เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
CinemaniaRED 8
รื้อหนังเก่า : ไซอิ๋ว 1995 : ขอให้เธอเป็นความรักครั้งสุดท้าย
  • หลังจากได้กลับมาดู ไซอิ๋ว 1995 หรือ ไซอิ๋วเดี๋ยวลิงเดี๋ยวคน ทั้ง 2 ภาคอีกครั้ง ผมกลับมองว่า 'นี่มันใช่หนังตลกจริงๆหรอ?' แม้ภาพจำในอดีตของผมที่มีต่อกับภาพยนตร์ไซอิ๋วชุดนี้ คือ เต็มไปด้วยเป็นความตลก และมุกที่ผ่านการคิดอย่างเหนือชั้น แต่การได้กลับมาดูรอบนี้ทำให้ผมเปลี่ยนภาพจำที่ตัวเองเคยมีในอดีตที่ได้เคยดูผ่านช่อง 7 สีโดยสำเนียงเสียงพากย์ของทีมอินทรีไปในมุมมองใหม่ เพราะกลับมองว่าความตลกเป็นเพียงตัวหลอก ความรักและความทุกข์ระทมนี่สิคือใจความที่แท้จริง (ผมขอไม่พูดถึงการ กลับมาของ ไซอิ๋ว ภาค 3 ในปีนี้ ที่ไม่มีโจวซิงฉือนะครับ เพราะถือว่าเป็นคนละซีรีส์กันแล้ว)

    อะ มันยังไง เล่าต่อเลย ..

    การดูรอบนี้ผมเลือกที่จะฟังภาษาจีนและอ่านซับไทยเอา เพราะผมพอจำอารมณ์การพากย์เสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของอินทรีได้ พลังอำนาจของการพากย์เสียงนั้นสามารถเปลี่ยนอารมณ์ของหนังทั้งเรื่องได้อย่างไม่น่าเชื่อ และการพากย์ของอินทรีหรือพันธมิตรเองก็ตามเป็นเสียงพากย์ที่โคตรจะมีอิทธิพลต่ออารมณ์ของหนัง เป็นมนต์เสน่ห์ที่โดนจริตของคนไทยได้อย่างไม่มีข้อโต้แย้ง แต่เมื่อจุดเด่นถูกโยกไปอยู่ที่เสียงพากย์ ก็อาจทำให้อารมณ์และความรู้สึกบางอย่างที่หนังต้องการจะสื่อออกมาโดนกลบหายไปอย่างน่าเสียดาย แน่นอนผมไม่ได้ต่อว่าทีมพากย์เพียงแต่บอกกับผู้ที่อยากจะลองกลับมาดูอีกครั้งว่า การไม่ฟังพากย์ไทยก็อาจทำให้คุณได้ค้นพบว่าหนังบางเรื่องนั้นมีอะไรมากกว่าแค่หนังตลก

    เพราะบางครั้งเรื่องเศร้า เราก็ไม่สามารถตลกได้



    A Chinese to Odyssey Part 1 : Pandora's Box 

    ไซอิ๋ว 95 เดี๋ยวลิงเดี๋ยวคน 1 : อะไรนะ! ข้าคือ เห้งเจีย?

    ดัดแปลงเนื้อเรื่องได้อย่างน่าทึ่ง ภาคนี้คือจุดเริ่มต้นของภาพยนตร์ 'ไซอิ๋ว' ที่เป็นตำนานมากที่สุด 

    ภาคนี้มีสิ่งที่น่าประทับใจคือ พล็อตเรื่องที่แปลกใหม่ การดัดแปลงบทประพันธ์ไซอิ๋วครั้งนี้ทำได้ดีอย่างลงตัว เรียกว่าลืมตำนานไซอิ๋วแบบเดิมๆไปได้เลย เพราะนี่ไม่ใช่เห้งเจียที่ตามรับใช้พระถังซัมจั๋งดั่งศิษย์อาจารย์ หรือ คอยตามปกป้องพระถังซัมจั๋งจากเหล่าปีศาจ แต่เป็นปีศาจลิงที่โอหัง ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ไม่รู้ฟ้ารู้ดิน และเป็นเห้งเจียที่คิดคบกับปีศาจกระทิงเพื่อเอาเนื้อของอาจารย์ตัวเองมากิน เรียกว่าเป็นหนึ่งในเห้งเจียที่เป็นชั่วช้าที่สุดเลยก็ว่าได้ 

    ความชั่วช้าของเห้งเจียได้ลอยไปถึงหูของเจ้าแม่กวนอิม จึงเกิดคำสั่งเด็ดขาดให้ลงโทษเจ้าปีศาจลิง จนเป็นต้นเรื่องที่ทำให้พระถังซัมจั๋งทำอัตวินิบาตกรรมเพื่อชดใช้ในสิ่งที่ลูกศิษย์ของตัวเองได้ทำลงไป การตายของพระถัมซังจั๋งได้ทำให้เง็กเซียนฮ่องเต้ตัดสินใจส่งเจ้าเห้งเจียมาเกิดใหม่ในอีก 500 ปีให้หลัง เพื่อให้สำนึกผิดและสละชีวิตเพื่อผู้อื่น พร้อมร่วมเดินทางไปอัญเชิญพระไตรปิฎกใหม่อีกครั้ง


    ไม่งงกันนะฮะ? งั้นไปต่อ ...


    ภาคนี้คือเรื่องราว 500 ปีถัดมาจากที่พระถังซัมจั๋งฆ่าตัวตาย เห้งเจียรับบทโดย โจวซืงฉือ ได้มาเกิดใหม่เป็นหัวหน้าโจรชื่อว่า จุนเป่า ที่ไม่มีความทรงจำว่าตนเองเคยเป็นเห้งเจียมาเมื่อ 500 ปีก่อน ในช่วงต้นของเรื่องตัวละครตัวนี้ช่างมีชีวิตที่ไร้แก่นสาร ดักคนปล้นฆ่าไปวันๆ โดยที่ทั้งตนเองและลูกสมุน (มี อู๋ม่งต๊ะ เล่นเป็นรองหัวหน้าโจร ที่ชาติก่อนคือตือโป๊ยก่าย) ล้วนเป็นคนบ้องตื้นกะโหลกกะลาไม่ต่างกัน

    และนี่เป็นจังหวะที่เหมาะเหม็งในการใส่แก๊กตลกที่เป็นจุดขายของเรื่องลงไป ซึ่งแน่นอนว่าทั้งโจวซิงฉือและอู๋ม่งต๊ะเป็นที่สุดของดาราตลก ไม่ว่าจะมุกเซ่อ, มุกเคลิ้ม หรือ มุกที่เล่นกันแบบเป็นตับ ก็สามารถเล่นกันได้แสบสันและกวนส้นตีนดีเหลือเกิน ที่สำคัญการถ่ายทำและลำดับภาพทำออกมาได้สมบูรณ์แบบ เรียกว่า 'จังหวะดี' โดยเฉพาะฉากในตำนาน 'บาทาพิฆาตไฟ' ที่มีการใช้เทคนิคถ่ายแบบ Crash-Zoom (นาทีที่ 1:41) หนึ่งในเทคนิคที่ Quentin Tarantino ก็ชอบใช้ เป็นการดึงเข้ารับหน้าแต่ละคนอย่างรวดเร็วเพื่อสร้างความตื่นเต้นและเน้นให้ผู้ชมดูการแสดงแบบเล่นหูเล่นตาโดยเฉพาะ

    มุกชุดที่มีการปูบางๆมาแล้ว 1 ครั้งตอนต้นเรื่อง และนี่คือสุดยอดฉากขยี้มุกในตำนาน

    ไม่ใช่แค่ฉากนี้ แต่มีอีกหลายมุกในภาคนี้ที่เรียกเสียงฮาจากคนดูได้โดนที่ไม่ต้องอาศัยเสียงพากย์อันยียวนเข้ามาช่วย เพราะเชื่อว่ามุกเหล่านี้ผ่านการคิดและคำนวณมาอย่างถี่ถ้วนแล้วว่ามันต้องไม่แป้ก เรียกได้ว่าในช่วงครึ่งแรกของหนังเป็นรัวมุกกันแบบเข้า-ออกไม่มีหยุด ถือเป็นความสำเร็จของคนคิดมุกที่มีความขยันและครีเอทมันออกมาได้อย่างสดใหม่

    เมื่อเข้าสู่กลางเรื่องอารมณ์ของหนังเริ่มเปลี่ยน การยิงมุกตลกเริ่มหยุดลง ตัวละครต่างๆถูกดึงกลับสู่เส้นเรื่องอีกครั้งพร้อมเผยบทบาทที่แท้จริงของตัวเองที่มีผลต่อการดำเนินเรื่องออกมา หลายตัวละครเริ่มมีบทบาทมากขึ้น โดยเฉพาะ จิงจิง จอมมารกระดูกขาวที่รับบทโดย คาเรน ม็อก เรียกว่าเป็นนางเอกของภาคนี้เลยก็ว่าได้ เพราะเมื่อ 500 ปีที่แล้วนั้นเห้งเจียเคยเป็นคนรักของแม่นางจิงจิงมาก่อน มิหนำซ้ำยังเป็นคนที่ทำให้นางชอกช้ำและผิดหวังในความรักอีกต่างหาก 

    ตัวละคร จิงจิง จึงเป็นตัวละครที่ดูโศกเศร้าและน่าสงสารที่สุดในเรื่อง เพราะตลอด 500 ปีที่ผ่านมานางไม่เคยตัดใจกับความรักที่นางมีต่อเห้งเจียได้เลย มาตอนนี้ก็ช่วยเหลือจุนเป่าจนตัวเองต้องตายเพราะเพียงเชื่อว่าเค้าคือเห้งเจียปีศาจลิงที่ตนยังคงรักอยู่เสมอมา การตายของจิงจิงได้เป็นเหตุให้จุนเป่าต้องใช้กล่องแสงจันทร์เพื่อย้อนเวลากลับไปช่วย แต่สุดท้ายกล่องแสงจันทร์ดันพาเค้าไปยังอดีตเมื่อ 500 ปีก่อน เพื่อพบว่าคนรักที่แท้จริงของจุนเป่าดันไม่ใช่จิงจิงซะอีก โลกช่างเล่นตลกกับคนบางคนที่ต่อสู้ด้วยชีวิตเพื่อความรัก เพียงแกล้งให้ความรักหันกลับมาฆ่าเค้าได้อย่างหน้าตาเฉย 


    ถ้าไม่ใช่ชะตาที่สวรรค์ลิขิตไว้ ชาตินี้ชาติไหน ก็ไม่มีวันได้รักกัน


    ภาคนี้น่าสงสารแม่นางจิงจิงซะจริงจริง .....


    คะแนนความอิน : 8.0 / 10


    - - - - --------------------------------------------- - - - - 


    A Chinese to Odyssey Part 2 : Cinderella 

    ไซอิ๋ว 95 เดี๋ยวลิงเดี๋ยวคน 2 : เพราะรัก จึงเจ็บปวด

    บทสรุปของการกลับชาติมาเกิด และตอบจบแบบ Happy Sad ระดับตำนาน


    ความสุขและความทุกข์ได้ลอยฟุ้งตลบอบอวลอยู่ในบรรยากาศของภาพยนตร์ไซอิ๋วภาคนี้ สุขปนทุกข์ถือเป็นอีกระดับของอารมณ์ที่ไม่ใช่หนังทุกเรื่องจะสามารถถ่ายทอดกันออกมาได้ง่ายๆ การถ่ายทอดอารมณ์ที่มีความซับซ้อนออกมาให้ผู้ชมได้สัมผัสได้แบบเช่นนี้ถือเป็นการยกระดับให้หนังกลายเป็นผลงานที่มีคุณภาพ ผมไม่อาจให้คำจำกัดความกับภาพยนตร์ภาคนี้ได้ด้วยคำว่า 'ดี' เพราะมันมีอะไรที่มากกว่านั้น เพียงแต่บอกได้ว่าไซอิ๋วภาคนี้เป็นหนึ่งในหนังที่ผมชื่นชอบมากที่สุด

    เอางี้ .. คืืออยากให้ทุกคนเห็นภาพตาม เลยอาจจะลงรายละเอียดตรงเนื้อหานิดนึง .. อะ เริ่ม ..

    ในตอนจบของภาคแรกจุนเป่าได้ถูกพาย้อนมา 500 ปี และได้เห็นหน้าค่าตาของแม่นาง จื่อเสีย ที่นำแสดงโดย จูอิน ทิ้งท้ายเอาไว้ มาในภาคนี้จื่อเสียก็คือจอมเทพสายใยคนรักที่แท้จริงของจุนเป่า และคือคนที่ทำให้จุนเป่ากลายเป็นเห้งเจียอีกครั้ง 

    จื่อเสีย เป็นไส้ตะเกียงของพระยูไลที่แปลงร่างหนีลงมาหาคู่บนโลกมนุษย์ นางมีวรยุทธและอิทธิฤทธิ์ มีฝีมือการต่อสู้ที่ร้ายกาจถึงขั้นรับมือกับเหล่าเทพที่มาตามจับตามตัวนางได้สบายมือ การรับบทเป็นจื่อ เสียของจูอินทำให้ตัวละครตัวนี้ออกมาดูฉลาดมีไหวพริบ จื่อเสียเป็นหญิงสาวจอมขี้เล่นยียวน นางมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ชวนให้หลงใหล แถมยังน่ารักสวยสดใสทรมานใจชาย แม้ใครเจอก็อดใจไม่ไหวที่จะหลงรักนางในทันที เป็นลักษณะของหญิงที่ทำให้ชายชาตรียินดีสร้างสงครามเพื่อแย่งชิงนางมาครอบครอง ที่สำคัญคือดวงตาของนางเต็มไปด้วยความหวัง ความหวังที่จะได้พบรักกับเนื้อคู่ที่ตนเองเฝ้าฝัน และเมื่อเธอได้รู้ว่าจุนเป่าคือเนื้อคู่ของเธอ เธอก็เลือกที่จะตกหลุมรักเค้าตามที่โชคชะตาฟ้าลิขิตเอาไว้ ในจังหวะนี้การแสดงของจูอินทำให้เราได้เห็นว่าเวลาที่ผู้หญิงมีความรัก เวลานั้นเธอจะมีพลังเพื่อต่อกรกับทุกสรรพสิ่ง และไม่กลัวซึ่งความตาย ดังที่เธอได้พูดเอาไว้ว่า


    "คนเรามีความรัก ถึงรู้ว่าเป็นกองไฟก็ยังเดินเข้าไป"


    จื่อเสียคือตัวละครนางเอกที่ลงตัวและสมบูรณ์แบบเอามากๆ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จุนเป่าจะพูดว่า 'คนแบบเธอหาได้ยาก' เมื่อครั้นที่เค้าต้องหนักใจกับคำถามที่ว่าตนเองรักใครกันแน่ระหว่างจิงจิงกับจื่อเสีย

    ย้ายมาดูมุมมองในภาคนี้ของจุนเป่ากันบ้าง... 

    จุนเป่ายังคงโง่เง่าเรื่องความรัก แม้ว่าการย้อนเวลาจะเลยเถิดมาเป็น 500 ปีก่อนหน้า แต่เค้ายังคงฝังใจกับภารกิจเดิมของตนเองอยู่ นั่นคือการช่วยเหลือแม่นางจิงจิงกลับไปและทำให้นางมีความสุข โดยเค้าเชื่อว่าสิ่งที่เค้ามีต่อแม่นางจิงจิงนั้นคงเรียกได้ว่ามันคือ ความรัก ทั้งๆที่จริงแล้วเค้าแทบไม่รู้จักมันเลยด้วยซ้ำ ในระหว่างนั้นเนื้อเรื่องก็เกิดความวุ่นวายอลหม่านขึ้น เพราะปีศาจกระทิงต้องการได้ตัวจื่อเสียไปเป็นศรีภรรยาน้อยของมัน

    เรื่องราวการแย่งชิงยังคงดำเนินต่อไป กว่าที่จุนเป่าจะรู้ตัวว่าตนเองรักใครเนื้อเรื่องก็เดินทางมาเกินครึ่งนึงซะแล้ว จุนเป่าพาตัวเองมานั่งครุ่นคิดอยู่ในถ้ำสายใยว่าเค้าควรจะเลือกใครดี ระหว่างจิงจิงกับจื่อเสีย ในเวลานี้มี 2 เหตุการณ์เกิดขึ้นพร้อมกันนั่นคือ 

    1. จุนเป่าได้เจอจิงจิงและขอจิงจิงแต่งงาน (เพราะเชื่อว่าการแต่งงานคือการจบสิ้นภารกิจที่จะทำให้จิงจิงมีความสุข ช่างเป็นความคิดของคนที่บ้องตื้นเสียจริงๆ) 
    2. จื่อเสียกำลังถูกปีศาจกระทิงจับเข้าพิธีแต่งงาน (โดยที่นางไม่มีแววตาที่กังวลแม้แต่น้อย เพราะนางเชื่อว่ายังไงคนรักของนางต้องขี่เมฆเจ็ดสีกลับมาช่วยนางอย่างแน่นอน นี่ก็มั่นสุดๆ)


    "ความรักเป็นเรื่องของธรรมชาติ ไม่ต้องคิด"


    สหายยาจกคนนึงได้กล่าวขึ้นหลังจากเขาเล่าให้จุนเป่าฟังว่าเมื่อคืนจุนเป่านั้นนอนละเมอเพ้อพบเป็นชื่อของผู้หญิงที่ชื่อจื่อเสียตลอดคืน ทั้งๆที่ตนเองก็กำลังจะเข้าพิธีแต่งงานกับจิงจิง แต่งานแต่งนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะจิงจิงรู้ดีว่าผู้หญิงที่จุนเป่ารักที่แท้จริงนั้นคือใครเธอจึงหนีหายไป (จิงจิงเข้าไปใน 'หัวใจ' และเห็นชื่อของจื่อเสียสลักไว้) จุนเป่าเริ่มสิ้นหวังและไร้ทิศทางในการไปต่อ แถมกลุ่มสหายยาจกที่เพิ่งสนิทกันก็โดนปีศาจแมงมุมฆ่าโดยไม่มีการลังเลใจ ซึ่งจุดนี้จุนเป่าเริ่มปลงตกและคิดได้ถึงเหตุผลของการเดินทางย้อนเวลาครั้งนี้ของเค้า

    มาถึงจุดนี้เนื้อเรื่องเริ่มไต่ระดับขึ้นอีกครั้งโดยการที่จินเป่าเริ่มเข้าใจในสัจธรรม  การกลับชาติมาเกิดในครั้งนี้ทำให้เค้าได้เรียนรู้ถึง 'ความรัก' 'ความแค้น' 'ความตาย' ชีวิตเค้าได้ทำเรื่องผิดต่อผู้อื่นไว้มากมายรวมถึงคนที่เค้ารักมากที่สุด

    "เมื่อก่อนข้าเคยมีความรัก แต่ไม่รู้จักทะนุถนอม 

    เมื่อเสียไปแล้วกลับเสียดาย โลกมนุษย์ช่างเจ็บปวดยิ่งนัก"


    นี่คือส่วนหนึ่งในประโยคอธิษฐานของจุนเป่าก่อนหน้าที่เค้าจะกลับเป็นเห้งเจีย ซึ่งคิดว่าเหตุผลหลักที่ทำเค้าตัดสินใจกลับเป็นเห้งเจียอีกครั้งคือ การปลงตกเรื่องสัจธรรมความรัก ตอนแรกผมคิดว่าเป็น 'ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์' ซึ่งมันไม่น่าจะตรงพอ เพราะอันที่จริงแล้วความรักก็เป็นสิ่งสวยงามแต่ 'ยิ่งรักมาก ยิ่งเจ็บปวดมาก' น่าจะเป็นสัจธรรมที่ตรงกับเนื้อเรื่องมากที่สุด แม้จะยังไม่ตรงกับไดอะล็อกของจุนเป่าเท่าไหร่ 

    จุนเป่าไม่อยากมีความรักอีกต่อไป เพราะความรักทำให้เค้าพบกับความเจ็บปวดเสียใจ โดยที่ได้มงคลสวมหัวจากเจ้าแม่กวนอิมไว้เป็นเครื่องเตือนสติ ว่าหากยามใดที่เค้ามีความรัก ให้ระลึกไว้เสมอว่ามันจะทำให้เค้าเจ็บปวด

    การกลับมาเป็นเห้งเจียผู้ทรงอิทธิฤทธิ์นั่นแปลว่าจุนเป่าได้หยุดความรักของตนไว้ที่แม่นางจื่อเสีย ทำให้เธอกลายเป็นความรักครั้งสุดท้ายของตน เค้าพร้อมที่จะละเรื่องทางโลก และไม่สามารถมีความรักได้อีกต่อไป ลืมอดีต ลบทุกอย่าง จะไม่มีผู้ชายที่ชื่อจุนเป่าอีกต่อไป

    เมื่อเห้งเจียคืนชีพก็มาก็รีบไปช่วยเหลือพระถังซัมจั๋งที่โดนปีศาจกระทิงจับไว้ในทันใด แต่ไม่มีโศกนาฏกรรมไหนที่ไม่มีการสูญเสียเพราะจื่อเสียได้ถูกปีศาจกระทิงแทงตายอย่างต่อหน้าต่อตา เห้งเจียผู้ที่ไม่สามารถรักใครได้ถึงกับกรีดร้องและเริ่มมีอาการคลุ้มคลั่งที่ต้องสูญเสียคนรักของตัวเองไป จื่อเสีย ลมหายใจอ่อนลงเธอกล่าวถึงคนรักของเธออย่างภาคภูมิใจว่า


    "ผู้ชายที่ข้ารัก ต้องเป็นคนองอาจ เค้าจะนั่งเมฆเจ็ดสีมารับข้าในงานวิวาห์ 

    ข้าทายถูกตั้งแต่ตอนต้น แต่ข้าไม่คาดฝันว่าจะจบแบบนี้ "


    ความรักของจื่อเสียช่างน่าเทิดทูน ลมหายใจของเธอสิ้นลง เห้งเจียร้องไห้เสียใจอย่างหนัก มงคลบีบรัดศีรษะจนดิ้นทุรนทุรายทำให้กรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง เค้าลงมือฆ่าปีศาจกระทิงด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความแค้น

    ในฉากนี้การแสดงของทั้งจูอินและโจวซิงฉือทำออกมาได้อย่างซาบซึ้งกินใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการจากไปของจื่อเสียเป็นอะไรที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลย บางทีเราอาจคิดว่าเราพร้อมที่จะบอกลาใครซักคน แต่มันต้องไม่ใช่เป็นแบบนี้ มันไม่ควรเป็นการจากลาที่ไม่มีวันได้หวนกลับมาแบบนี้ คนที่ตายไปแล้วต่อให้ตะโกนคำว่า 'คิดถึง' อีกกี่หมื่นกี่แสนครั้งก็ไม่อาจทำให้เราหายคิดถึงเค้าได้ ที่สำคัญคือเห้งเจียไม่สามารถแสดงความรักหรือเสียใจออกมาได้ อยากร้องไห้ให้อกแตกตายก็ยังไม่สามารถทำได้ มันคงเป็นการจากลาที่ ทรมาทรกรรมที่สุดในชีวิตของเค้าแล้ว

    ในขณะที่กำลังซึมซาบบรรยากาศของการสูญเสียอย่างช้าๆ ก็เหมือนถูกตบหน้าให้หันมอง เมื่อกล่องแสงจันทร์ได้เปิดออกอีกครั้งแล้วนำพาคณะเดินทางสู่ชมพูทวีปท่องอนาคตไปอีก 500 ปีข้างหน้า เห้งเจี้ยและชาวคณะกลับมาอยู่ในถ้ำสายใยอีกครั้งนึง เรียกเอาคนดูปรับอารมณ์ตามกันแทบไม่ทัน

    ถึงอย่างไรการกลับมาครั้งนี้ก็คุ้มค่าเพราะทำให้เห้งเจียได้พบกับ จื่อเสีย และ จุนเป่า ยืนทะเลาะกันอยู่กลางเมือง นี่คือโอกาสครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายที่เห้งเจียจะได้บอกลาแม่นางจื่อเสีย เค้าเลือกที่จะเข้ายึดร่างของจุนเป่าชั่วขณะเพียงเพื่อจะบอกความรู้สึกที่เค้าไม่สามารถแสดงออกมาได้ด้วยตัวเอง


    "ข้าอยากบอกเจ้ามานานแล้ว ว่าข้ารักเจ้า"


    เห้งเจียเก็บจุมพิตและกอดสุดท้ายของจื่อเสียเอาไว้ ก่อนเดินจากไปตลอดกาล


    คะแนนความอิน : 9.0 / 10


    - - - - --------------------------------------------- - - - - 

    *** ภาคสองนี่ความสนุกอยู่ที่การร้อยเรียงเนื้อหาสลับไปมา และตอบจบระดับตำนาน ซึ่งพอผมเขียนไปเขียนมามันดันกลายเป็นการเขียนบรรยายบทหนังไปซะอย่างงั้น ผู้อ่านสามารถ comment ด่าด้านล่างได้เลยครับว่า 'มึงเขียนแบบนี้ ให้กูเปิดดูเองง่ายกว่า' ***

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
คือทีแรกผมเข้าใจว่าตอนที่กล่องแสงจันทร์เปิดในครั้งที่ 2 นั้น(คือครั้งที่กล่องแสงจันทร์เผอิญเปิดขึ้นพอดีตอนช่วงที่หงอคงปราบปีศาจวัวได้) ทำให้ย้อนอดีตกลับมายังช่วงที่ตอนหงอคงร่างมนุษย์(จุนเป่า)กับจื่อเสียเพิ่งได้รู้จักกันใหม่ๆ และเริ่มเดินทางด้วยกัน คือเหมือนจะย้อนเวลากลับมาแก้ไขอดีตที่ตนเองไม่เคยจูบและไม่เคยบอกรักจื่อเสียอย่างจริงใจเลยสักครั้งเดียว ทั้งๆที่ตอนนั้นจื่อเสียพยายามแสดงความรักต่อหงอคงร่างมนุษย์(จุนเป่า)ตลอด ... ทีแรกผมเข้าใจว่าอย่างนี้น่ะ แต่พอดูเนื้อเรื่องดีๆ ตอนที่หงอคงเดินออกมาจากถ้ำ แล้วมีชาวบ้านคุยกันว่าเมื่อ 500 ปีที่แล้วหงอคงปราบปีศาจวัวได้ งั้นก็แสดงว่ากล่องแสงจันทร์ได้นำมายังอนาคตอีก 500 ปีแน่ๆ แล้วไหงจุนเป่ากับจื่อเสียถึงได้มามีตัวตนในอนาคตอีก 500 ปีนี้ได้กว่า หรือว่าจะเป็นการกลับชาติมาเกิดใหม่ของทั้งคู่ครับ
คือผมสงสัยว่าตอนที่กล่องแสงจันทร์เปิดครั่งที่ 2 นี่นำไปสู่อนาคตอีก 500 ปี แล้วอนาคตตอนที่มาอยู่ในอีก 500 ปีแล้วเนี่ย จุนเป่ากับจือเสียที่เป็นคนในยุคช่วงอดีต500 ปีที่ผ่านมา ก็คือช่วงที่ทั้งสองเพิ่งได้รู้จักกันและได้ร่วมเดินทางด้วยกันจนกระทั่งต้องมาพรากจากกัน ทำไมถึงมามีตัวตนในยุคอีก 500 ปีถัดมาได้หล่ะครับ