เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
REVIEWกีอัลลาร์
【BL】さよならトロイメライ (sayonara träumerei) | ogami yoichi
  • さよならトロイメライ (sayonara träumerei)
    author: ogami yoichi
    illustrator: kasai ayumi


    *TW: rape, drug abuse, violence*

    เรื่องนี้เป็นนิยายปกอาจารย์คะไซที่สวยที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา และเป็นปกนิยาย BL ที่แปลกมากคือไม่มีพระเอกอยู่บนปก แต่พออ่านจนจบแล้วจะพบว่ามันเป็นภาพที่เหมาะกับบรรยากาศของเรื่องมากๆ


    เรื่องเริ่มต้นขึ้นเมื่อ ยุเกะ อากิระ ในวัย 14 ปีเริ่มทำงานเป็นพ่อบ้านฝึกหัดที่บ้านมุนาคาตะซึ่งเป็นตระกูลพ่อค้า เปิดบริษัทเทรดดิ้งซื้อขายกับต่างประเทศ ยุเกะพบกับ เท็ตสึมะ ผู้สืบทอดตระกูลมุนาคาตะซึ่งมีอายุไล่เลี่ยกัน และได้กลายเป็นเพื่อนเล่นของเท็ตสึมะกับอิซเซย์ ลูกชายคนรองของตระกูล

    ยุเกะกับเท็ตสึมะมีความรู้สึกที่ดีต่อกัน ยุเกะสัญญาว่าจะคอยสนับสนุนเท็ตสึมะจนกว่าความฝันเรื่องการสร้างประภาคารจะเป็นจริง ส่วนเท็ตสึมะก็มอบกล่องเพลง träumerei ซึ่งเป็นของดูต่างหน้าแม่ให้ยุเกะ แต่ก่อนที่ความสัมพันธ์จะพัฒนาไปไกลกว่านั้น ก็เกิดจุดพลิกผันเมื่อโทโมมิ พ่อของเท็ตสึมะเรียกยุเกะเข้าไปพบตามลำพังในเรือนเล็ก

    ตอนนั้นเองยุเกะจึงได้รู้ว่าโทโมมิติดฝิ่นจนสติฟั่นเฟือน โทโมมิข่มขืนยุเกะ ให้ยุเกะสูบฝิ่น และยังเกิดภาพหลอนว่าเท็ตสึมะคิดร้ายกับตน จึงทำร้ายร่างกายเท็ตสึมะอยู่เสมอ

    เหตุการณ์ดำเนินไปเรื่อยๆ โดยไม่มีใครกล้าขัดขวางโทโมมิซึ่งเป็นผู้นำตระกูล จนกระทั่งวันหนึ่ง อิซเซย์เข้ามาเห็นตอนที่โทโมมิกำลังทำร้ายเท็ตสึมะ โทโมมิเกิดภาพหลอนเข้าใจว่าอิซเซย์ก็คิดร้ายกับตนเช่นกัน จึงหยิบดาบออกมาทำท่าจะฟันอิซเซย์ เกิดเหตุชุลมุนจนกลายเป็นว่ายุเกะแย่งดาบได้และแทงโทโมมิจนถึงแก่ความตาย

    พอพ่อตาย เท็ตสึมะก็ได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูล เขาตัดสินใจไม่ส่งตัวยุเกะให้ตำรวจ และสั่งให้ทุกคนปิดเรื่องสาเหตุการตายของพ่อไว้เป็นความลับแค่ในบ้านมุนาคาตะ โดยให้เหตุผลว่าเพื่อป้องกันไม่ให้ตระกูลเสื่อมเสียชื่อเสียงจากเรื่องฝิ่น แต่การเก็บฆาตกรที่ฆ่าผู้นำตระกูลรุ่นก่อนไว้ในบ้านก็มีสิ่งที่ต้องแลก คนรับใช้ในบ้านมุนาคาตะที่รู้ความจริงเกลียดชังยุเกะ คอยหาเรื่องกลั่นแกล้งอยู่เสมอ เท็ตสึมะก็ต้องเล่นละครทำตัวโหดร้ายกับยุเกะเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น

    เท็ตสึมะพยายามส่งยุเกะไปอยู่ข้างนอก บังคับก็แล้ว หลอกก็แล้ว ขอร้องก็แล้ว แต่ยุเกะก็อดทนอยู่ในบ้านมุนาคาตะต่อมาอีกถึง 15 ปี จนกระทั่งเกิดจุดพลิกผันอีกครั้งเมื่อเรือสินค้าของมุนาคาตะที่จะเดินทางไปไต้หวันเกิดอัปปาง และยุเกะคือคนที่ตระกูลมุนาคาตะส่งไปเจรจากับทางไต้หวันเพื่อแก้ไขสถานการณ์ แต่การไปครั้งนี้หมายความว่ายุเกะอาจไม่สามารถกลับมาที่ญี่ปุ่นได้อีก


    ความรู้สึกแรกหลังอ่านจบคือ นี่มันสงครามชีวิตโอชินรึเปล่า ความสัมพันธ์ตลอด 15 ปีของยุเกะกับเท็ตสึมะเป็นความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ต่างคนต่างต้องฝืนความรู้สึก เล่นละครไปตามบทบาทที่ถูกกำหนดมา เท็ตสึมะมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบในฐานะผู้นำตระกูล มีความฝันในการสร้างประภาคารเพื่อป้องกันไม่ให้เรือสินค้าอัปปางจากการชนโขดหิน ถึงใจจะอยากพายุเกะหนีไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแต่ก็ยังทำไม่ได้ ส่วนยุเกะก็ยึดติดกับความตั้งใจที่จะอยู่เคียงข้างเท็ตสึมะ ไม่ยอมออกจากบ้านมุนาคาตะ ต่อให้ถูกเท็ตสึมะทำร้ายทุบตียังไงก็คิดว่าอย่างน้อยตัวเองก็ยังอยู่ในสายตาของอีกฝ่าย

    ถึงเนื้อเรื่องจะเมโลดราม่าเหลือเกิน แต่สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่ามันไม่น่ารำคาญก็คือความเชื่อใจกันระหว่างยุเกะกับเท็ตสึมะ ดราม่าทั้งหลายแหล่ที่เกิดขึ้นไม่มีเรื่องไหนเลยที่เกิดจากความเข้าใจผิดของตัวเอก เล่นละครทำเป็นเกลียดกันก็เฉพาะเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น ลับหลังก็มีฉากหวานๆ พอจะดึงโทนเรื่องไม่ให้เครียดจนเกินไปอยู่บ้าง

    สิ่งที่ชอบและคิดว่าเป็นจุดที่โดดเด่นมากของเรื่องนี้คือสำนวนการเขียน ชอบการใช้ภาษาสละสลวย เต็มไปด้วย imagery พรรณนาถึงสวนดอกไม้ เครื่องเรือน คฤหาสน์สวยงาม ไปจนถึงความรู้สึกลึกซึ้งที่เป็นนามธรรม คือรู้สึกว่ามันสวยไปหมด เข้ากับบรรยากาศแบบไทโชโรมังสุดๆ สำนวนพร่ำเพ้อพรรณนาแต่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดอยู่ลึกๆ เหมือนกลีบดอกไม้ที่ฟุ้งกระจายแต่คมกริบจนบาดใจ


    คำว่า träumerei ในชื่อเรื่องแปลว่า ห้วงคำนึง เท็ตสึมะอธิบายไว้ว่าความฝันคือสิ่งที่มองเห็น ส่วนห้วงคำนึงคือสิ่งที่ครุ่นคิดในความฝัน เป็นความรู้สึกโหยหา ซึ่งก็เป็นชื่อเรื่องที่แสดงถึงความเป็นไทโชโรมังแบบสุดๆ อีกเช่นกัน ยุคไทโชกินระยะเวลาแค่ 14 ปี เทียบกับยุคอื่นๆ แล้วถือว่าสั้นที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นสมัยใหม่ เป็นยุคที่ีมีอิมเมจสวยงามฟุ้งฝันจากอิทธิพลของคติโรแมนติกจากตะวันตก แต่ภายใต้ภาพลักษณ์สวยงามนั้นก็ใช่ว่าบ้านเมืองจะสงบสุขซะทีเดียว เพราะในยุคนี้มีทั้งความขัดแย้งในด้านอุดมคติทางการเมืองภายใน รวมถึงผลกระทบเศรษฐกิจจากสงครามโลกครั้งที่ 1

    สัญลักษณ์ที่ใช้เปรียบเปรยถึงการเปลี่ยนแปลงในช่วงชีวิตของยุเกะมี 2 อย่าง คือไข่มุกบิดเบี้ยวที่ยุเกะได้รับจากพ่อผู้ล่วงลับ กับกล่องเพลง träumerei ที่ได้รับจากเท็ตสึมะ ไข่มุกสื่อถึงคติแบบ baroque (แปลตรงตัวว่าไข่มุกที่มีรูปร่างบิดเบี้ยว) ซึ่งเป็นการแสดงออกที่ตรงไปตรงมา ไม่มีนัยยะแอบแฝง เน้นรูปแบบและความสอดประสานกลมกลืน เหมือนชีวิตของยุเกะในช่วงแรกที่ดำเนินไปตามลำดับขั้นตอน เป็นเด็กหนุ่มฉลาดเฉลียวที่ถูกรับเข้ามาในบ้านมุนาคาตะในฐานะพ่อบ้านฝึกหัด ได้รับการฝึกฝนอย่างดีเพื่อเป็นหัวหน้าพ่อบ้านในอนาคต

    ส่วนกล่องเพลง träumerei สื่อถึงคติแบบ romantic เป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก ห้วงคำนึงในความฝัน ยุเกะถูกโทโมมิเรียกตัวไปรับใช้หลังได้รับกล่องเพลงไม่นาน และไข่มุกที่เป็นของดูต่างหน้าพ่อก็หายไปในระหว่างนั้นนั่นเอง

    เมื่อแบบแผนที่ควรเป็นถูกทำลาย ชีวิตของยุเกะในช่วง 15 ปีที่อยู่กับกล่องเพลง träumerei จึงระหกระเหินไปตามกระแสโชคชะตา สถานะครึ่งๆ กลางๆ ถึงจะได้รับความไว้วางใจจากเท็ตสึมะ แต่ก็เป็นแค่พ่อบ้านธรรมดาแทนที่จะเป็นหัวหน้าพ่อบ้านอย่างที่ถูกวางตัวไว้ในตอนแรก มีความลับที่ต้องปิดบังไปตลอดชีวิต สิ่งที่เดียวที่เป็นหลักยึดให้ยังมีชีวิตอยู่ต่อไปคือความรักที่มีต่อเท็ตสึมะ ซึ่งก็เป็นความรักที่สมหวังได้แค่ในความฝันเท่านั้น

    *spoiler* และตอนที่ออกจากบ้านมุนาคาตะในตอนจบ ยุเกะก็เลือกทิ้งกล่องเพลง träumerei เอาไว้ สื่อถึงความตั้งใจที่จะตัดขาดจากเท็ตสึมะ ทิ้งความรักตลอด 15 ปีที่ไว้ที่บ้านมุนาคาตะ แต่ขณะเดียวกัน การทิ้งกล่องเพลงก็เหมือนเป็นการบอกลาความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง (ชื่อเรื่องถึงเป็น さよならトロイメライ - ลาก่อนห้วงคำนึง) เพราะความรักที่เป็นจริงได้เฉพาะในความฝันได้รับการตอบสนองแล้วนั่นเอง *spoiler*


    ตอนจบจะว่าสุขก็สุข จะว่าเศร้าก็เศร้า ฉากจบในเล่มเขียนอย่างคลุมเครือ สายสุขนิยมก็พอจะทำเบลอๆ แล้วจินตนาการถึงบทสรุปที่มีความสุขได้อยู่ โดยส่วนตัวเราแอบคิดว่ามันสามารถจบให้มีความสุขกว่านี้ได้ แต่ความคลุมเครือแบบสุขไม่สุดเศร้าไม่สุดแบบนี้ก็เหมาะกับบรรยากาศของเรื่องดี

    ถามว่ารู้สึกยังไงก็บอกได้ว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่รักเลยละ เราชอบไทโชโรมังอยู่แล้ว เรื่องนี้ก็เขียนได้ดีมากๆ ทั้งเนื้อเรื่อง สำนวน บรรยากาศ ทุกอย่างเข้ากันได้ดี เป็นส่วนผสมที่กลมกล่อม แต่ขณะเดียวกันก็เป็นนิยายที่ไม่อยากจะหยิบมาอ่านซ้ำ เพราะอ่านแล้วเหนื่อย มันหน่วงไปหมดทั้งในแง่เนื้อเรื่องและบรรยากาศ ตอนจบก็ไม่ได้คลายความหน่วงที่ว่าจนหมด ยังหลงเหลือความขุ่นมัวอะไรบางอย่างอยู่ในใจ ถ้าพูดเป็นเพลงก็คือไม่จบด้วย authentic cadence (ซึ่งไม่ได้หมายความว่าไม่ดี แต่คนที่ชอบตอนจบแบบเคลียร์คัทอาจจะรู้สึกขัดใจอยู่บ้าง)
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in