เป็นอีกเล่มของ โซฟี คินเซลลา ที่ไลน์เรื่องไม่ได้มุ่งไปที่ด้านความรัก เรื่องนี้พูดถึงการทำงาน กระแสนิยม ความอยากมีตัวตนในสังคม ได้อย่างเห็นภาพและสนุก และชวนติดตาม เหมือนนั่งส่องกระจกแล้วเห็นเคธี เบรนเนอร์ อยู่ตรงข้าม
เคธี เบรนเนอร์ เด็กสาวจากซอเมอร์เซ็ต ที่ใฝ่ฝันอยากทำงานในบริษัทเอเจนซี่ที่โดดเด่นในลอนดอน
หวังที่จะได้มีชีวิตที่หรูหรา เป็นสาวลอนดอน เมืองที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ และคนกิ๊บเก๋
เธอได้เข้าไปทำงานในบริษัทเอเจนซี่ที่มีชื่อเสียงระดับนึง มีหัวหน้าที่สวย เก๋ เพอร์เฟ็กต์ แต่ไม่ใส่ใจลูกน้อง เคธี่ใช้ชีวิตที่รีบเร่งเหมือนคนเมือง และชอบโพสอินสตราแกรมด้วยภาพสวยของเมืองลอนดอน คาเฟ่ราคาแพง ขนมเค้กสุดหรู และอีกสารพัดที่ดูชีวิตดีและน่าอิจฉา แต่ใครจะรู้หล่ะ ว่า ภาพเหล่านั้น เป็นเพียงสิ่งที่เธอ อยากที่จะเป็น ไม่ใช่สิ่งที่เธอได้เป็น
ในช่วงแรกของเรื่อง นางเอกของเราได้พูดถึงความคิดของเธอและพ่อที่ขัดแย้งกันในด้านการใช้ชีวิต พ่อเธอต้องการให้อยู่ที่เมือง ซอเมอร์เซ็ตและทำอะไรสักอย่างกับสวนของพ่อเธอ แต่เธอกับไม่ต้องการอย่างนั้น เธออยากที่จะเป็นหญิงสาวสุดชิคในลอนดอน มากกว่า ส่วนนึงคงเป็นเพราะพ่อของเธอที่ดูจะหยิบจับหรือทำธุรกิจใดไม่สำเร็จสักที ลึกๆเธอจึงอยากหลุดไปจากจุดนั้น ไม่ต้องการเหมือนพ่อ และแสวงหาความสำเร็จ ในเมืองใหญ่ ปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอกให้ดูเป็นคนเมืองอย่างถึงที่สุด และพยายามอย่างมากในการกำจัดตัวตนของเคธี่สาวบ้านนอกออกไป
เธออาศัยอยู่ในแชร์แฟลตที่มีรูมเมทชาย อลัน ที่เป็นนักออกแบบเว็บไซต์และบล๊อกเกอร์ด้านฟิสเนต และแอนิต้า หญิงสาวที่ไม่ค่อยมีบทบาท ทั้งสามเป็นเพียงผู้ที่อาศัยด้วยกันแต่ไม่มีการพบปะพูดคุยหรือแลกเปลี่ยนใดๆ ห้องนอนของเธอขนาดเล็ก(เคธี่ย้ำว่าเล็กมาก) ไม่มีตู้เสื้อผ้ามีเพียงเปลญวนที่เอาไว้ใส่ของทุกอย่างห้อยอยู่เหนือเตียง ดูแล้วไม่ได้สวยหรูอย่างที่เธอพยายามแสดงให้ใครๆเห็นเลย
มีบทสนทนาของพ่อและเคธีที่บอกถึงความคิดของเธอในช่วงที่หนึ่งได้ว่า
"ลูกมีความสุขที่ได้อยู่เมืองใหญ่จริงหรือ เคธีลูกรัก" ฉันมีความสุขนะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าชีวิตจะไม่ลำบาก พ่อไม่รู้อะไรเลยที่เกี่ยวกับงาน เกี่ยวกับลอนดอน หรื่องเศรษฐกิจ
หลังจากอ่านนี้ใจฉันคิดโอ้วว ฉันก้เคยพูดอะไรคล้ายๆนี้กับพ่อฉันนะ
อีกส่วนที่อยากพูดถึงคือ เมื่อเคธีรู้สึกว่าชีวิตช่างย่ำแย่ไม่มีอะไรเป็นอย่างที่เธอคิด เพื่อนในลอนดอนเธอก็ไม่มี งานที่ได้ทำนั้นแม้เป็นบริษัทใหญ่แต่หน้าที่งานของเธอนั้นเล็กจ้อย พอรู้สึกแย่คนเราจะมีกลไกการปกป้องตนเอง เราจะรู้สึกอยากเป็นคนมีคุณค่า เคธี่เลือกที่จะโพสภาพช๊อคโกแลตร้อน ที่เธอถ่ายมาจากคาเฟ่ริมทางที่คนกินทิ้งไว้ แล้วโพสว่า อร่อย ใครจะรู้ล่ะ มันก็ดูน่าอร่อยจริงๆ เธอไม่ได้หมายความว่าเธอกินมันสักหน่อย แล้วหลังจากโพสเพื่อนเธอก็จะทักมาชื่นชมชีวิตดีๆของเธอ และเธอก็จะแสร้งว่าชีวิตนั้นดี จริงๆ แล้วเธอก็จะยิ้มได้ทั้งที่ในใจก็รู้ว่ามันไม่ใช่
คุณเห็นอะไรไหม นี่ดูเป็นค่านิยมที่เห็นได้ใกล้ตัวไม่ว่าจะกับเพื่อนคุณหรือแม้แต่ตัวคุณเอง เราต้องการมีตัวตนและเป็นที่สนใจ แม้ทั้งหลายทั้งมวลนั้นอาจจะไม่ใช่ของจริงเป็นเพียงสิ่งที่เราสร้างขึ้น แต่เราก็ยังพอใจที่จะทำอย่างนั้น เพื่อให้ใครสักคนมองเห็นว่าเรามีชีวิตที่ดีแค่ไหน
นอกเหนือจากประเด็นความคิดการใช้ชีวิตของเคธี่แล้วก็มีเรื่องของการทำงาน หัวหน้ามักไม่เป็นที่ชื่นชอบของลูกจ้างแม้เขาจะพยายามทำดีอย่างไร(ในแบบของเขาที่คิดว่าดีแต่คนอื่นอาจไม่คิดอย่างนั้น)ก็ยังไม่เป็นที่ชื่นชอบของพนักงานอยู่ดี โดยเฉพราะหัวหน้าที่สวย มีบ้านหลังใหญ่ บันไดหินอ่อน เสื้อผ้าหรูหรา สังคมที่นับหน้าถือตา และครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ
คนเราตีค่าคนอื่นด้วยรูปลักษณ์ภายนอกและสิ่งของนอกกายกันทั้งนั้น เราอาจหลงคิดว่าคนที่มีพร้อมทุกอย่างจะมีความทุกข์และความเจ็บปวดได้อย่างไรกัน? เราสิที่เจ็บปวดกว่าเขา เรามองเพียงด้านเดี่ยวมองในสิ่งที่อยากจะมอง ถ้าไม่ด้วยความชื่นชม ก็ด้วยความอิจฉา
ไม่ว่าชีวิตจะดูสมบูรณ์แบบหรือย่ำแย่แค่ไหนทุกอย่างมีสองด้านเสมอ สิ่งใดก็ตามที่ได้มาย่อมต้องแลกด้วยอะไรบางอย่าง เพราะฉะนั้นบางครั้งการยอมรับและนับถือตัวเองในสิ่งที่ตัวเองเป็น ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก และทำได้ดี เลิกมองชีวิตคนอื่นและเลิกที่จะคิดว่าคนอื่นจะมองเราอย่างไร ชีวิตมันอาจไม่เพอร์เฟ็กต์นัก ไม่หรูหราหรือมีบันไดหินอ่อน แต่มันคือตัวเธอ นั้นอาจเป็นสิ่งที่ดีที่สุดของการมีชีวิตอยู่
ถ้าใครได้อ่านรีวิวนี้จนจบ เราอยากจะบอกว่า การตีความของเราอาจจะดูเหมือนหนังชีวิตเครียดๆแต่จริงๆไม่เลยนะ
โซฟี คินเซลลา มีความสามารถที่จะเขียนเรื่องหนัก เรื่องธรรมดาหรือเรื่องสะท้อนการใช้ชีวิตได้อย่างตรงไปตรงมา น่าสนใจและ สนุก คือตอนอ่าน จุดไหนตรงกับตัวเองจะรู้สึกคันยิบๆตรงใจ และก็ยิ้มได้เบาๆไปกับเคธี่
เหมาะมากสำหรับใครที่รู้สึกเบื่อหน่ายกับหัวหน้าในที่ทำงาน หรือชีวิตที่ต้องสร้างภาพ เราไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะเจอกับเรื่องราวคล้ายๆนี้ แต่อย่างน้อย เราจะได้เปลี่ยน Mindset ในการตัดสินคนอื่นจากแค่สิ่งที่เห็น นั้นน่าจะเป็นจุดหลักของเรื่องนี้เลย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in