เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Look a Breathe (Series 1 - 2)nimon
#543 ฤดูใบไม้ผลิอันเงียบงัน (TEMPERANCE)


  • หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่คู่ควรแก่การได้รับการกล่าวขานว่า เป็น ใน ๑๐๐ หนังสือเล่มที่ดีที่สุดของคริสต์ศตวรรษที่ ๒๐ เพราะเป็นหนังสือที่แสดงให้เห็นถึงโทษของการใช้สารเคมี


    ฤดูใบไม้ผลิเงียบหายไป

    และไร้ซี่งเสียงสกุณาขับขาน

    สกุณาไม่ท่องนภาลาน

    และหายตามกาลทุกเวลา

    เพราะสกุณาโดนสารเคมี

    ทำให้ดีคือหายลับตา

    เพราะตายจากไม่คืนกลับมา

    สกุณาลาลับตลอดไป


    เรื่องราวในหนังสือเล่มนี้เป็นการแสดงเรื่องราวบอกเล่าด้วยข้อเท็จจริงว่า โทษของการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชเหล่านี้มีมากมาย และใครจะเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องนี้



    มนุษย์ตั้งจุดมุ่งหมายไว้ว่า จะพิชิตธรรมชาติให้สำเร็จให้ได้ คือ มนุษย์จะทำทุกวิถีทางเพื่อจะเอาชนะธรรมชาติให้ได้ โดยที่มษย์ไม่เคยสนใจว่า สิ่งที่มนุษย์ชนะนั้นสร้างความหายนะให้กับมนุษย์ด้วยกันมากขนาดไหน


    เรื่องราวในเล่มนี้ได้เป็นเรื่องราวที่เสนอถึงแนวทางในการปลุกจิตใต้สำนึกของมนุษย์ที่กล่าวว่าตนคือสัตว์ประเสริฐทั้งหลายให้เห็นความสำคัญของการที่เราฉีดพ่นสารเคมีเข้าไปยังข้าว พืช ผัก ผลไม้ รวมถึงเนื้อสัตว์ทั้งหลายจำนวนมาก คนพวกนั้นทำไปเพื่อผลผลิตที่สวยงาม โดยเราไม่มีการคำนึงถึงโทษอันร้ายแรงที่กำลงัเกิดขึ้น ความทุกข์เหล่านั้นย่อมเกิดกับสัตว์ พืช ผลไม้ ข้าว และมนุษย์ด้วยกันทั้งนั้น 


    เพราะเหตุใด คนจำนวนมากต้องตายในเวลาอันไม่สมควร สัตว์หลายอย่างต้องสูญพันธุ์ไป ก็ไม่ใช่เพราะการทำลายร้างด้วยน้ำมือของมนุษย์ที่กล่าวว่าตนมีอารยธรรมนั้นหรือ


    การที่มนุษย์ทั้งหลายตั้งชื่อสรรพสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่ ตัวมนุษย์คิดเองว่า มันคือ ศัตรูพืชนั้น และมนุษย์ทำทุกวิถีทางในการผลิตสารเคมีครั้งแล้วครั้งเล่า จำนวนมากแล้วมากเล่ามากำจัดแมลงเหล่านั้น โดยหารู้ไหมว่า สิ่งเหล่านั้น เมื่อมนุษย์ได้กินเข้าไปในร่างกาย ย่อมนำโทษมาให้กว่าอะไรทั้งปวง และไม่เพียงเท่านั้น มนุษย์ในสมัยปัจจุบัน ย่อมป่วยเป็นโรคประหลาด เพราะเกิดจากสารเคมีเหล่านั้นทั้งสิ้น

    อาจารย์ชีววิทยาคนหนึ่งเคยสอนว่า ความเป็นจริงแล้ว ไม่มีหรอก ศัตรูพืช มีแต่ศัตรูมนุษย์มากกว่า เพราะพวกศัตรูพืชนั้น ถ้าเรียนตามวัฏจัรกชีวิตของพืชนั้น มันมีข้อดีอยู่ มันช่วยทำให้พืชเหล่านั้นที่เป็นพืชไม่ดี ได้ถูกกำจัดออกไป เพราะตามหลักการของธรรมชาติ นั้นคือ การพึ่งพาถ้อยที่ถ้อยอาศัยกัน ไม่ใช่ ดั่งเช่นมนุษย์ที่ทำร้ายและล้างผลาญกันและกัน


    เมื่อเรามาอ่านหนังสือเล่มนี้ เราพบว่า อาจารย์คนนั้นพูดเป็นความจริงได้ เพราะมนุษย์คือตัวแปรของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างแท้จริง เพราะมนุษย์เหล่านั้นได้ใช้สารเคมีในการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมของมนุษย์ ในการทำให้มนุษย์ตายอย่างเร็ว ที่ไม่ได้ต่างจากการที่สัตว์ค่อยๆตายและสูญพันธุ์ไปตามสารเคมีเหล่านั้น ดังนั้น ถึงเวลาแล้วหรือยัง หากมนุษย์ยังคิดว่า ตนเป็นสัตว์ประเสริฐอยู่ ก็หยุดก่อสารเคมี ก่อนที่โลกนี้จะไม่เหลืออะไรเลย นอกจากซากศพของสัตว์เดรัจฉานและสัตว์ประเสริฐเท่านั้นเอง



    เพื่อนๆควรเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยกันคิดและหยุดหยิบสารเคมีมาพ่นใส่พืช ผัก ผลไม้ เพราะสารเคมีเหล่านี้ เมื่อเข้าไปยังคนพ่น ก็ตายได้เช่นกัน และเมื่อเข้าไปสะสมยังดิน ยิ่งนาน ก็ยิ่งเป็นพิษ ต่อทั้งพืชและคน แล้วอย่างงี้ ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่ควรจะหยุดก่อนที่ทุกอย่างในโลกนี้จะสายเกินแก้ 


    เราขอเป็นส่วนหนึ่งที่สนับสนุนการตีพิมพ์หนังสือเล่มนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะเป็นหนังสือที่ทุกคนในโลกนี้ควรอ่าน ควรทำความเข้าใจ และควรหยุดก่อนที่ทุกอย่างจะเหลือเพียงแค่ซากศพกองพะเนิน แล้วเมื่อถึงตอนนั้น จะทำเป็นมารักษ์ธรรมชาติก็สายเกินไปแล้ว


    นกต้องตาย ปลาต้องตาย และสัตว์อื่นต้องตาย เพราะสารเคมีแล้วหนึ่ง ยังมีหมีขาวต้องตาย นกเพนกวินต้องตาย เพราะโลกร้อนอีกหนึ่ง และเพราะทุกอย่างเหล่านี้เกิดจากน้ำมือมนุษย์ทั้งนั้น แล้วเมื่อไหร่เล่า มนุษย์จะหยุดทำลายธรรมชาติสักที นี่คือคำถามที่เราต้องการคำตอบจากทุกคนที่กำลังคิดจะทำลายธรรมาติอยู่ 



    LOOK A BREATHE

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in