เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
CinemaniaRED 8
รื้อหนังเก่า : Roman Holiday (1953) : ออเดรย์ที่รัก
  • หลายคนอาจมองเรื่อง 'เจ้าชายเจ้าหญิง' เป็นเรื่องเด็กๆ หรืออยู่แต่ในนิยายเท่านั้น เอาเข้าจริงๆเรามักตั้งอุคมคติ หรือความฝันกันไว้ตั้งแต่เด็กๆไม่ใช่หรือ 'เจ้าหญิง' ที่คุณอยากจะไปช่วยเหลือจากปีศาจร้ายหรือจอมมารในวัยเด็กของคุณเป็นแบบไหนกัน เธอมีผมบลอนด์ยาว? สูงสวยสง่า? น่ารักน่าทะนุถนอม? หรือเราอาจโตเกินไปจนไม่ได้สนใจเรื่องพวกนั้นแล้ว แต่หากคุณยังมองหาเจ้าหญิงในอุดมคติอยู่ละก็ Princess Anne คือ เจ้าหญิงผู้ทรงสง่า มีระดับ และมีความเป็นปุถุชนที่มองหาเพียงความสุขเรียบง่าย หากได้รู้จัก เสน่ห์ของเธอจะทำให้คุณต้องหลุมรักได้อย่างแน่นอน

    'โรมรำลึก' เป็นชื่อที่แปลไทยออกมาได้ไพเราะกินใจ ไม่ฉีกชื่ออังกฤษมาก ถ่ายทอดอารมณ์และเนื้อหาของหนังได้ดีมากๆ / ขอคารวะ
    Roman Holiday หรือ โรมรำลึก คือหนังอมตะสุดคลาสสิคที่เข้าชิงถึง 10 รางวัลออสการ์ (ครั้งที่ 26) และชนะ 3 ออสการ์ในสาขา Best Actress Best, Best Story และ Best Costume Design-Black and White (ยุคนั้นยังแยกรางวัลบางประเภทระหว่างหนังสีกับหนังขาวดำอยู่) ซึ่งเมื่อเราไล่จากเรื่องพล็อตเรื่องก่อน หนังเรื่องนี้เป็น Romantic Comedy ที่เจ้าหญิงหนีออกมาเที่ยวเล่นและเกิดบุพเพสันนิวาสกับหนุ่มในเมือง จากที่เคยดูหนังยุคขาวดำมา พล็อตเรื่อง 'ดอกฟ้ากับหมาวัด' ก็ไม่ได้แปลกใหม่ซักเท่าไหร่แถมยังดูน้ำเน่าไปนิด (ใครเคยดู Notting Hill ปี1999 จะคุ้นเนื้อเรื่องนี้) แต่การหยอดรายละเอียดต่างๆในตัวละคร ทำให้ตัวละครออกมาดูสมบูรณ์แบบ รวมไปถึงตอบจบที่ทำได้ดีมากๆ เป็นบทสรุปของความรักต้องห้าม ที่ทั้งคู่ทำได้แค่เก็บไว้เป็นความทรงจำยิ่งทำให้หนังออกมาสมบูรณ์แบบขึ้นอีก

    นี่คือการแสดงที่ดีที่สุดของเจ้าหญิงตลอดกาลแห่งวงการฮอลีวูด ออเดรย์ เฮปเบิร์น
    ผมเชื่อว่าออเดรย์คือ หนึ่งในผู้หญิงที่สวยที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา เธอมีอิทธพลต่อการแต่งตัวของผู้หญิงในยุคนั้นเป็นอย่างมาก แฟชั่นต่างๆของออเดรย์เป็นที่จดจำ และทำให้ผู้หญิงทุกคนลุกขึ้นมาแต่งตาม ไม่รู้จะต้องเขียนยาวแค่ไหน หากจะต้องบรรยายถึงคนที่มีความสวยเป็นอมตะอย่าง Audrey Hepburn 
    บอกได้แค่ว่าออเดรย์ คือ 'ที่รัก' ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เปิดดู Roman Holiday เรามักหลงรักตัวละครใหม่ๆได้เสมอ ซึ่งผมก็หลงรักเจ้าหญิง Anne เข้าอย่างจัง จนเมื่อดูจบต้องรีบไปหาผลงานเรื่องอื่นๆของ
    ออเดรย์มาดูต่อทันที ซึ่ง Sabrina, Breakfast at Tiffany's, My Fair Lady ทั้ง 3 เรื่องนี้หนังคาสสิคที่ไม่ว่าใครก็ควรดูอย่างยิ่ง และยังพอหาดูได้ไม่ยากเกินไป แต่แน่นอนว่าคงไม่มีเรื่องไหนที่ออเดรย์จะกลายเป็นดาวเจิดจรัสได้ดีเท่ากับ Roman Holiday อีกแล้ว

    Roman Holiday ออเดรย์คือต้นแบบของ 'เจ้าหญิง' อย่างแท้จริง Princess Anne คือเจ้าหญิงของประเทศสมมติแห่งหนึ่งในยุโรป เธอมีใบหน้าหวานเปี่ยมเสน่ห์ ตาโตมีประกาย ขนตางอน คองามระหง ทรวดทรงบอบบางน่าทะนุถนอม มีบุคลิกขี้เล่นทะเล้น ซุกซนก๋ากั๋น ฉลาดเรียนรู้ไว กล้าเผชิญสิ่งใหม่ เป็นภาพของ 'เจ้าหญิง' ที่ดู real มีเสน่ห์ ติดตรึงใจ การใส่บุคลิกทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังของเจ้าหญิง ทำให้ตัวละครสะท้อนออกมาได้หลายด้าน ไม่ดูบอบบางเกินไป และมีความเป็น 'คน' อยู่สูง ออเดรย์ได้สร้างการแสดงที่ทำให้โลกได้รู้จักเธอ เธอเปล่งประกายแสงเจิดจรัส สะกดทุกชีวิตให้หันมามองความสวยและสง่างามของเธอ ซึ่งบทบาท Princess Anne ของ Audrey Hepburn ก็ทำให้เธอได้รับออสการ์สาขานักแสดงหญิงยอดเยี่ยมตัวแรกและตัวเดียวในชีวิตของเธอไปในที่สุด

    Princess Anne เป็นตัวละครที่มีความขบถอยู่ในตัวตั้งแต่ฉากเปิดเรื่อง เธอเป็นเจ้าหญิงรัชทายาทที่ต้องเป็นหน้าเป็นตาให้กับประเทศของเธอ เธอเดินทางเยี่ยมเยือนมาหลายประเทศ ทุกคำพูดของเธอมีผลกระทบต่อความมั่นคงของผู้คนของเธอ ทั่วโลกต่างจับตาการเคลื่อนไหวของเธอ ฉะนั้นเธอจึงถูกบีบให้อยู่ในร่องในรอย ทุกอย่างถูกจัดแจงให้เสร็จสรรพ ตั้งแต่อาหารการกิน เสื้อผ้าอาภรณ์ รวมถึงรูปแบบการพูดต่อสาธารณะ ก็ถูกตีกรอบไว้หมด เรียกว่าเธอไม่สามารถขัดคำสั่งอะไรได้เลย เธอเป็นเพียงตุ๊กตาที่ใช้ส่งสารต่างๆแทนราชวงศ์เท่านั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเธอยังเด็กและอ่อนต่อโลกภายนอก การเลี้ยงดูที่ตามอกตามใจก็คงไม่มีทางทำให้เธอโตเป็นผู้ใหญ่ได้ แต่สายตาของเธอซุกซนออกไปนอกปราสาทบ่อยครั้ง ทำให้เธอได้มองเห็นโลกที่เธอไม่เคยได้สัมผัส โลกที่ผู้คนเมามายไปกับเสียงเพลง โลกที่ความสุขเรียบง่ายเพียงแค่ได้ชิมกาแฟอร่อยๆซักแก้ว เมื่อเป็นแบบนั้นกรอบสี่เหลี่ยมเล็กๆที่ใช้ขังเธอในนามของ 'เจ้าหญิง' คงไม่แข็งแรงพออีกต่อไปที่จะรั้งเธอไว้ในโลกแคบๆใบเดิม

    เจ้าหญิงที่หนีออกมาจากปราสาทและตระเวนเที่ยวรอบกรุงโรม กับเรื่องราวที่ชวนฝัน
    สุดท้ายเจ้าหญิงก็หนีออกมาผจญภัยนอกปราสาท เพียงเพราะ 'ประสาทแดก' กับภารกิจแบบหุ่นกระบอกที่เธอต้องพบเจอในทุกๆวัน เธอเบื่อหน่ายเกินรับไหวจึงต้องการพาตัวเองหลบหนีจากหน้าที่หลักโดยไม่สนใจถึงผลกระทบที่ตามมาใดๆ แน่นอนว่าการหายตัวไปของเจ้าหญิงย่อมเป็นเรื่องใหญ่และเป็นผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ แต่เธอคิดเพียงว่าขอแค่ได้ 'หนี' จากวินาทีนี้ เรื่องอื่นจะเป็นไงค่อยว่ากัน จึงเป็นสิ่งที่พาเธอออกมาเจอโลกกว้าง ได้เห็นการเป็นอยู่ของผู้คน และได้เรียนรู้อะไรมากมายตามมา 

    So Happy ... So Happy 
    มีความสุขจังเลย ...

    นอกจากบทกวีและราชาศัพท์ เจ้าหญิงเอาแต่พูดประโยคนี้ แต่หลังจากที่เจ้าหญิงหนีออกมาได้ไม่นาน เธอก็เริ่มเมากับฤทธิ์ยาที่หมอฉีดไว้ก่อนหน้า เธอช่างดูมีความสุขเหลือเกินที่หนีออกมาได้ เป็นอิสระเพียงชั่วคราวในชีวิตที่แม้แต่เธอเองคงไม่คาดคิด เธอโซเซและล้มนอนข้างทางก่อนจะได้พบเจอกับชายผู้หนึ่งที่จะเปลี่ยนเธอไปตลอดกาล 

    Gregory Peck ในบทบาท Joe Bradley (โจ แบรดลี่ย์) นักข่าวสำนักพิมพ์หนึ่งของอเมริกาที่ต้องการเงินก้อนเพื่อจะพาตัวเองกลับไปใช้ชีวิตในนิวยอร์ค โจทำให้เรื่องอลวนอลหม่านขึ้น เพราะมั่นใจว่าตัวเองสามารถทำเงินก้อนโตจากการนำเรื่องราวลับๆของเจ้าหญิงไปขายเป็นข่าว โดยที่ไม่มีที่ไหนทำได้ (เพราะเจ้าหญิงหลงมาอยู่บ้านโจ) เจ้าหญิงคือลาภก้อนใหญ่สำหรับโจ เขาไม่ยอมปล่อยให้เจ้าหญิงกลับวังไปง่ายๆแน่ เขาจึงหลอกล่อให้เจ้าหญิงอยู่เที่ยวในโรมต่ออีกหนึ่งวัน ถือซะว่าเป็นวันพักผ่อน ซึ่งเจ้าหญิงเองก็ตกลงโดยไม่ยากเย็นเพราะใจจริงเธอก็ยังไม่อยากกลับไปในวังตอนนี้ เพียงแค่เธอลังเลที่จะต้องละทิ้งหน้าที่ ซึ่งเป็นเรื่องที่เธอไม่เคยปฏิเสธได้เลยตอนอยู่ในวัง

    โจต้องการทั้งเนื้อข่าว และภาพข่าว ซึ่งจำเป็นต้องใช้งานช่างภาพ Irving (เออร์วิง) ที่นำแสดงโดย Eddie Albert เพื่อนสนิทของตนมาถ่ายภาพให้ เออร์วิงเป็นบทบาทตัวตลกในเรื่อง ที่ดูกระโตกกระตาก เซ่อซ่าและไม่รู้ตาสีตาสา แต่เป็นเพื่อนที่ไว้ใจได้ (ไม่แน่ใจว่าเป็นสูตรของหนังยุคเก่ารึเปล่าที่จำเป็นต้องมีตัวตลกไว้ให้ครบองค์ประกอบเรื่อง) ซึ่งมีหลายฉากที่หนังสอดแทรกมุกตลกเจ็บตัวผ่านตัวละครนี้ และยังถือเป็นอีกตัวละครสำคัญที่เข้ามาช่วยให้บทพระเอกมีมิติมากขึ้น

    ฉากขี่เวสป้าชมเมืองในตำนาน หนึ่งในซีนสุดโรแมนติก
    ทั้ง 3 คนตระเวนเที่ยวกันรอบๆโรม โดยโจตั้งใจจะหาทางสร้างประเด็นเรื่องความรักให้กับเจ้าหญิง ในช่วงเที่ยวรอบเมืองจะมีซีนคลาสสิคที่ทำออกมาแล้วดูโรแมนติก อย่างซีนขี่เวสป้ารอบเมือง เรียกว่าเป็นฉากจำของเรื่องนี้เลยที่เดียว แม้ตัวละครทั้ง 2 จะรู้จักกันแต่ทั้ง 2 ฝ่ายก็ตั้งใจจะปิดฐานะของตนไว้เป็นความลับ แน่นอนว่าโจก็ไม่ต้องการให้เจ้าหญิงรู้ว่าตนเป็นนักข่าว ที่อาจทำให้เรื่องการหนีเที่ยวของเจ้าหญิงกลายเป็นข่าวในวงกว้าง และเจ้าหญิงเอง ไม่ต้องการให้ใครรับรู้ว่าเธอเป็นใคร (แม้ว่าตอนเมาจะพูดไปหมดแล้ว) การเดินทางได้ทำให้สายสัมพันธ์ของทั้งคู่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ความสุขทำให้โจเริ่มลืมแผนการที่ตัวเองตั้งไว้ จนกระทั่งเจ้าหญิงได้พูดกับเขาว่า โจเป็นคนที่งดงามมากในสายตาเธอ เธออยากรู้ว่าทำไมเค้าถึงยอมเสียเวลาหนึ่งวันทำเพื่อเธอขนาดนี้ คำพูดเหล่านี้ทำให้โจรู้สึกผิด รู้สึกละอายต่อความใสซื่อและบริสุทธิ์ใจของเจ้าหญิง เขาไม่กล้าเอ่ยความจริง ได้แต่บอกไปว่ามันเป็นสิ่งที่เค้าควรทำอยู่แล้ว ในวินาทีนั้นโจเริ่มรู้ตัวแล้วว่า ตัวเองได้วิ่งมาปะทะกับความรักเข้าอย่างจัง

    มาถึงจุดนี้ทำให้ผมนึกถึงหนัง My Week with Mariyn (2011) ซึ่งมีเนื้อหาในเชิงความรักที่เป็นความลับ เป็นเรื่องเล็กที่ยิ่งใหญ่เกินจะบอกให้โลกรับรู้ได้ หนังเลือกเล่าเพียงช่วงเวลาสั้นๆที่มีอิทธิพลต่อจิตใจ เป็นความทรงจำดีๆที่จะคงอยู่ในใจไปอีกแสนนาน

    ไม่มีใครรู้ว่าความรักมันเกิดขึ้นตอนไหน แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว มันจะไม่หายไป

    ทั้งโจและเจ้าหญิงรู้ตัวดีว่าความรักของทั้งคู่มันเป็นแค่เรื่องชวนฝัน ทั้งสองคนไม่มีทางรักกันได้ในความจริง โจไม่ได้มองว่าตัวเองต้อยต่ำแต่เค้าเลือกที่จะเก็บภาพความรักครั้งนี้ไว้ในกรอบรูปเพื่อชื่นชมมันมากกว่า เจ้าหญิงเองต้องกลับไปทำหน้าที่ของเธอ แม้จะไม่อยากกลับแต่เธอไม่อาจทิ้งหน้าที่ ที่เธอเคยเปรียบมันไว้ว่าเป็น 'งานประชาสัมพันธ์ ที่เมื่อทำแล้วจะลาออกไม่ได้' แต่การกลับไปครั้งนี้ เธอได้เติบโตมากขึ้น เธอได้รู้จักความรัก ความผิดหวัง ได้รู้จักโลก รู้จักผู้คนมากขึ้น และเธอไม่ใช่เด็กที่ต้องทำตามคำสั่งของคนสนิทอีกต่อไป เป็นอีกฉากที่สะท้อนถึงความเป็นเจ้าหญิงได้อย่างดีเยี่ยม เมื่อเธอได้เรียนรู้ว่าตัวเองเกิดมาเป็นใคร และหน้าที่ของเธอนั้นยิ่งใหญ่มากกว่าความรักของตน

    Were I not completely aware of my duty to my family and my country, 
    I would not come back tonight, or indeed, ever again.
    หากเราไม่ตระหนักถึงหน้าที่ของตน ต่อราชวงศ์และประเทศชาติของเรา
    คืนนี้เราคงไม่กลับมาแล้ว หรือไม่ก็ ตลอดไป

    ฉากจบที่เท่กินขาด เปลี่ยนนักข่าวธรรมดาๆคนหนึ่งให้กลายเป็นพระเอกสุดหล่อ
    Life isn't always what one likes.
    ชีวิตมันไม่เป็นอย่างที่เราชอบเสมอไปหรอก

    มันคงไม่ใช่ตอนจบแบบที่โจอยากให้เป็น แน่นอนว่าทุกคนรู้ว่า ความรักที่เป็นไปไม่ได้ จุดจบของมันเป็นอย่างไร ซึ่งโจก็เลือกที่จะเดินจากไปโดยไม่ลืมที่จะพูดความจริง เค้ายังซื่อสัตย์ต่อความรักของตนเองและยอมละทิ้งเงินก้อนโต หากมันย้อนมาทำร้ายความทรงจำของเค้า ซึ่งผมว่ามอง 'จบแบบนี้ดีที่สุด' ซีนที่โจเดินออกจากพระราชวังนั้นคงเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานมากสำหรับความคิดถึง ทุกย่างก้าวยิ่งทำให้รู้สึกว่าระยะห่างมันยิ่งไกลออกไป ข้างในใจยังคงสับสน มันเหมือนการบอกลาที่ไม่ได้พูดแม้แต่คำว่า 'ลาก่อน' ความคิดถึงสร้างความหวังลมๆแล้งๆ เป็นการบอกลาที่อยากให้เค้าหันกลับมามากที่สุด แต่การเก็บเรื่องราวไว้เป็นความทรงจำดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทั้งคู่ เพียงพึงระลึกไว้ว่า

    ...วันหนึ่ง ที่โรม เราเคยรักกัน


     คะแนนความอิน : 8.5 / 10


    - - - - --------------------------------------------- - - - - 

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in