ถ้าพูดว่า A Chinese Ghost Story หลายคนคงไม่คุ้นหู แต่ถ้าพูดว่า โปเยโปโลเย ต่อให้ไม่เคยดูก็ต้องเคยได้ยินคำๆนี้แน่นอน ความทรงจำอันเลอะเลือนของผมจำได้เพียงว่า มันเป็นคาถาที่ใช้ปราบผี แต่ก็คงไม่แปลกที่จะจำไม่ได้เพราะภาคแรกออกมาตั้งแต่ผมยังไม่เกิดด้วยซ้ำ
ขอคุยก่อนนิดนึง ...
คือ ผมมีโอกาสได้กลับมารื้อหนังจีนเก่าๆดูอย่างไม่ยอมหลับยอมนอน เพราะว่าช่วงที่ทำงานโฆษณาไม่มีเวลาว่างให้ได้ดู บวกกับตอนเล่น Facebook แอบไปเห็นไฟล์ Gif แก๊กตลกของ
โจวซิงฉือ ในเรื่องไซอิ๋ว กับฉากคลาสสิค ดับไฟที่ไหม้ผ้าเตี่ยวด้วยมรสุมส้นตีน เป็นช็อตที่เห็นแล้วรู้สึกว่า เห้ย! ทำไมเราลืมแก๊กพวกนี้ไปวะ แก๊กตลกแบบจีนก็เป็นอะไรที่คนไทยชอบ แล้วเราก็น่าเอามาใช้ในการคิดงานของเราได้ด้วย เออ! เมื่อคิดแบบนั้นรู้ตัวอีกทีหนังของโจวซิงฉือมากเท่าที่จะหาได้ก็มากองตรงหน้าตัวเอง! แม้ตอนแรกจะคิดว่าดูเพื่อเอามาทำงาน แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นลาออกมานั่งดูหนังแทนซะงั้น
... แล้วเกี่ยวอะไรกับโปเยโปโลเยวะ?
อะ ขอโทษ เอาเป็นว่าเพราะหนังของเฮียโจวนั่นแหละ เป็นจุดเริ่มต้นให้ตัวเรากลับมาตั้งใจดูหนังจีน และฮ่องกง (สำเนียงคุณติงลี่โฆษณาแบรนด์) ใหม่อีกครั้ง แม้บางเรื่องจะเคยดูตั้งแต่สมัยเด็ก หรือ ผ่านหูผ่านตาจากช่อง 3 ช่อง 7 แต่วันนี้เราจะกลับมาตั้งใจดู และลิ้มรสชาติของหนังจีนแบบละเมียดละไมกันอีกครั้ง แต่ต้องบอกก่อนว่า โปเยโปโลเย ไม่ใช่เรื่องแรกที่ผมเลือกดู แต่กลับเป็นเรื่องท้ายๆเพราะเคยดูและคิดว่าตัวเองยังพอจำเนื้อหาบางส่วนได้ ส่วนตัวมองว่า โปเยโปโลเย เป็นหนังที่เริ่มดูได้ไม่ยาก คือ เปิดดูได้เลย ไม่ต้องรอมีฟีลหว่อง หรือ ต้องรออยากดูถึงจะเปิดดูได้ วันนี้เรามาเปิดดูหนังผีสาวสุดสวยเมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้วไปพร้อมกัน แล้วมาดูกันว่าหนังเรื่องนี้จะนำพาเราไปแตะกับความรู้สึกส่วนไหนได้บ้าง .....
โปเยโปโลเย 1987 - ผีสาวผู้อาภัพ
ฉี เคอะ ใช้ผีสาวสุดสวย หวังจู่เสียน เพื่อมัดใจคนดู และบอกได้เลยว่านี่คือ โคตรของโคตรได้ผล
การเริ่มต้นดูโปเยโปโลเยภาคแรกในรอบนี้ ทำให้ผมตกใจอยู่พอตัว ผมรู้สึกชอบมันแหะ ชอบมากเลยด้วย ไม่แปลกใจที่เป็นหนังดีและดังพลุระเบิดมากในยุคสมัยนั้น เพราะขนาดดูในปีนี้ผมเองยังไม่รู้สึกว่าหนังมันเก่าเลยซักนิด การดำเนินเรื่อง ลำดับภาพ ตัวละคร เพลง ทุกอย่างได้ซึมเข้าไปอยู่ในลิสต์หนังในดวงใจของผมอย่างง่ายดาย
เนื่องจากเรื่องราวของ โปเยโปโลเย นั้นมาจากนิยายของ ผูซงหลิง ที่แต่งขึ้นในสมัยราชวงศ์ชิง ผมไม่มั่นใจว่าหนังจะเดิมตามภาพของผู้เขียนมากน้อยแค่ไหน แต่เชื่อว่างานเขียนนั้นต้องทรงคุณค่าอย่างมากอยู่แล้ว ด้วยพล็อตเรื่องราวความรักของคนและปีศาจที่ไม่น่าลงเอยกันได้ บวกกับพลังอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ที่แค่คิดก็สนุกแล้ว โดยผู้สร้างหนังได้เข้ามาหยิบยกงานเขียนชิ้นนี้และสร้างมันออกมาเป็นภาพยนตร์ที่โด่งดังได้อย่างไร้ที่ติ
ผี ปีศาจ อิทธิฤทธิ์ กำลังภายใน ทำให้เรื่องพวกนี้ออกมาโรแมนซ์ได้นี่แม่งสุดยอด
โปเยโปโลเยภาคนี้ สามารถนำทางให้อารมณ์รัก ห่วงหา และคิดถึงวิ่งผ่านได้ดีกว่าที่คาด โดยเฉพาะการรับบท เสี่ยวเชี่ยน ของ หวังจู่เสียน เธอทำให้ตัวละครเสี่ยวเชี่ยนนั้นเปร่งแสงอันเย้ายวนออกมาจากเงามืดที่ต้องตกอยู่ภายใต้อาณัติของปีศาจต้นไม้ ความสวยงามของเธอราวกับต้องมนต์เสน่ห์ เป็นดั่งเวทย์มนต์ที่ล่อลวงให้ชายทุกคนต้องหลงใหลอย่างไม่ลืมหูลืมตา แต่กลับกันดวงตานั้นของเธอได้แสดงให้เห็นถึงความบอบบางที่ซ่อนอยู่ภายใน เธอเป็นเหมือนแจกันร้าวที่ต้องการให้มีใครสักคนมาสะกิดให้ตัวเธอได้แหลกสลายไป โดยที่เธอไม่เคยคิดว่าชีวิตจะมาเจอกับคนที่ต้องการโอบอุ้มแจร้าวๆใบนี้ ซึ่งหวังจู่เสียนได้ทำให้ตัวละครตัวนี้ออกมาสมบูรณ์แบบมากๆ
อย่างที่หัวข้อเขียนไว้ว่าผีสาวผู้อาภัพ ตัวละครเสี่ยวเชี่ยนในภาคนี้เป็นอะไรที่น่ารันทดอดสูมาก ตอนนางมีชีวิตก็ไม่ได้ตายอย่างคนปกติ ในตอนเป็นปีศาจก็โดนบงการให้ทำในสิ่งที่ทรมาณจิตวิญญาณของตน ในฉากนึงเธอได้พูดข้อความที่ผมรู้สึกชอบมากๆ คือฉากที่หนิงไฉ่เฉิน (พระเอก) บอกกับนางว่า เขาไม่เชื่อใจนางที่เป็นปีศาจ นางจึงร่ำไห้และเอ่ยกับเขามาว่า
"คนบางคนน่ากลัวกว่าผีหลายเท่า พวกนั้นสามารถทำให้เจ็บแสบได้มากกว่าผี ผีบางตัวยังไม่สามารถระบายความโศกเศร้าออกมาได้เลย"
ต้องยอมรับเลยว่าประโยคนี้คือประโยคที่เสี่ยวเชี่ยนใช้ระบายออกถึงชีวิตหลังความตายอันแสนอาภัพของเธอได้อย่างดีเยี่ยม
..... ดูเหมือนผมจะเทใจไปให้แม่นางเสี่ยวเชี่ยนมากซะจนเกือบลืมพูดถึงพระเอกของเรื่องไปเลย
หนิงไฉ่เฉิน ตัวละครพระเอกผู้มีจิตใจดีงามได้ เลสลี่ จาง สุดยอดดาราเจ้าบทบาทมาเล่น หนิงไฉ่เฉินคือบัณฑิตหนุ่มไส้แห้ง ที่ไม่ได้ฉลาดหลักแหลมแถมชอบคิดอะไรบ้องตื้น มีนิสัยไม่รู้ตาสีตาสาและชอบพาตัวเองไปในสถานที่ๆไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวอยู่เสมอ แต่หนิงไฉ่เฉินเป็นคนมีจิตใจดีนอบน้อมชอบช่วยเหลืออาจดูเป็น 'เด็กเลี้ยงง่าย' ในสายตาผู้ใหญ่จึงทำให้เค้ามักได้รับการช่วยเหลือจากผู้อาวุโสอยู่เสมอ เอาจริงๆ คือ ชีวิตของหนิงไฉ่เฉินดูไร้จุดหมายปลายทาง เพียงแต่โชคชะตาเล่นตลก พัดพาเค้าไปหลงรักผีสาวตนนึงเข้าอย่างหัวปักหัวปำ ซึ่งบทบาทนี้ก็ไม่ได้ยากเกินไปสำหรับ เลสลี่จาง อยู่แล้ว
ความรักของหนิงไฉ่เฉินเป็นอะไรที่ดูฉาบฉวยเอามากๆ เพราะถ้าลองนับกลางวันกลางคืนดูแล้ว เวลาที่ หนิงไฉ่เฉิน กับ เสี่ยวเชี่ยน ได้พบรักกันตั้งแต่ยังไม่รู้ว่าเป็นผี จนช่วยพาเธอไปเกิดใหม่ได้ ทั้งหมดแล้วน่าจะรวมเป็นเวลาแค่ประมาณ 5 คืนเท่านั้น แต่ในระหว่าง 5 คืนนั้นก็ถือเป็นบททดสอบความรักชั้นดีให้กับทั้งคู่ ที่ต้องพบกับการต่อสู้มากมายแต่พวกเค้าก็สามารถเอาตัวรอดออกมาจากอุปสรรคเหล่านั้นได้ทุกครั้ง นั่นคือเหตุผลที่ 5 คืนก็อาจเพียงพอที่จะบ่มความรักให้สุกงอม เพราะยิ่งลำบาก ยิ่งหมดหวัง ก็ยิ่งทำให้รู้ว่าใครคือคนที่รักเรามากที่สุด
แม้ว่าเงื่อนไขความรักของเรื่องนี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่ก็บอบช้ำหัวใจกันแบบสุดๆ เพราะหนิงไฉ่เฉินต้องแบกรับกับความรู้สึกที่ตนมีต่อเสี่ยวเชี่ยน ทั้งๆที่ได้รู้ว่าเธอนั้นเป็นภูตผีปีศาจ ที่สุดท้ายแล้วไม่อาจอยู่ร่วมสุขกับตนได้ตลอด ทางเดียวคือการปล่อยให้เธอไปสู่สุขคติแล้วรอให้เธอกลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง ถือเป็นการ Overclaim พลังของความรักได้แบบยิ่งใหญ่สุดๆ เหมือนกับว่า
ความรักทำให้อะไรที่เป็นไปไม่ได้, เป็นไปได้
เราไม่อาจรู้ได้ว่าหนิงไฉ่เฉินจะยอมรับได้ไหม หากรู้ว่าความเป็นไปได้บางที ก็มีโอกาสเท่ากับศูนย์ ชวนให้นึกถึงคำพูดสุดท้ายที่เสี่ยวเชี่ยนได้ทิ้งไว้ ช่างเป็นคำที่คุ้นเคย คำที่เต็มไปด้วยความห่วงใย และเป็นคำที่มาพร้อมการจากไปแบบไม่มีวันกลับมา
"รักษาตัวด้วย"
เสี่ยวเชี่ยนกล่าว ก่อนหายไปกับแสงยามเช้า โดยที่หนิงไฉ่เฉินไม่ทันแม้จะหันมามอง
คะแนนความอิน : 8.5 / 10
- - - - --------------------------------------------- - - - -
โปเยโปโลเย 1990 - ความหวังลมๆแล้งๆ
ภาคต่อที่กลับเข้าสู่รูปแบบหนังจีนอิทธิฤทธิ์ปราบผีทั่วไป เนื้อหาง่ายๆ เข้าถึงคนดูทั่วไป
ขอเกริ่นก่อนว่าผมจะเขียนถึงโปเยโปโลเยทั้งภาค 2 และ 3 แบบเรียบๆเท่านั้น เนื่องจากทั้ง 2 ภาคที่เหลือไม่อาจสร้างความประทับใจในแบบเดียวกับที่ภาคแรกทำได้ เพราะมันกลายเป็นหนังผีในแบบที่ไม่โดนใจผมซักเท่าไหร่
แล้วแบบนี้ควรดูทั้ง 3 ภาคเลยไหม?
แน่นอนว่าภาคแรกควรดู 1000% เพราะคุณจะหลงรักบรรยากาศที่เป็นเสน่ห์ของหนังอย่างอิ่มเอม แต่หากคุณต้องการรู้เรื่องราวความรักในตอนจบของหนิงไฉ่เฉินภาค 2 ก็คงพลาดไม่ได้ ส่วนภาค 3 นั้นเนื้อหาจะเป็น 'คนละเรื่องเดียวกัน' ที่ไม่มีความต่อเนื่องจากภาคก่อนๆ แต่ถ้าหากคุณชื่นชอบการแสดงรวมไปถึงรูปโฉมความงามของหวังจู่เสียนภาค 3 นี่ถือเป็นเซอร์วิสสำหรับแฟนๆเลยก็ว่าได้ ถึงอย่างไรภาพยนตร์ชุดทั้ง 3 ภาคนี้ก็ควรค่าแก่การรับชม ด้วยเสน่ห์ของแต่ละภาคที่แตกต่างกันไป คุณจะไม่รู้สึกเสียเวลาที่ได้รับชมโปเยโปโลเยของ ฉี เคอะ อย่างแน่นอน
ส่วนเนื้อเรื่องของภาคนี้ ถูกดำเนินด้วยความหวังลมๆแล้งๆ ของหนิงไฉ่เฉินไม่สามารถลืมเสี่ยวเชี่ยนได้ลง ซึ่งในภาคนี้ หวังจูเสียน ก็ยังคงมีบทบาทอยู่ เพียงแต่เธอได้กลายเป็นผู้หญิงที่ชื่อ ฟู่ชิงฟง ทายาทตงฉิน ลูกสาวคนโตของเจ้าพิธีการฟู่เทียนโฉว ใบหน้าที่คล้ายกับเสี่ยวเชี่ยนของเธอ ทำให้หนิงไฉ่เฉินละเมอเพ้อพบคิดว่าเธอคือเสี่ยวเชี่ยน แต่เธอไม่มีทางใช่ และไม่มีวันใช่
ความน่าสนใจของภาคนี้ คือ บ้านเมืองที่ลุกเป็นไฟ เพราะราชวงศ์ถูกชักใยด้วยอำนาจของปีศาจทรงพลังที่มาในรูปลักษณ์ของราชครูผู้มีบุญบารมีสูงส่ง ซึ่งเป็นภาพลักษณ์ที่ขัดกับปีศาจอย่างแท้จริง ซึ่งผมถือว่าแนวคิดในการสร้างตัวละครปีศาจตนนี้ขึ้นมาเป็นอะไรที่น่าสนใจมากสำหรับภาคนี้
หากวันใดที่ผีไม่กลัวพระ จนสามารถแสร้งเป็นพระที่น่าเลื่อมใสได้ เวลานั้นบ้านเมืองจะลุกเป็นไฟ
ตัวละคร ราชครูผู่ตู้ จึงเป็นตัวอย่างที่ดีของความ 'เปลือกปลอม' ภาพลักษณ์อันน่าเลื่อมใสของเค้าเป็นเพียงกลอุบายที่ใช้หลอกล่อคนให้เข้ามาติดกับได้อย่างง่ายดาย ราชครูผู่ตู้กลายเป็นศูนย์กลางที่ทุกคนมองว่าสามารถพึ่งพาได้ทุกสิ่ง แม้ไม่เคยเห็นหน้าค่าตาก็ตาม กิตติศัพท์ที่เลื่องลือเป็นเพียงข่าวลือที่ฟุ้งกระจายไปทั่วแผ่นดิน เป็นตัวละครที่ดูสะท้อนกับผู้คนทุกยุคทุกสมัยที่นิยมการมองคนเพียงรูปลักษณ์ภายนอกรวมถึงการนับถือคนเพียงเพราะชื่อเสียงเรียงนามที่ได้ยินมา พระอาจไม่ได้แปลว่าเป็นคนดี คำว่า 'คนดีมีบุญบารมี' ต่างหากที่เป็นกลอุบายหลอกล่อผู้คนให้มาเลื่อมใสตนเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง
ในเรื่องความรัก น้ำหนักจะถูกเทมาที่หนิงไฉ่เฉินอย่างที่กล่าวไปข้างต้น เป็นความซื่่อสัตย์ที่เลือกจะจมปลักกับความรักที่ตนเคยมี เพราะบางส่วนของหัวใจยังปฏิเสธที่จะยอมรับว่าเสี่ยวเชี่ยนได้ไปเกิดใหม่แล้ว ความหวงหาความคิดถึงที่เขามีถูกสะท้อนออกมาเหมือนเสี่ยวเชี่ยนเป็นสิ่งที่คอยหลอกหลอนตัวเค้าแม้ในยามที่มีสติและยามที่ไร้สติ การได้พบกับฟู่ชิงฟงหลังจากเสี่ยวเชี่ยนจากไปไม่นานจึงเกิดเป็นความหวังลมๆแล้งๆ ทีี่หวังให้ฟู่ชิงฟงเป็นเหมือนคนๆเดียวกับเฉี่ยวเชี่ยน แน่นอนว่าคนสองคนไม่มีทางเหมือนกันได้ต่อให้รูปร่างหน้าตาจะเหมือนกันแบบไร้ความต่างก็ตาม นี่ถือเป็นบททดสอบชั้นดีให้กับหนิงไฉ่เฉิน ว่าเค้าจะสามารถเริ่มต้นใหม่กับผู้หญิงคนใหม่ที่ไม่ใช่เฉี่ยวเชี่ยนแต่พร้อมจะทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้กับเค้า หรือเค้าจะเลือกจมปลักกับความรักที่ตามหลอกหลอนตัวเค้าอยู่ตลอดเวลา
"คนเรานั้นลืมง่าย ไม่ว่าทำอะไรไม่นานก็ผ่านไปเหมือนสายลม ไม่มีใครจำได้"
เป็นประโยคที่ท่านจอมยุทธผู้เริ่มตำนานโปเยโปโลเยได้กล่าวเพื่อปลอบใจหนิงไฉ่เฉิน
"'การลืมเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี? งั้นเราควรมีหวังไหม?"
หนิงไฉ๋เฉินกล่าว ก่อนเหลือบไปเห็นฟู่ชิงฟงในชุดเจ้าสาวบนหลังม้าที่เชิงเขา
คะแนนความอิน : 7.0 / 10
- - - - --------------------------------------------- - - - -
โปเยโปโลเย 1991 - การเปลี่ยนใจของปีศาจ
การเปลี่ยนพระเอกจาก เลสลี่จาง สู่ เหลียงเฉาเหว่ย กับเนื้อเรื่องที่เป็นคนละเรื่องกับภาคก่อน
ยอมรับว่าช่วงต้นเรื่องที่เปิดดูภาคนี้เกิดอาการ แอบงง และรู้สึกว่านี่เป็นภาคที่ตัวเองไม่คุ้นเคย และน่าจะไม่เคยได้ดูมาก่อน เริ่มตั้งแต่บทพระเอกที่เปลี่ยนจากบัณฑิตไส้แห้ง หนิงไฉ๋เฉิน มาเป็น ซื่อฟาง หลวงจีนน้อยจอมกะล่อนที่ดูไม่มีความเป็นหลวงจีนแม้แต่น้อย รับบทโดยดาราอมตะ เหลียงเฉาเหว่ย มาจนถึงนางเอกที่ยังคงเป็น หวังจู่เสียน ได้รับบทเป็น เสี่ยวจั๋ว ปีศาจสาวที่แทบจะเหมือนเสี่ยวเชี่ยนทุกกระบิ ซึ่งเนื้อเรื่องจะไม่เกี่ยวข้องกับภาคที่ผ่านๆมา โดยผมจะถือว่าภาคนี้เป็นจักรวาลคู่ขนานของตัวละครเสี่ยวเชี่ยน พูดแบบนี้จะเข้าใจได้ง่ายกว่า
ภาคนี้เป็นภาคที่ดูเหมือนพยายามจะเดินตามรอยของภาคแรกที่ประสบความสำเร็จอย่างมหาศาล แต่ไม่สามารถไปถึงจุดนั้นได้เพราะตัวหนังเองไม่มีความเด่นชัดในการแสดงจุดยืนของตัวเอง ไม่สามารถบอกได้ว่าจุดพีคของภาคนี้คืออะไร พล็อตก็พล็อตเดิม นางเอกก็คนเดิม มีหลายฉากที่เน้นเซอร์วิสมาก (เลิฟซีน + วับๆแวมๆ) และอีกหลายฉากที่ไม่มีความหมาย ไม่จำเป็นต้องทิ้งแช่นานขนาดนั้น
สิ่งเดียวที่พอจะเก็บเอาไปคิดเล่นได้ในภาคนี้คือเรื่องของการเปลี่ยนใจ ซึ่งภาคนี้ดูเหมือนว่า เสี่ยวจั๋ว จะเป็นปีศาจที่ดูสนุกสนานในการฆ่าฟันและกลั่นแกล้งผู้คนมากกว่าเสี่ยวเชี่ยนในภาคก่อน นางทำทุกสิ่งเพื่อให้ปีศาจต้นไม้พอใจ ในหมู่ปีศาจด้วยกันก็มีการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ซึ่งเสี่ยวจั๋วก็เป็นถึงลูกรักอันดับ 1 ของปีศาจต้นไม้ซะด้วย เรียกได้ว่าตัวละครเสี่ยวจั๋วนั้นไม่ได้แสดงความน่าสงสารหรือสำนึกผิดออกมาเลยซักนิด
ในช่วงต้นของเรื่องเธอจะต้องพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อให้หลวงจีนน้อยซื่อฟางมาหลงเสน่ห์ของตนเองให้จนได้ ด้วยจุดประสงค์หลักคือการล่อมาฆ่าตามคำสั่งของปีศาจต้นไม้ เพียงแต่หลวงจีนน้อยยังพอสามารถบำเพ็ญตบะของตัวเองได้บ้าง แม้จะออกอาการการเลิ่กลั่กอย่างเห็นได้ชัดก็ตามที รวมไปถึงหลวงจีนน้อยสามารถสวดบทโปเยโปโลเยได้ ทำให้นางไม่สามารถทำอะไรเค้าได้นัก รวมถึงหลวงจีนน้อยเองก็ไม่ได้คิดจะทำร้ายนาง ความใจดีของเค้าได้ปลดปล่อยและช่วยเหลือดวงวิญญาณของเสี่ยวจั๋วหลายต่อหลายครั้ง
และนั่นคงเป็นสิ่งที่ทำให้นางได้เปลี่ยนใจ ...
ในเรื่องนี้นอกจากเสี่ยวจั๋วแล้วยังมีการเปลี่ยนใจเกิดขึ้นอีกหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นจอมยุทธ์หน้าเลือดที่ซื่อฟางจ้างไปช่วยอาจารย์ของเค้า ก็ไม่เก็บค่าจ้างในตอนท้าย หรือจะผีสาวคู่อริของเสี่ยวจั๋วที่ลบอคติของตนที่ตอนวินาทีสุดท้ายก่อนวิญญาณจะแหลกสลาย
หนังภาคนี้แสดงให้เราเห็นว่า การเปลี่ยนใจ มักเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาหนึ่งหลังเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งจบลง คนๆนั้นจะรับรู้ถึงคุณค่าของสิ่งที่เค้าได้ต่อสู้มาอย่างยาวนาน ว่ามันคุ้มค่าหรือเป็นสิ่งที่ถูกต้องตรงใจเค้าหรือไม่ หากไม่ นั่นคือจุดเริ่มต้นให้เกิดการ 'เปลี่ยนใจ' แม้บางทีเวลานั้นอาจมาถึงในยามที่ใกล้สิ้นใจ
คะแนนความอิน : 5.5 / 10
- - - - --------------------------------------------- - - - -
*** ผมต้องกล่าวขอโทษไว้ล่วงหน้าสำหรับบทความนี้ เรื่องการเรียกชื่อตัวละคร เพราะจีนมีความหลากหลายของภาษา ชื่อจีนจึงมีหลายชื่อที่ใช้เรียกต่างกัน เช่น หนิงไฉ่เฉิน ใน DVD ใช้ชื่อว่า เหซัน หรืออย่าง เสี่ยวเชี่ยน ก็มีการเรียก เสี่ยวซิง หรือ ซิงซิง ตรงนี้ผมเลยพยายามยึดชื่อจากนิยายและชื่อที่คนส่วนใหญ่ใช้เรียกกันเพราะน่าจะทำให้ถูกต้องและเข้าใจเนื้อหากันได้ง่ายที่สุด หากผิดพลาดก็ขออภัยด้วยครับ ***
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in