Writing for Personal Development
หายไปยาวนานเพราะปั่นงานหนักมาก คะแนนวิชานี้เพิ่งออกพอดีค่ะ เลยมาเล่าให้ฟังว่าเรียนเกี่ยวกับอะไรบ้าง
วิชานี้ไม่มีคะแนนเก็บ มีงานเขียน 100 คะแนนให้ส่งตอนต้นธันวาที่ผ่านมา เป็น Creative Work เกี่ยวกับตัวเอง 3000 คำ และ Commentary งานตัวเอง 1500 คำ
Writing for Personal Development ชื่อก็บอกแล้วว่าเป็นวิชาเกี่ยวกับการเขียนเพื่อพัฒนาตัวเอง วิชานี้เรียนทุกวันพฤหัสฯ แต่ด้วยการที่มันเป็นเรื่องของตัวเองอาจารย์เลยไม่ได้ให้เข้าคลาสทุกสัปดาห์ ดังนั้นการเรียนเลยเป็นอยู่ที่บ้านเสียส่วนใหญ่ โดยแต่ละสัปดาห์จะมีคลิปจากอาจารย์ให้เราดูและแบบฝึกหัดให้ลองทำ รวมทั้งมีบอร์ดให้เราเข้าไปแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่เรียนไปในแต่ละสัปดาห์
เนื้อหาการเรียนส่วนมากจะอยู่ที่ตัวเองค่ะ เราจะเอาเรื่องราวของตัวเองมาเขียนได้อย่างไร มีสัปดาห์นึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับ Writing the Body ถ้าร่างกายคุยตอบโต้กับเราได้ มันจะพูดอะไร หรือถ้าวันหนึ่งเราตื่นมาแล้วพบว่าไม่ได้อยู่ในร่างตัวเองจะเป็นอย่างไร มี Metamorphosis ของ Kafka ให้อ่านเสริมด้วย
สัปดาห์ที่ 4 เรียนเรื่อง Self as Source เป็นสัปดาห์ที่ทำให้นึกออกว่าจะเขียนงานอะไรส่งตอนปลายเทอมดี สัปดาห์นี้อาจารย์ให้เข้าคลาส แล้วก็ให้แบ่งตัวเราออกเป็นสองคน อ.มีชีทให้อ่านเกี่ยวกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ป่วยหนักเธอเลยแบ่งตัวเองออกเป็นสองคน ตัวเองยามสบายดี กับตัวเองยามเจ็บปวด แล้วเขียนเรื่องราวของสองคนนั้น
ในคลาสอาจารย์เลยให้เราแบ่งตัวเองเป็นสองคนนี่แหละค่ะ ให้ตั้งชื่อแล้วเขียนว่าในหนึ่งวันตัวละครทั้งสองตัวนี้ทำอะไรบ้าง จากนั้นก็เขียนเล่าเหตุการณ์ยามที่สองคนนี้มาเจอกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น ออยล์เลยแบ่งเป็นตัวเองในฐานะนักเขียน กับตัวเองในฐานะลูก คนหนึ่งคือคนที่มีความฝันและใช้ชีวิตตามความฝันของตัวเอง กับอีกคนที่ไม่มีความฝันอะไรและใช้ชีวิตตามแบบที่คนอื่นต้องการ เขียนไปเขียนมาก็พบว่าเอ๊ะ มันมีอะไรให้เล่าเยอะดี เลยเอาเรื่องนี้มาสานต่อเป็นงาน 3000 คำ
นอกจากนั้นก็ได้เรียนเกี่ยวกับ Telling and Retelling the Self มีแบบฝึกหัดให้ลองเขียนเล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวเองในรูปแบบของบทเพลง ส่วนผสมของอาหาร รายการซื้อของ แฟร์รี เทล จากนั้นก็ลองเขียนเล่าเรื่องตัวเองแต่ในฐานะบุคคลที่สามแล้วดูว่ามันแตกต่างอย่างไร ให้ความรู้สึกอย่างไร ส่วนตัวคิดว่าเขียนแบบบุคคลที่สามง่ายกว่าตรงที่เราจะไม่รู้สึกว่าเป็นตัวเราเท่าไรนัก เหมือนเป็นเรื่องของคนอื่น
สัปดาห์ที่ 7 เรียน Reading the Self เป็นอีกครั้งที่ได้เข้าคลาส มันเป็นการอ่านในฐานะตัวเองกับอ่านในฐานะคนอ่าน เราจะรู้สึกอย่างไรถ้าเราเขียนงานอยู่แล้วมีคนอยู่ในห้อง เขาคนนั้นคือใคร เรามีปฏิกิริยาอย่างไร ถ้ามีคนมาอ่านงานของเราโดยที่เรายังเขียนค้างไว้อยู่ เราจะรู้สึกอย่างไร แล้วเราจะสนทนาโต้ตอบอะไรกับคนๆ นั้น เป็นการเรียนที่สนุกดี เพราะอาจารย์จะค่อยๆ บอกสถานการณ์ให้เราคิดตามแล้วเขียนตามไปเรื่อยๆ แล้วก็เปิดโอกาสให้แชร์ความคิดเห็นว่าเป็นอย่างไร
ช่วงสัปดาห์ที่ 7-8 อาจารย์ให้เรานำงานมาแชร์ให้เพื่อนๆ ในห้องอ่านค่ะ แบ่งเป็นหลุ่มละสามสี่คน ก็ได้ไอเดียเพิ่มเติมในการพัฒนางานของเราไปด้วย ได้อ่านเรื่องของเพื่อนๆ ด้วย
สัปดาห์สุดท้ายเป็นการพบอาจารย์แบบตัวต่อตัวโดยนำงานที่เราจะส่งไปให้อาจารย์อ่านแล้วอาจารย์จะแนะนำเราว่าควรทำอะไรยังไงต่อ เป็นการพูดคุยที่สนุกดี
มีเวลาประมาณสองสัปดาห์ก่อนส่งงาน ออยล์ก็นำงานไปให้ทาง Royal Literary Fund ตรวจเขาเป็นคนจากข้างนอกที่มหาลัยจ้างมา เขาจะสามารถตรวจแกรมมา โครงสร้างประโยค ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเขียน เพราะคนตรวจก็เป็นนักเขียนนี่แหละค่ะ หลังจากได้เข้าไปคุยก็พบว่าผิดยิบย่อยเยอะมาก 5555555 ส่วนมากจะเป็นเรื่องแกรมมานี่แหละค่ะ พอดีออยล์นัดสองรอบ งานสองอย่างที่ต้องส่งไปให้เขาดู อันที่เป็นนิยายสำหรับวิชา Skills and Techniques นี่แก้เยอะมาก ส่วนวิชานี้แก้น้อยหน่อยอาจเพราะเขียนเกี่ยวกับตัวเองมันเลยไม่ยากเท่า ทาง RLF เลยแนะนำให้พบอาจารย์ภาษาอังกฤษดู ให้เขาช่วยว่าควรพัฒนาภาษาด้านไหนบ้าง
สัปดาห์ต่อมาก็ไปพบอาจารย์ภาษาอังกฤษ ที่มหาลัยจะมีอาจารย์สอนภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนอินเตอร์โดยเฉพาะ เรามีปัญหาในการทำงานด้านไหนก็นัดเข้าไปคุยได้ ครั้งละสามสิบนาที บางคนก็นำพวกรายงานต่างๆ ไปให้ช่วยดู (แต่อาจารย์ไม่ proofread ให้นะคะ แค่แนะนำอย่างเดียว) ออยล์เลยเอางานที่ RLF พรูฟแล้วไปให้ดูนี่แหละค่ะ
การเขียนนิยายมักใช้ past simple กับ past perfect ซึ่งอันหลังนี่จุดอ่อนมาก ตอนอาจารย์อธิบายช่างเข้าใจง่ายนัก ตอนเขียนเองก็มีงงๆ อาจารย์เลยแนะนำหนังสือแกรมมาให้ เป็นเล่มสีฟ้าชื่อ English Grammar in Use โดย Raymond Murphy ถ้าเข้าใจเล่มนี้หมดแล้วอาจารย์ก็จะให้อ่านเล่มสีเขียนซึ่งเป็น Advance ใครสนใจลองไปหาดูได้นะคะ เล่มสีฟ้าตามรูปเลย
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาเพิ่งทราบคะแนนของวิชานี้ค่ะ การให้คะแนนที่นี่จะมีเกณฑ์ตายตัวจากทางมหาลัย ป.ตรี เกณฑ์ผ่านคือ 40% ส่วนป.โท เกณฑ์ผ่านจะอยู่ที่ 50% ตอนสรุปคะแนนสุดท้ายแล้วจะมีแค่ pass, merit, distinction นี่หวังแค่ผ่านจริงๆ ตอนอาจารย์แจ้งมาในเมลว่าคะแนนออกแล้วมีระบุด้วยว่า “มาตรฐานการให้คะแนนสูงมาก” (หลอนมากเพราะกลัวตก)
ผลออกมาผ่านเลยพอใจมากกกก นอกจากทราบคะแนนแล้วจะมี feedback จากอาจารย์ด้วย อาจจะ 1 หรือ 2 ท่านแล้วแต่ ของออยล์ได้สองคนเลย ส่วนนี้มันดีมากๆ เพราะจะทำให้เห็นว่ามีจุดไหนที่สามารถพัฒนาได้อีก
ช่วงนี้ปิดเทอมแล้ว เปิดอีกที 16 มกราโดยยังเรียน Skills and Techniques ต่อ (พาร์ทสองจะมาหลังเรียนจบนะคะ) กับวิชาต่อไปคือ Forming Fiction ที่จะเรียนทุกวันพฤหัสฯ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in