เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
วัยเรียนที่คิดถึงกับเรื่องเล่าในอดีตในสายตาของคนปัจจุบันSAILOM
ประถม 4 พบกันอีกครั้งกับครูคนเดิม #1
  •       มันคงแย่ที่เราไม่รู้เลยว่าครูคนใหม่ของเราจะเป็นอย่างไร เราว่าชั้นประถม 3 ของเราอยู่ในระดับที่โอเคนะ อย่างน้อยมันก็ไม่แย่มากเหมือนประถม 2 ของครูเด ที่ไม่รู้ว่าแกสอนอะไรมาและรู้สึกตัวอีกทีก็คือขึ้นป.3 เลย ในตอนนี้เรามาพูดถึงชั้นประถม 4 กันดีกว่า 
         จะว่าไปแล้วชั้น ประถม 4 นี้มันก็มีความเปลี่ยนแปลงเยอะมากเลยนะ ไม่รู้สิว่ามันเปลี่ยนแปลงไปมากเท่าไหร่ แต่ที่แน่ๆคือมันเปลี่ยน อย่างแรกเลย การที่เราเลื่อนชั้นในสมัยนั้น ที่เราสามารถเรียนรู้ตามวิชาหลัก นั่นคือ หนังสือ สปช. สลน. และ กพอ.  ตอนนี้ได้แยกเรื่องเรียนรู้ออกไปอย่างมาก เป็นแปดกลุ่มวิชา และก็ใช้เรียนกันมาจนถึงปัจจุบัน เราอยู่ในยุคเปลี่ยนผ่าน แต่ไม่ได้เป็นชั้นเรียนที่เป็นต้นแบบหรือหนูลองยาในการเปลี่ยนหลักสูตร เราเปลี่ยนเมื่อรัฐบาลบอกให้ใช้หลักสูตรนี้ไปพร้อมๆกันทั่วประเทศ นั่นจึงเป็นเหตุให้เราได้เรียนในวิชาทืี่แปลกตาไปบ้าง และมีการแยกรายวิชาที่เยอะมาก (พร้อมกับหนังสือที่แม่งเยอะตามไปด้วยนั่นเอง) ไม่ใช่เพียงแค่นั้น ค่าหนังสือก็เยอะตามไปด้วย ทำให้มันวุ่นวายกับการเรียนมาก เพราะหนังสือเหล่านี้มันกลายเป็นสร้างภาระให้พ่อแม่เราและตัวเราด้วย ในสมัยนั้ันหนังสือจะมีงบซื้ออยู่ประมาณ 700 บาท ไม่เกินนี้และก็มีค่าบำรุงนั่นนี่ด้วย นิดหน่อย ทำให้เราต้องจ่ายเยอะขึ้นด้วยตามลำดับ สำหรับโรงเรียนของเรา ที่มันไม่ Hi-So เหมือนโรงเรียนอื่นๆ เด็กของเราก็เลยมีความติดๆขัดๆกับเรื่องอีค่าหนังสือบ้าง 
        แต่ในความเป็นจริง การจ่ายค่าใช้จ่ายสำหรับภาคเรียนใหม่ของการศึกษานั้น เราสามารถจ่ายแบบแยกได้ ใช่ครับเราสามารถเลือกที่จะไม่ซื้อหนังสือเรียนได้ และจ่ายเพียงเฉพาะค่าบำรุงโรงเรียนก็ได้ครับ แม้ว่าหนังสือเรียนจะมีแบบใหม่เข้ามา แต่ก็ยังใช้หนังสือเล่มเดิมในการเรียนอยู่บ้างส่วนหนึ่ง นั่นก็คือ วิชา คณิตศาสตร์ ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ซึ่งจะเป็นวิชาที่เป็นวิชาแกนมาแต่ไหนแต่ไร ที่มีวิชาเฉพาะของตัวมันเอง วิชาเหล่านี้ยังคงใช้แบบเรียนเดิมและสามารถหยิบยืมจากคนรุ่นก่อนๆได้ ไม่เห็นแปลกเลย ส่วนหนังสืออื่นๆ ที่เพิ่มขึ้นมา 5 วิชาโดยส่วนใหญ่ นั่นก็คือวิชา การงานอาชีพฯ สังคมฯ 
    ศิลปะ วิทยาศาสตร์ สุขศึกษาและพลศึกษา จะต้องซื้อใหม่ทั้งหมด 
        ความจริงเราจะได้เรียนกับครูนิตยาครับ สำหรับชั้นป.4 แกเป็นคนน่ารักนะ เอาเป็นว่าาชั้น ป. 4 จะเป็นครูสาวทั้งสองที่ใจดีมาก ถือว่าชั้นนี้จะเป็นชั้นที่เราสามารถยิ้มได้และ happy กันทั้งสองชั้นครับ แต่ว่าข่าวร้ายก็คือ ครูนิตยาแกย้ายไปสอนที่อื่น เพราะมีคำสั่งย้ายมานั่นแหละครับ ครูแกเลยต้องไป เราเลยไม่ได้เรียนกับแก และไม่เคยรู้จักแกในฐานะเด็กในห้องของแกเลย แต่ก็ยังโชคดีอยู่อย่างหนึ่งครับ คือการที่ครูปฏิมาได้กลับมาสอนพวกเราอีกครั้งนั่นเองครับ เราดีใจมากเลยนะ จากการที่เราได้เรียนรู้แล้วว่า เรียนกับครูคนไหนก็ตามก็ไม่สนุกเท่าเรียนกับครูปฏิมา เด็กๆส่วนใหญ่ก็แฮปปี้ไม่ต่างจากผมครับ เราเรียนกันเยอะและหนักมากนะ แต่คงเป็นเพราะว่าแกสอนสนุกด่้วยแหละมั๊งมันเลยไม่ใช่วิชาที่น่าเบื่อสำหรับเด็กประถมเท่าไหร่นัก 
  • การสอนและการเรียน

    - ศิลปะ 

        เนื่องจากรายวิชานี้เป็นรายวิชาใหม่ที่ไม่ได้ใหม่อะไรเท่าไหร่นัก แต่มันก็ใหม่อยู่ดี เพราะเราจะต้องเรียนรู้ในหลักวิชาทั้ง 3 หลักสูตรนั่นก็คือ ศิลปะ(ทัศนศิลป์) ดนตรี และนาฏศิลป์
          วิชาที่ว่าด้วยงานศิลป์ทั้งหลายแหละ แต่ทำไมมันต้องเรียนกันทั้ง 3 งานเลยวะ ไม่เห็นสนุกเลย เลือกเรียนไปเลยไม่ได้หรอ... สิ่งที่ผมคิดในใจ สำหรับรายวิชานี้ที่เราจะต้องเรียนกัน 3 วิชาย่อย ตามที่บอกไป การเก็บคะแนนจึงมีสามส่วนด้วยกัน โดยใช้อัตราส่วนคือ 40-30-30 สามารถเร่งโตได้ด้วยนั่นเอง เฮ้ยนั่นมันสูตรปุ๋ย ว่ากันง่ายๆก็คือ ศิลปะ 40 ดนตรีและนาฏศิลป์ 30 คะแนนครับ ด้วยที่ว่าชั้นนี้เราไม่ได้จับเครื่องดนตรีกันสักเท่าไหร่ คะแนนดนตรี จึงถูกรวมเข้ากับนาฏศิลป์ โดยจะผนวกกันเป็นวิชาเดียวกัน ผสมผสานคะแนนการร้องเพลงและรำเข้าด้วยกัน จำได้เลยว่าเราต้องมานั่งรำวงมาตรฐานกันจนเบื่อเลยทีเดียว ทั้งจำเนื้อร้องและท่าเต้น โดยส่วนนี้จะคิดเป็น 40คะแนน และ อีก 20 คะแนนจะเป็นการร้องและเต้นในเพลงทั่วไปค่ือเพลงไทยสากล ยุคปัจจุบัน นั่นเองครับซึ่งเพลงไทยสามากลที่ดีงที่สุดก็เป็นเพลงนี้นั่นเองครับ

          ความจริงเพลงนี้มันเพลงเมื่อตอนที่ผมอยู่ชั้น ป.สามนะแต่เพลงมันดันดังข้ามปีฮะ เราร้องเพลงนี้ร่วมกับเพลง ส้มตำอินเตอร์

    ที่มีจังหวะดีและเต้นได้โอเคมาก สองเพลงนี้จะมาดังมาก และมันก็มีเพลงอื่นๆแหละ แต่จำไม่ค่อยได้เท่าไหร่ แต่ที่แน่ๆสองเพลงนี้ใช้หากินได้อย่างแน่นอนครับ
    นอกจากนั้นก็ยังมีเพลงอื่นๆ อย่างเช่น

           ผมเองจะเอ็นจอยในการเรียนและร้องเพลง แต่จะไม่ถนัดรำ (มือขวาที่ไม่ค่อยใช้งานและกระดูกที่หักแตก ไปมันไม่เข้ารูป ซึ่งเป็นมาตั้งแต่ตอนรถเหยียบไส้แตกเมื่อคราวนั้น) ยังคงดีที่มันสามารถ บาลานซ์กันได้อยู่และคะแนนก็พอไปได้ทำให้ไม่ลำบากมากเท่าไหร่

    - สังคมศึกษา ฯ

          วิชาที่รู้จักในเรื่องชาวบ้านและเรื่องทั่วไป รอบตัวเราก็โอเคนะ แต่วิชานี้ดันกลายเป็นวิชาที่ไม่สันทัดเลย มันคงกลายเป็นเรื่องทั่วไปนั่นแหละ เราเลยไม่สนใจมันนัก


    - พละศึกษา

          รายวิชาสร้างสุขภาพที่ดี การเล่นกีฬาถือว่าสำคัญ แน่นอนการเอาคะแนนจากเกณฑ์ที่กำหนดมันเหี้ยมากสำหรับเรา เราไม่ชอบการต้องใช้กำลัง เราเป็นเด็กบอบบาง ไม่มีทางเลี่ยงได้เลยกับรายวิชานี้ สุดท้ายก็ยอมๆไป เอาวิชาสุขศึกษาเข้าช่วยสิ มันจะได้ง่าย

    - สุขภาวะและการพัฒนาบุคลิกภาพ สุข-ศึกษา

        วิชาที่ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงด้านร่างกายของมนุษย์ เราจะได้รู้ว่าฝันเปียกเป็นอย่างไร นมที่ป่องออกเป็นอย่างไร เด็กผู้หญิงทำไมถึงรีบสูงเป็นเปรตขนาดนั้น และภาระหน้าที่ที่เพิ่มมาคือต้องมานั่งทำความสะอาดห้องน้ำของชั้นที่แยกห้องแบ่งเพศกันแล้ว มันเหนื่อยนะ แค่หน้าที่ทำความสะอาดห้องและบริเวณที่รับผิดชอบก็เยอะไปแล้วไม่ใช่หรอวะ แต่ก็สนุกดีนะ

    -  ภาษาไทย  อังกฤษ

       เรียนร้องเพลงเป็นภาษาอังกฤษกันไหมล่ะ อีเพลงเหี้ยที่มันมีเมโลดี้เดียวกับเพลง แหนะดังฟ้าลั่น นั่นหลอนมาก นอกจากนั้นการวาดและระบายสีสองรายวิชานี้ก็เหี้ยไม่แพ้กัน กล่าวคือ สองวิชานี้จะได้วาดรูปประกอบคำศัพท์เยอะมากปวดหัวมากๆเลย งานสองวิชานี้แหละจะเยอะมาก


  • บริเอ๋ย บริเวณ
    เราไม่ชอบการมาเช้าเพื่อทำความสะอาด

          ถ้าไม่ใช่โรงเรียนระดับในเมือง การทำความสะอาดบริเวณโรงเรียน ห้องน้ำ และห้องเรียนถือเป็นหน้าที่อย่างหนึ่งที่เด็กต้องรับผิดชอบกันเหมือนกัน เด็กๆจะต้องมีเวร(นั่นคือภาระหน้าที่อันสำคัญ) ที่วันไหนเด็กคนนั้นๆ เป็นเวรจะต้องรีบมาโรงเรียนและมาเช้ากว่าเพื่อนเพื่อช่วยกัน ทำความสะอาดโรงเรียนและพื้นที่ที่รับผิดชอบของตัวเอง นอกจากนั้นการทำความสะอาด (ให้สะอาดถือเป็นเรื่องที่สำคัญ) เพราะจะมีการแข่งและทำ competition เพื่อการเป็นเกียรติเป็นศรีแก่ห้อง และจะได้โบว์พาวเวอร์ออฟเดอะ ผู้รักษาความสะอาด โดยจะมี 1 เดือน / ครั้ง โดยผู้ชนะจะได้จากการครองแชมป์ผู้ได้รางวัลผู้ทำความสะอาดดีเด่น ให้รางวัลกันรายห้อง และแข่งกันทั้งโรงเรียน มีรางวัลสามรางวัล ที่1-2-3 ตามลำดับ ของรางวัลก็คือของกิน (ขนมปี๊บหลากขนาดที่สามารถแบ่งกันกินทั้งห้อง) พร้อมกับห่อขนมที่ยังไม่แยกแพ็ค ที่มีซองขนมรวมกันประมาณ 20กว่าซอง นั้นย่อมเป็นที่น่าจับตาเป็นที่สุด แต่ถามว่าเราต้องการไหม ลึกๆก็ต้องการแหละ แต่มันก็มีรางวัลแข่งขันอื่นๆด้วยเลยไม่เร่งรีบแข่งขันกันเท่าไรนัก เอารางวัลอื่นที่ไม่ใช่รางวัลนี้ได้ ของมีเยอะครับ จบ


    สภาวะของคนที่กำลังเติบโต

          ไม่แปลกนักทืี่การเติบโตของเด็กรุ่นนี้จะรวมกลุ่มและแยกเพศกัน อย่างชัดเจน อย่างไอ้เชี่ยอ้วนดำ และกลุ่มอิน้อยหน่า ในสมัยเด็กแบบหนังเรื่องหนึ่ง และเด็กทืี่ต้องเล่นกับเด็กผญ.อย่างเราจะถูกเรียกตุ๊ด และนิสัยปากส้นตีนของเด็ก การทะเลาะกันก็ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก ผมเองก็ไม่มีปัญหานั้นนักส่วนใหญ่จะ ignore it at all เพิกเฉยกับมันให้หมดและอยู่เงียบๆคนเดียวไปซะ เล่นกับเพื่อนคุยกับเพื่อน ผญ.ให้เป็นปกติไว้ แต่ก็ห่างกับเพื่อนผญ.บ้างเพื่อไม่ให้โดนจ้องเล่นงานได้เป็นดีที่สุด และด้วยเหตุนั้นเองผมเลยได้รู้จักพื้นที่แห่งความลับและมีความสุขกับมันมาก นั่นคือห้องสมุดนั่นเอง ไม่น่าเชื่อว่าวัยนี้เรากำลังจะต้องตัดสินใจหลายอย่างเลยนะ อย่างแรกก็คือการเลือกคบเพื่อนนั่นแหละ ผมเริ่มชินกับการอยู่คนเดียวไปแล้วนี่สิ เสียดายเหมือนกันนะที่เราไม่ได้เล่นกับเพื่อนและมีเพื่อนเยอะ ความรู้สึกว่าเราต้องการเพื่อนที่รู้ใจมากกว่าเพื่อนเยอะๆ เพราะมีเพื่อนเยอะไปก็วุ่นวายน่ารำคาญ รำ- กันตั้งแต่ตอนพักเที่ยงกินข้าวที่ต้องมานั่งรอกินข้าวด้วยกัน // สมัยนั้นโรงเรียนเริ่มมีโครงการข้าวกลางวันตั้งแต่สมัยอยู่ ป2 เทอม 2 ที่บังคับให้เด็กเริ่มมากินข้าวในโรงอาหารมากขึ้่น เพราะข้าวที่ทำนั้นมีคุณค่าครบถ้วน โดยการผูกข้าว (พ่อแม่เราจะเอาเงินมาจ่ายกันเป็นรายเดือนค่าข้าวให้เรา ประมาณ 300 บาท แล้วเราจะมีข้าวกินกันตลอดเดือน) วิธีนีั้จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเตรียมข้าวให้เราได้เยอะมากเลย แต่ก็มีเพื่อนบางคนก็ยังห่อข้าวมาเพราะครอบครัวยังไม่อยากเพิ่ม cost ในการจ่ายค่าเรียนที่เพิ่มขึ้นนัก แต่ต่อมาโรงเรียนก็เริ่มเอาค่าผูกข้าวเก็บเข้ามารวมกับค่าบำรุงโรงเรียนด้วย ในช่วง ป.3 เด็กเลยไม่ค่อยห่อข้าวมาทานกันแล้ว ในเวลานั้นทานข้าวที่โรงเรียนเตรียมไว้ให้เลย จบ ง่ายดาย
         การรอจึงเป็นสิ่งที่น่าเบื่อสำหรับเรา... วิธีที่ง่ายกว่าก็คือลงมาจากห้องเรียนให้ช้ากว่าเดิมนิดหน่อย ลดคิวการต่อแถวลงได้เยอะ ไม่ต้องรอด้วย ดีต่อสุขภาพจิต แต่ก็เสี่ยงกับการต้องกังวลว่าอาหารจะหมดหรือเปล่า ถ้าหมดนี่คือมันเป็นความผิดเราที่ลงมาช้านั่นเองครับ ผมก็จะไม่ต้องรอเวลาของข้าวทุกจาน..... และรอเพื่อนมานั่งกันให้ครบแล้วลงมือกินกัน ถือว่าสะดวกดี แล้วหลังจากนั้นก็เอาตัวเองขึ้นไปที่ห้องสมุดและคลุกตัวอยู่ตรงนั้นตลอดเที่ยง ซึ่งดีมาก ห้องสมุดจะเงียบกว่าปกติเพราะตั้งในทำเลที่ดี มีเด็กห้อง 1 ข ที่ว่านอนสอนง่ายอยู่ชั้นล่าง ห้องข้างๆเป็นห้องพยาบาลและวิชาการ   (ซึ่งเอาตามตรงมันเป็นห้องเครื่องเสียง) ห้องข้างๆก็เป็นห้อง ป.4ข ที่มีครูใจดีและเด็กในห้องเป็นเพื่อนกันสมัยอนุบาลนั่นแหละ แต่ไม่สนิทกันมากนัก มีเล่นกันบ้างแหละแต่ไม่เล่นหนักรุนแรงมากนัก ห้องถัดไปก็เป็นห้อง 5ก ที่มีครูอยู่ในชั้น เด็ก 4ข ก็เกรงใจครูแกเหมือนกันเลยไม่ส่งเสียงดังน่ารำคาญ ดังนั้นห้องสมุดถือเป็นมุมที่ดีมากสำหรับผม จะมีมุมประจำที่สามารถมองออกไปด้านนอกแล้วเห็นผูเขาที่อยู่ห่างออกไปหลายกิโลเมตรมีหมอกและเห็นสีเขียวของภูเขาเป็นสีเขียวแก่ซีดๆด้วย ด้านหน้าของภูเขาจะมีโรงงานแห่งหนึ่ง ถือว่าเป็นวิวที่สวยงามมากในตอนนั้น ผมชอบมาที่นี่บ่อยๆ ที่แห่งนี้จะมีไว้สำหรับอ่านหนังสือ ถ้ามาเล่นกันก็จะโดนรุ่นพี่บรรณารักษ์น้อยๆ ดุเข้าและก็ต้องออกไปจากตรงนั้น

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in