุ่นกับเรื่องที่สนใจจนลืมโลก
    แต่คราวนี้ ท่าทีของเขาดูแปลกไปจากทุกครั้ง

    “งั้นก็เปิดประตูออกไปดูกัน” ไมเคิลบอก
    เก็บปืนพกสั้นกึ่งอัตโนมัติที่ถือติดมือมาเข้าลิ้นชัก
    ก่อนจะรับหน้าที่ปลดล็อกและเปิดประตูหน้าบ้าน

    ทันทีที่ประตูเปิดออก กีเดียนที่ก้ม ๆ เงย ๆ ก็ลุกพรวด
    ชูโทรศัพท์มือถือขึ้น แล้วร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น
    ความเคลื่อนไหวแบบกะทันหัน ทำให้ไมเคิลถึงกับผงะ
    ถอยหลังมาชนกับผมอย่างจัง และผมเป็นฝ่ายคว้าตัวเขาได้
    และใช้เวลาอีกพักใหญ่ กว่าที่พี่ชายของผมจะรู้ตัวว่ามีเราอยู่

    “กีเดียน เกิดอะไรขึ้น มีอะไรหรือเปล่า”


    (2)


    พี่ชายของผมเป็นคนที่ดูออกง่าย และตอนนี้ หน้าเขาก็แดงจัด
    เขาไม่ได้ตอบ แต่ส่งโทรศัพท์มือถือให้ผมกับไมเคิลดู

    บนหน้าจอนั้น มีตัวการ์ตูนญี่ปุ่นรูปร่างเหมือนสัตว์ประหลาด
    ชื่อ Drowzee ที่มีเค้าของตัวสมเสร็จ หรือ ‘บาคุ’ ในภาษาญี่ปุ่น
    ซึ่งเป็นคำที่พ้องกับสัตวประหลาดกินความฝันในตำนานเก่าแก่

    ไมเคิลกับผมยืนมองหน้ากันอยู่พักใหญ่ ก่อนหันไปมองกีเดียน
    “พี่มาจับโปเกมอนที่หน้าบ้านผมเนี่ยนะ”

    หน้าที่มีหนวดเคราครึ้มของกีเดียนแดงจัดขึ้นกว่าเดิม
    ในขณะที่ผมรู้สึกได้ว่า ตัวของไมเคิลกำลังสั่น
    ไม่ใช่เพราะอากาศนอกบ้านหนาว แต่เพราะกลั้นหัวเราะ
    และดูเหมือนว่า อาการของเขาจะกลายเป็นโรคติดต่อ
    เพราะในที่สุดแล้ว เราสามคนก็ยืนหัวเราะกันอยู่หน้าบ้าน
    ก่อนที่มื้อเช้าวันนี้จะเริ่มเร็วกว่าปกติ และมีแขกเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน

    กีเดียนเคยบอกผมว่า เขาเขินที่จะมีว่าที่น้องเขยเป็นผู้ใหญ่กว่า
    แต่ดูที่เขาคุยเรื่องภาพพิมพ์บาคุของศิลปินชื่อโฮคุไซกับไมเคิลตอนนี้
    ผมอดคิดไม่ได้ว่า บาคุคงทำให้เขาลืมความกังวลเรื่องนั้นไปเรียบร้อยแล้ว


    (3)

    “ไม่ไปจับโปเกมอนกับเขาบ้างเหรอ ผมเห็นคุณชอบอะไรแบบนี้อยู่”
    ไมเคิลถาม ขณะที่ผมกำลังยืนล้างจานอยู่ที่อ่างน้ำในครัว
    หลังจากที่กีเดี้ยน พี่ชายของผมที่มาจับโปเกมอนถึงหน้าบ้านของเรา
    และได้อาหารเช้าฝีมือไมเคิลเป็นของแถมหนึ่งมื้อกลับไปแล้ว

    “ผมโหลด Mystery Dungeon ไว้ในพีซีสองภาคแล้วแล้ว ยังไม่ได้เล่นเลย”
    ผมบอก นิ่วหน้าเล็กน้อย เพราะหนวดเคราของอีกคนที่ก้มลงเกยคางกับบ่า
    ทำให้ผมจั๊กจี้ แต่ผมไม่ได้ขยับหนี เพราะสภาพของเราตอนนี้ก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก
    “คุณล่ะ ไม่คิดจะลองเล่นดูบ้างเหรอ คุณออกนอกสถานที่บ่อยกว่าผมเยอะเลยนะ”

    “ออกไปทำงานนอกสถานที่เยอะจริง แต่ไปจับโปเกมอนในที่เกิดเหตุก็ไม่ใช่เรื่อง”
    เขาหัวเราะ “อีกอย่าง ผมแก่เกินจะเล่นเกมทรมานสายตาพวกนี้แล้ว”

    คำสารภาพของเขาทำให้ผมอดขำไม่ได้ เพราะเมื่อวานนี้
    ไมเคิลเพิ่งไปรับแว่นสายตายาวมาจากร้าน และบ่นว่ายังไม่ชินเท่าไหร่
    แต่อย่างน้อยที่สุด มันก็ช่วยให้เขาอ่านหนังสือได้ถนัดขึ้นและปวดตาน้อยลง

    “ที่กีเดี้ยนบอกว่า เรามักจะเจอโปเกมอนตามโบสถ์ หรือสุสาน...”
    เขาว่า พลางรับจานจากผมไปตากที่ชั้นพัก
    “คุณน่าจะลองเล่นนะ โทบี้ ตามห้องเก็บศพกับโรงพยาบาลอาจจะเยอะ”

    ข้อสังเกตนั้นทำให้ผมหลุดหัวเราะออกมาจนได้
    สำเนียงของเขา ทำให้ไม่แน่ใจว่าเขาหมายถึงโปเกมอนหรือผีกันแน่
    ถ้าโปเกมอนโผล่ขึ้นมาที่เตียงผ่าศพ หรือบนตัวศพเตรียมชันสูตรคงดูไม่จืดแน่

    “ก็น่าสนอยู่ ผมเดินรอบศพวันละสามสี่ศพแบบนี้ คงไกลพอที่ไข่โปเกมอนจะฟัก
    แต่เอาเข้าจริง ก็ไม่มีเวลาอยู่ดี ทั้งผ่าศพ เขียนรายงาน ไปศาล ก็หมดแรงเล่นแล้ว”

    “เอ... หรือว่า เราควรจะลองทำด้วยกัน” เขาเอ่ยเหมือนพึมพำกับตัวเอง
    ผมหันหน้าจากอ่างล้างจานมาหาเจ้าของประโยคนั้น “หมายความว่าไงครับ”
    “ก็โหลดเกมมา ไว้เรามีเวลาว่างตรงกันมาก ๆ ก็ขับรถออกไปเล่นด้วยกันไง” ไมเคิลว่า
    ฟังเขาแล้ว ผมถึงกับขมวดคิ้ว แต่อดหัวเราะไม่ได้ “คุณอยากเล่นเกมนี้จริง ๆ เหรอเนี่ย”
    “ไม่หรอก” เขายิ้ม “แค่เห็นคุณดูสนใจที่กีเดี้ยนเล่าเฉย ๆ ผมมีอย่างอื่นที่สนใจมากกว่า...”

    สบตาของเขา ผมก็พอจะเดาออกว่า ไมเคิลหมายความว่าอย่างไร
    แต่ผมก็รู้ด้วยว่า การทอดเสียงแบบนั้นหมายถึงเขาต้องการให้ผมถาม “เช่นอะไรล่ะครับ”

    “แมวแถวนี้ละ...” เขาตอบ “ทำให้ผมไม่อยากใช้เวลาว่างที่มีอยู่ออกไปตามหาอะไรที่อื่นแล้ว”
    “ผมฟังดูเหมือนโปเกมอนหายาก...” ผมหัวเราะ ถูหน้าผากกับคนที่ก้มลงแนบใบหน้ากับหน้าของผม
    “ถ้าคุณใช่” ผมรู้สึกว่าเขายิ้มกว้าง “ผมก็ไม่อยากได้โปเกมอนอื่นอีก แล้วจะเล่นเกมไปทำไมกัน”


    “คุณไม่เบื่อ...” ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ขณะใช้ปลายนิ้วสางผมสีเริ่มมีสีเทาแซมมากขึ้นของเขา
    “ไม่เลย... ไม่เคยเลย” เขาเอ่ยตอบยิ้ม ๆ เอื้อมมือไปดึงมู่ลี่ที่หน้าต่างปิด “คุณเบื่อหรือเปล่าล่ะ”


    ผมจูบเขาที่ริมฝีปากแทนคำตอบ กลิ่นกาแฟที่เขาดื่มและกลิ่นของไอแดดอุ่น ๆ จากตัวของเขา
    คือเหตุผลที่ทำให้ผมไม่อยากไปไหน และอยากใช้เวลาว่างน้อยนิดที่มีอยู่กับเขา

    ตอนนี้ ผมก็ไม่คาดหวังอะไรมากไปกว่า จะไม่ใครที่เล่นเกมโผล่มาขัดจังหวะเราสองคนอีก



    แค่นั้นก็พอแล้ว
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
alf_yakusa (@alf_yakusa)
หมั่นไส้ได้ไหม ตาร้อนนนนนนน
salmonrism (@salmonrism)
แง ทำไมน่ารักจังคะ ชอบช่วงที่พูดถึงบาคุไล่ฝันจังเลยค่ะ ดูคุณหมอติ่งมาตั้งแต่เด็ก ฮือ
piyarak_s (@piyarak_s)
@salmonrism 5555555 คุณหมอเป็นพวกติ่ง folklore สัตว์ประหลาด ตำนานแปลกๆ ขอให้บอก
salmonrism (@salmonrism)
@piyarak_s เอ็นดูความเด็กตรงนี้ของคุณหมอที่สุดเลยค่ะ
iiiiiiiiih (@iiiiiiiiih)
ชอบพาร์ทบาคุมากๆเลยค่ะ โดยเฉพาะย่อหน้าที่พูดถึงความฝันของแม่ ตอนสั้นๆแต่เราอินมากที่สุดในเรื่องเลย เราคิดอยู่เสมอว่าทุกคนจะมีความฝัน แต่ภาระหน้าที่ที่มีอยู่มาจำกัดกรอบให้ความฝันนั้นมันเป็นได้แค่ความฝัน
piyarak_s (@piyarak_s)
@iiiiiiiiih ขอบคุณมากๆ ค่ะ บางทีเรื่องความฝันกับความจริง มันก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิดเนอะ
ciaiwpot (@ciaiwpot)
ชอบมากเลยค่ะ
???
piyarak_s (@piyarak_s)
@ciaiwpot ขอบคุณค่ะ ^^
madpinkie (@madpinkie)
อ่านเอามาเรียงถึงตอนนี้ สนุกจนหยุดไม่ได้จริงๆค่ะ แมวน่ารักมาก?
piyarak_s (@piyarak_s)
@madpinkie เพิ่งเห็นคอมเม้นต์ ขอบคุณค่า :)