เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
CinemaniaRED 8
เล่าหนังใหม่ : Under the Shadow (2016) : ผีอิสลาม กับ จุดจบของอิสรภาพ
  • หนังผีอะไรจะสะท้อนภาพการเมืองการปกครองได้มากขนาดนี้ นี่คือความรู้สึกจากการนั่งตกผลึกหลังจากดูหนังเรื่องนี้จบลง หากอยากดูหนังผีดีๆ มีชั้นเชิงในการเล่าเรื่อง มีเทคนิคการหลอกที่หลอนจนติดตา นี่คือหนึ่งในหนังผีที่มีคุณภาพที่ควรดูมากที่สุดในปีนี้ และอาจเป็นหนังผี 'อิสลาม' เรื่องแรกที่คุณเคยได้ดู

    ก่อนอื่นต้องบอกตรงๆว่า หนังผีแนวสยองขวัญที่แปลกหรือมีไอเดียสดใหม่เกิดขึ้นได้ยากมากในยุคนี้ เพราะเราจะเห็นได้ว่า หนังผีมันค่อนข้างตันและมีการทำแฟรนไชส์ซ้ำไปมาจนช้ำไปหมด คนดูเริ่มมีภูมิต้านทานกับรูปลักษณ์ความน่ากลัวแบบเดิมๆ การทำหนังผีในยุคนี้จึงเป็นอะไรที่ท้าทายอย่างมาก 
    ซึ่งใครที่สามารถหาไอเดียเล่าได้ใหม่กว่า ฉีกแนวมากกว่า และอยู่บนพื้นฐานที่คนดูสามารถผูกโยงภาพให้เกิดความหลอนได้ง่าย ก็มักจะเป็นหนังสยองขวัญที่คนดูให้ความประทับใจได้มากกว่า 

    แน่นอนว่า Under the Shadow สามารถตอบโจทย์หนังผียุคใหม่ และอาจเป็นจุดตั้งต้นของหนังผีอีกหลายๆเรื่องที่จะตามมาได้เป็นอย่างดี การหยิบเอาผีจากศาสนามาเล่น โดยเฉพาะการเอาผีจากศาสนาอิสลามที่ผู้คนไม่ค่อยคุณหน้าคุณตา หรือพูดว่า 'ไม่รู้จัก' เลยก็ว่าได้ เป็นอะไรที่แปลกแหวกใหม่ แต่หนังยังเพิ่มชั้นเชิงในการเล่าเรื่องให้เข้มข้นขึ้นไปอีก ด้วยตัวละครที่ดู 'นอกรีต' และเรื่องราวได้ดำเนินอยู่ในสภาวะของ 'สงคราม' ลองคิดดูว่า หนังสงครามที่ต้องวิ่งหนีระเบิด โดยมีตัวเอกเป็นตัวละครนอกรีต บวกกับผีอิสลามที่ตามหลอนอีก บรรยากาศของหนังจะอึดอัดและทรมานมากขนาดไหน

    อิสรภาพที่เคยสวมกอดกำลังถูกพรากออกไป ใช้สงครามปฏิวัติศาสนากำจัดผู้ที่เห็นต่าง

    หากเราจำภาพของปากีสถานยุคเก่าๆในหนังสือเรียนได้ นั่นคือภาพอันหอมหวานของความเจริญรุ่งเรือง เฟื่องฟูในศิลปะ มีความศิวิไลซ์ และมีเสรีภาพทางความคิด แต่สงครามที่ดูเหมือนไม่มีวันจบสิ้น ได้กินเวลาอย่างยาวนานถึง 8 ปี ค.ศ. 1980-1988 คือจุดเปลี่ยนอย่างไม่มีวันหวนกลับของประเทศปากีสถาน จากประเทศที่มีการปกครองอิงแบบจากตะวันตก ได้กลายมาเป็นประเทศรัฐแบบอิลสามที่มีธรรมเนียมเคร่งครัด อัลกุรอานกลายเป็นเหมือนกฎหมายสูงสุดของประเทศนี้ ในหนังเราจะได้เห็น propaganda ในรูปแบบรายการวิทยุเสียงตามสาย (เป็นที่นิยมในยุคสมัยก่อนมีโทรทัศน์) หนังกำลังบอกว่า propaganda เหล่านี้ได้เอื้อมมือมาถึงคนรุ่นนี้แล้ว เหมือนกับว่าโดนล้างสมองและพร้อมจะเข้าสู่รัฐอิสลามอย่างเต็มตัว ความทรงจำในอดีตที่หอมหวานภาพแห่งอิสระกำลังถูกลืม ผู้คนต้องยินยอมกับการเปลี่ยนแปลงประเทศเพราะขัดขืนอะไรไม่ได้ หากไม่สามารถทนการปกครองนี้ได้ ก็ต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศแทน และสุดท้ายก็ทำให้พวกตะวันตกกลายปีศาจร้ายในสายตาของพวกเค้า

    หนังหยิบยกสถานการณ์ช่วงปลายของสงคราม เพื่อที่จะสะท้อนให้เห็นภาพต่างๆระหว่างที่การปฏิวัติอิสลามได้เกิดขึ้นในยุคนั้น นั่นคือ 'ผู้หลงเหลือ' และ 'ลูกของอัลลอฮ์' ซึ่งผู้หลงเหลือ ในที่นี้หมายถึงคนกลุ่มน้อยที่เคยได้ทำความรู้จักกับความศิวิไลซ์ รู้จักศิลปะ หรือเรียกรวมๆว่า รู้จัก 'อิสรภาพ' มาก่อน ซึ่งในเรื่องนี้ก็มีทั้งผู้คนที่เติบโตมาจาก 'ยุคเฟื่องฟู' ที่ไม่พร้อมรับกับการกดขี่โดยการเข้ามาของการปกครองแบบรัฐอิสลาม และผู้ที่ปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อความอยู่รอด ไม่ต้องการจะเสี่ยงเพราะมีครอบครัวที่ต้องรับผิดชอบ อีกทั้งการขัดแย้งต่อคำสอนในอัลกุรอานถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรงถึงชีวิต 

    ส่วน 'ลูกของอัลลอฮ์' ที่ผมเรียกแบบนี้เพราะถือว่าเด็กที่เกิดมาในยุคนี้ เป็นเด็กที่เกิดบนแผ่นดินของอิสลาม  เด็กในยุคนี้จึงไม่ได้โอกาสที่จะสัมผัสถึงความเจริญรุ่งเรืองแบบตะวันตกของปากีสถาน เด็กมักถูกปลูกฝังความเชื่อเกี่ยวกับศาสนาผ่านความกลัว ยิ่งเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที่คนส่วนใหญ่ได้กลายเป็นพวกเคร่งครัดในคำสอนแล้ว เด็กก็ยากที่มีความคิดความเชื่อต่างจากนี้ไปได้ แถมทั้งคู่ยังเป็น 
    'ผู้หญิง' ซึ่งเมื่อประเทศกลายเป็นรัฐอิสลามแล้ว อย่างที่เรารู้ว่าผู้หญิงอิสลามจะโดนกดไม่ให้มีเสรีภาพทางความคิดและการแสดงออกมากเท่าผู้ชาย หนังได้สะท้อนให้เห็น การส่งไม้ต่อของผู้หญิงจากยุคสมัย หนึ่งไปสู่อีกยุค ซึ่งดูเหมือนว่าไม้ที่ส่งต่อจะไปไม่ถึง และนี่คือจุดจบอันน่าสิ้นหวังของอิสรภาพของประเทศปากีสถาน 

    เรามักคิดว่า คนแก่ต้องช้าและล้าหลัง เด็กต้องทันสมัยและมีอิสระ ทั้งหมดที่คิดจะสลับด้านกันในเรื่องนี้

    เพราะนี้คือ การปฏิวัติอิสลาม

    หนังไอเดียสดใหม่ เก็บได้ทุกรายละเอียด ทุกอย่างมีที่มาที่ไป เป็นพล็อตเรื่องที่อาจไม่มีใครทำซ้ำได้
    หนังเรื่องนี้จะเดินเรื่องด้วย 2 แม่ลูก ชิเดห์ (Narges Rashidi) และ ดอร์ซ่า (Avin Manshadi)  ทั้งคู่ต้องอยู่ในสภาวะของสงคราม อยู่ในที่ที่มีระเบิดเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ แต่ความยืดเยื้อของสงครามทำให้คนเริ่มคุ้นชินและเย็นชากับมัน ระเบิดดูจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร พฤติกรรมอย่างการติดสก๊อตเทปที่กระจกเพื่อลดการแตกกระจายหากโดนแรงระเบิด ดูเป็นเรื่องสามัญประจำวันที่ต้องทำกันปกติ

    ชิเดห์ เป็นพวกแนวคิดหัวเอียงซ้าย เธอต่อต้านการเข้ามาของอำนาจรัฐอิสลาม เธอพยายามศึกษาเล่าเรียนเพื่อที่จะได้เป็นหมอ ซึ่งเป็นความฝันของแม่เธอ แม้ว่าเธอจะเพิ่งตระหนักได้หลังจากที่แม่ได้ตายไป ในยุคสมัยที่เป็นศิวิไลซ์เธอได้รับเอาอิทธิพลจากตะวันตกมาเยอะ เธอตัดผมสั้นประบ่า ไม่คลุมฮิญาบ
    สวมเสื้อผ้าโชว์เนื้อหนังมังสา ในบ้านของเธอมีทีวีและเครื่องเล่นเทปวิดีโอ (ซึ่งการมีไว้ในครอบครองน่าจะผิดกฏหมาย เพราะในเรื่องพูดว่าถ้ามีคนรู้จะโดนตำรวจจับ) เธอชื่นชอบ การเต้นออกกำลังกายไปพร้อมกับวิดีโอออกกำลังกาย นอกจากนั้นยังมีวิดีโออื่นๆ เช่น MV ที่มีแวมไพร์ที่ลูกของเธอชอบดูอีกด้วย ซิเดห์เชื่อในวิทยาศาสตร์ เชื่อในสิ่งที่พิสูจน์ได้จริง เชื่อในหลักเหตุผล และแน่นอนเธอไม่เชื่อเรื่องผี 
    ซิเดห์เป็นผู้หลงเหลือมาจากยุคก่อนสงคราม การเข้าร่วมทางการเมืองส่งผลร้ายให้กับการศึกษาของเธอ ซึ่งดูเหมือนว่าหลังสงครามจบ เธอจะกลายเป็นพวกที่ 'เลือกข้างผิด' และเรื่องราวทั้งหมดก็ได้เกิดขึ้นเมื่อสามีของเธอ (เป็นหมอ) ถูกเรียกไปประจำการ ทำให้ ซิเดห์ และ ดอร์ซ่า ต้องอาศัยอยู่ห้องกันเพียง 2 คน วันที่มิสไซล์ตกลงบนหลังคาตึก ได้สร้างรอยแตกร้าวที่ไม่มีใครมาซ่อม การตกลงมาของมิสไซส์ลูกนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ? หรือเพราะ 'ญิน' ได้พัดพาหายนะมาสู่คนนอกรีตอย่างชิเดห์ที่มันค้นหาจนเจอ? หรือมิสไซล์ลูกนี้ต้องการบอกว่าหากไม่รีบกำจัด แกะดำจะนำหายนะชั่วร้ายมาสู่แกะขาวตัวอื่นๆ?


    ผีเกิดให้จากความกลัว และไม่มีที่ไหนที่ความกลัวเจริญงอกมากได้ดีเท่าที่นี่อีกแล้ว 


    หนังพาเราไปอยู่ท่ามกลางสงครามทำให้สติเหมือนรอวันระเบิด ความหวาดผวากลายเป็นความเครียดที่ถูกเก็บสะสมไว้ บรรยากาศของหนังจึงดูมืดมัว อึมครึม และกดดันอย่างหนัก หนังนำอารมณ์เราไปผูกกับตัวละครซิเดห์ที่ถูกแรงกดดันจากรอบด้าน ทั้งครอบครัว ความฝัน หรือแม้แต่ลูกสาวที่ร้องหาแต่ตุ๊กตาจนน่ารำคาญ และยังอึดอัดกับบ้านเมืองที่กดขี่ผู้หญิงจนกระดิกตัวแทบไม่ได้ ซึ่งการโผล่มาของ 'ญิน' ผีตามความเชื่อของอิสลาม (ในเรื่องบอกว่ามีในอัลกุรอาน) ยิ่งทำให้เรียกว่า 'เหนื่อยกับคน' แล้วยังต้องมา 'เหนื่อยกับผี' อีก

    สิ่งแรกที่ชื่นชอบในเรื่องนี้คือ 'ญิน' อย่างที่กล่าวไว้ข้างบนนู้นว่า เป็นผีที่มีความแปลกใหม่ ในหนังเล่าว่า 'ญิน' นั้นเกิดจาก 'ลม' แค่คิดก็เหนื่อยเพราะแค่ลมพัด ผีก็มา เรียกว่าไม่ปล่อยโอกาสให้ได้หายใจหายคอกันเลย ออกตัวก่อนว่าส่วนตัวแล้วผู้เขียนชื่นชอบหนังเรื่อง It Follows เป็นอย่างมาก ซึ่งญินก็เป็นผีที่มี freeform บางส่วนคล้ายกัน คือไม่ได้เป็นแค่ลมแต่สามารถปรากฎให้เห็นได้ในหลายรูปแบบ ไร้รูปร่างที่ขัดเจน ซึ่งหนังค่อยๆพาเราไต่ระดับความหลอนโดยการเล่นกับ apparition ของญินไปทีละขั้นๆ เรียกว่ายิ่งดูยิ่งหลอน ยิ่งดูยิ่งรู้สึกว่าแต่ละสิ่งที่โผล่เข้าฉากมาไม่มีอะไรที่ไว้ใจได้เลย หนังเล่นกับเสียงลม เสียงของหล่น เสียงประตูปิด นั่นแปลว่าตลอดทั้งเรื่องเราจะพบกับความเงียบที่ปกคลุมจนรู้สึกมวนท้อง การได้ยินแต่ละครั้งจะพาเอาใจหายและสะดุ้งโหยงได้ง่ายๆ หนังลำดับเนื้อเรื่องได้เป็นอย่างดี ไหลลื่นและไม่ลึกลับซับซ้อน ในระหว่างนั้นก็ทะยอยสร้างความกลัวให้กับเราได้อย่างไม่ทันได้ระวัง เทคนิค jump scare ที่ใช้ในหนังสยองขวัญยุคใหม่ก็เอามาใช้ได้อย่างไม่ฟุ่มเฟือย ไม่ใช่หนังผี 'ตุ้งแช่' ที่ใช้มุกหลอกคนแบบเดิมซ้ำๆจนน่าเบื่อ การตั้งใจแช่กล้องค้างไว้ในบางฉากก็ทำให้ลุ้นนานจน 'เยี่ยวเหนียว' แล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็กลายเป็น joke สไตล์หนังผีไปซะอีก รวมไปถึงตอนท้ายที่แสดงให้เห็นถึงการดิ้นรนหรือภาวะจำยอมอย่างไม่มีทางเลือก หนังสามารถหยิบยกประเด็นต่างๆที่ต้องการสื่อ สะท้อนออกมาในเรื่องนี้ได้เรียกว่า 'ครบทุกเม็ด' หนังที่ดีจึงมีรายละเอียดเยอะ แถมตอนจบที่แสบสัน ก็สามารถตีความเปิดให้คนไปคิดต่อกันได้อีก 


    There's no way out
    หรือจริงๆแล้วเธอควรจะเชื่อในอัลกุรอาน?



     คะแนนความอิน : 8.5 / 10


    - - - - --------------------------------------------- - - - - 

    ***จริงๆได้ดูเรื่องนี้มาหลายวันพอสมควร แล้วก็อยากเขียนให้คนได้อ่านกันไวๆด้วย เพียงแต่สถานการณ์ในประเทศทำให้ต้องชะลอการเขียนออกไปก่อน ตอนนี้ก็จะเริ่มทยอยเขียนให้อ่านกันเรื่อยๆนะจ๊ะ***
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in