เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
CinemaniaRED 8
เล่าหนังใหม่ : Doctor Strange (2016) : หนังเรื่องนี้ 'คง' ไม่มีสปอย
  • ที่ผมขึ้นหัวเรื่องแบบนี้ เป็นเพราะผมรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้คงไม่มีอะไรให้สปอยเป็นพิเศษจริงๆ คงไม่ได้บอกต่อเพื่อนว่า "เห้ย หนังดีนะ คันปากอยากสปอยมาก" แต่คงเป็น "เออ ถ้าชอบ CG สวยๆก็ไปดู" นั่นแปลว่าหนังเรื่องนี้ไม่มีเนื้อหาประทับใจอะไรให้สปอย มีแต่ภาพสวยๆให้เพลินตา ซึ่งทำให้การเล่าครั้งนี้ไม่มีสปอย เนื้อหา ที่ทำให้คนอ่าน รู้แล้วดูไม่สนุก อย่างแน่นอนครับเพราะมัน ไม่มี

    แหม่ ไปว่าหนังเค้าขนาดนี้ทำเองเลยมั้ย? ...

    ใจเย็นกันเด้อพี่น้อง! ก่อนอื่นต้องบอกอีกว่าผมไม่ได้เป็นแฟนของ Marvel หรือ DC เป็นการบอกเล่าตามประสาคนดูหนังธรรมดาคนหนึ่งที่ได้รับชมหนังแล้วมีอารมณ์และความรู้สึกไปกับมันเท่านั้น อะมาเริ่ม!

    เริ่มที่พล็อตเรื่องก่อน พล็อตเป็นเรื่องที่หนังยุคนี้ควรจะใส่ใจเป็นพิเศษ เพราะยุคนี้เป็นยุคที่คนเสพหนังเติบโตขึ้น เนื่องมีกิจกรรมบันเทิงเกิดใหม่มากขึ้น เวลาดูหนังจึงโดนเบียด และทำให้คนดูมีพฤติกรรมการ คัดเลือกก่อนบริโภค หรือ ช่างเลือก หนังมากกว่าเดิม เค้าต้องการหนังดีที่มีคุณภาพและคุ้มเวลาพอที่จะรับชมมัน ในยุคนี้เองก็มีหนังคุณภาพเกิดขึ้นให้ได้เสพกันอย่างมากมาย พล็อตเรื่องจึงเป็นส่วนสำคัญที่ควรจะใส่ความสร้างสรรค์เป็นพิเศษ เพื่อให้คนดูรู้สึกถึงการเสพหนังดีมีคุณภาพอย่างคุ้มค่า

    สิ่งที่ผมต้องการจะบอกคือ พล็อตหนังเรื่อง Dr. Strange ไม่เป็นไปแบบที่กล่าวข้างต้น ทำเอาผมผิดหวังพอสมควร เพราะทำออกมาได้อย่างไม่มีสีสัน เรียบเฉย ด้านเดียว แคบและไม่มีมิติ พอไม่มีบริบทอะไรให้ต้องคิดตาม range ของอารมณ์ในหนังจึงออกมาแคบมากๆ ทุกอย่างดำเนินไปในรูปแบบ 'ไม้เสียบลูกชิ้น' ที่เล่าเรื่องทีละลูกๆ 1-2-3 แล้วก็หมด ไม่มีส่วนสำคัญให้จดจำหลังจากดูจบ หากคาดหวังการเกิด เซอร์ไพรส์ หรือ ความว้าว! คงจะไม่มีอะไรแบบนั้นในหนังเรื่องนี้ 

    จากหมอศัลย์อัจฉริยะ สู่การเป็นจอมเวทย์ ด้วยเส้นทางที่เรียบง่าย?

    การเล่าเรื่องหรือการลำดับเรื่องก็ถือเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งหนังได้ทำการปูเนื้อเรื่องการเกิดและที่มาของแต่ละเหตุการณ์เอาไว้เพื่อให้เกิดความสมเหตุสมผล แต่กับให้น้ำหนักของ จุดพลิกผัน เหล่านี้เบาเกินไปทำให้คนดูไม่ได้รับการ Build อารมณ์ และไม่สามารถพาคนดูไปสู่จุด จุดพีค (ที่ไม่พีค) ของหนังได้ เช่น

    จุดพลิกผันที่ทำให้พระเอกได้พลังนี้มาก็ออกมาอย่างง่ายดาย ไม่ได้ดูเป็นพลังที่ หายาก หรือเป็นพลังระดับ จักรวาล ขนาดนั้น (ซึ่งผมว่าพลังควบคุมเวลาของ Dr. Strange นั้นเป็นพลังที่โหดและโกงมากกก ไม่ควรเป็นอะไรที่ได้มาง่ายๆ) การเดินทางตามหาพลังของพระเอกก็เบาเกินไป ผมกลับคิดว่าเนื้อหาส่วนที่อยู่ใน Trailer ที่ Ancient One (อาจารย์จอมมหาเวทย์) พูดออกมา (น่าจะประมาณว่า) 

    I spent so many years, hearing through time, looking for you.
    ฉันใช้เวลาหลายปี สอดส่องข้ามเวลา ตามหา...คุณ 

    เป็นประโยคที่สมควรใส่ไว้ในหนังมากกว่ามุกตลกรหัสไวไฟซะอีก เพราะจะได้ปูให้เห็นว่าพระเอกเป็น the chosen one ที่จอมมหาเวทย์ตามหามาตลอด แต่หนังกลับเล่าออกมาเหมือนจอมมหาเวทย์เป็นผู้รอบรู้มากกว่าจะเป็นผู้จ้องดู ซึ่งทำให้การปูเนื้อเรื่องในส่วนนี้แทบจะหายไป ความพิเศษของพระเอกก็ถูกตัดทอนไปอีก

    หรือ อย่างในช่วงที่เริ่มฝึกใช้พลังก็แทบไม่มีให้เห็นว่าพระเอกฝึกอะไรมาก จะเน้นการอ่านตำราเป็นหลักซะมากกว่า ทำให้คนดูไม่รู้สึกต้องคอยลุ้นช่วยเชียร์เพื่อให้ได้พลังนั้นมา เพราะอะไรมันช่างดูง่ายไปเสียหมด พระเอกถามหาพลังก็มีคนบอก แล้วก็ออกตามหา พอตามหาก็เจอเลยอย่างไม่มีผิดพลาด ทุกอย่างดูวางไว้เป็น Pattern แล้ว ซึ่งหนังต้องการจะบอกว่าพ่อพระเอกของเราเก่งและเทพจนไม่ต้องฝึกฝนอะไรเลย ด้วยความที่เป็นหมออัจฉริยะมาก่อน ก็เลยมีความสามารถอ่านไว เรียนรู้ไวและทำให้ได้พลังมาง่ายๆ ที่สำคัญดันไปเรียนพลังขั้นสุดยอดมาได้อย่างง่ายๆ อีกต่างหาก (ไม่รู้จะช่วยลุ้นตรงไหน)

    จุดพลิกผันต่อมาที่น่าจับมาเล่นคือ ช่วงที่พระเอกไปต่อสู้กอบกู้โลกในศึกสุดท้าย ก็ดันไม่มีอะไรให้น่าตื่นเต้น แต่ก็อาจจะเป็นการต่อสู้ในแบบที่ดีที่สุดแล้วของ Time Mage คือการสู้ด้วยเวลาแต่อย่างไรก็ออกมาน่าเบื่อและธรรมดามากๆ ซึ่งน่าจะทำออกมาได้เร้าใจมากกว่านี้เพราะคู่ต่อสู้มีพลังทำลายล้างระดับจักรวาลเลยด้วย

    CG แนว Fantasy ที่บิดเบือนภาพ Reality เป็นอะไรที่เพลินตามากๆ

    แต่ระดับ Marvel ทำจะไม่มีอะไรดีเลย ก็เป็นไปไม่ได้!

    อะแน่นอน! หนังเรื่องนี้แม้เนื้อเรื่องอาจจะไม่น่าประทับใจเท่าไหร่แต่ในทุกซีนต่อสู้ หนังใช้ Computer Graphic มาใช้ในการเล่าภาพของพลังศาตร์เวทย์โบราณได้อย่างน่าประทับใจ (ประทับใจหลายฉากเลย) รวมไปถึงภาพเหนือจิตนาการอื่นๆที่สวย สนุก และเพลินตาแบบสุดๆ ภาพ CG ทั้งหมดคือกุญแจหลักที่เป็นจุดเด่นที่สุดของหนังเรื่องนี้ ต้องยอมรับว่าหนังทำภาพของการบิดเบือนตึกแบบ ‘Inception’ ได้ออกมายิ่งใหญ่มโหฬาร และทรงพลังอย่างน่าชื่นชม เรียกว่าหากใครชอบซีนแบบนั้นใน Dr. Strange คุณจะได้ดูกันแบบ ฟิน ลูกตาแน่นอน หนังสามารถพาเราไปแตะถึงภาพในจิตนาการของเราได้นี่เป็นอะไรที่เก่ง มากๆ อันนี้ต้องขอชมเชย

    แต่นั่นแหละครับ เมื่อจุดเด่นคือ Visual กลายเป็นว่าหนังย้ายสิ่งสำคัญมาอยู่ที่การปรากฏตัวของ Dr. Strange มากกว่าเนื้อเรื่องหลัก เพราะน่าจะอยากให้เวลาคนดูได้ทำความรู้จักตัวละครเอกให้มากเข้าไว้ เพราะต้องการสร้างคาแรคเตอร์ Dr. Strange ให้เป็นที่รู้จักเป็นอันดับแรก จึงย้ายไปสร้างลูกเล่นกับสิ่งที่ชวนให้คนดูจดจดจำง่ายกว่า นั่นคือการหยอดมุกตลกนั่นเอง ไม่แน่ใจเป็นว่า Perception ของ ฮีโร่ Marvel ยุคนี้รึเปล่าที่ต้องติดตลก ซึ่งหนังก็ทำออกมาได้ดีไม่ติดขัดอะไร โดยเฉพาะเจ้าเสื้อคลุมวิเศษที่อยู่ข้างกายพระเอกทำออกมามีนิสัยยียวน และกวนประสาทได้ดีเหลือเกิน ถือเป็นตัวขโมยซีนดีๆนี่เอง

    สุดท้ายผมขอพูดเหตุผลที่ทำให้ดูหนังเรื่องนี้นั่นคือ Benedict Cumberbatch พ่อพระเอกของเรื่อง ที่การแสดงของเค้าไม่เคยทำให้ต้องผิดหวัง เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่แสดงออกมาได้ดีเช่นเคย ซึ่งการได้เห็นบทบาท Super Hero แบบนี้ของเค้าก็เป็นอะไรที่น่าประทับใจเช่นกัน


    คะแนนความอิน 6.5 / 10


    - - - - --------------------------------------------- - - - - 


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in