Yoo Seonho x Lai Kuanlin
#seonlindecember
วันคริสต์มาสของไลควานลิน คือ วันที่ 26 ธันวาคม
ใช่ อ่านไม่ผิดหรอก
วันคริสต์มาสของไลควานลิน คือ วันที่ 26 ธันวาคม
ไม่ใช่ 25
ไลควานลินจำได้ว่าเขาทะเลาะกับเพื่อนที่สนิทที่สุดอย่างคังแดเนียลเป็นครั้งแรกในวันที่ 23 ธันวาคม เจ้าก้อนขนซามอยด์นี่เอาแต่หาว่าเขางี่เง่าและไม่มีเหตุผลเพราะไม่ยอมไปเที่ยวกับเจ้าตัว ไม่ว่าเขาจะปฏิเสธเท่าไร เจ้าเพื่อนตัวดีก็เหมือนจะไม่ยอมเข้าใจเสียที
ในตอนนั้น ไลควานลินถามคังแดเนียลกลับไปว่า
“วันคริสต์มาสนายทำอะไร”
“อยู่กับครอบครัวไง” คือ คำตอบของคังแดเนียล
“ใช่”
“แล้วมันเกี่ยวกับที่นายไม่ยอมไปเที่ยวกับฉันตรงไหน”
“เพราะว่าฉันก็จะอยู่กับครอบครัวในวันคริสต์มาสไง”
“แต่ฉันชวนนายไปเที่ยววันที่ 26 นะ”
“ก็วันที่ 26 คือวันคริสต์มาสของฉัน”
“แต่วันคริสต์มาสมันวันที่ 25 ต่างหาก!”
ไลควานลินยกยิ้มให้กับความทรงจำที่ฉายชัดอยู่ในหัวพลางวางของแต่งต้นคริสต์มาสที่ซื้อกลับมาเต็มสี่ถุงใหญ่ไว้ข้างโต๊ะหน้าทีวี สองแขนเหยียดยืดสูงไล่ความปวดเมื่อยแล้วทิ้งตัวลงบนโซฟากลางห้องเต็มแรง ขาสองข้างก็ล้าไม่ต่างกัน วันนี้เขาเดินวนไปมาในคาเฟ่จนขาแทบจะพันกัน ทั้งอุณหภูมิของอากาศที่ลดต่ำลงประกอบกับที่เริ่มเข้าสู่ช่วงเทศกาลแล้ว ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการคาเฟ่ที่เขาทำงานอยู่จึงเพิ่มมากขึ้นจนพนักงานที่มีจำนวนเท่าเดิมแทบรับมือไม่ไหว ทุกคนในร้านหัวหมุนกันไปหมด จนในตอนที่ลูกค้าคนสุดท้ายก้าวเท้าออกจากร้าน พวกเขาถึงได้ทิ้งตัวลงนั่งอย่างหมดแรง ก่อนจะหันมามองหน้ากันแล้วยิ้มกว้าง
เทศกาลแห่งความสุขที่อบอวลไปด้วยความสุข ไลควานลินปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตัวเขารู้สึกดีมากจริง ๆ
และต่อให้เหนื่อยจนร่างแทบแหลก แต่คริสต์มาสที่ไม่มีต้นคริสต์มาสก็คงจะไม่ใช่คริสต์มาสที่สมบูรณ์แบบ เพราะแบบนั้นเขาจึงยอมฝืนหอบเอาร่างที่แสนจะอ่อนล้าไปเดินเลือกของตกแต่ง แม้ว่าหลายต่อหลายครั้งที่ตัวขี้เกียจคอยกระซิบบอกให้เขาล้มเลิกความตั้งใจแล้วค่อยกลับมาซื้อใหม่ในวันรุ่งขึ้น แต่เขาก็ยังไม่เปลี่ยนใจเพราะรู้ว่าจะมีรางวัลตอบแทนความอดทนครั้งนี้ รางวัลที่แสนจะคุ้มค่า
รอยยิ้มเต็มใบหน้าของใครบางคนในตอนที่ได้แต่งต้นคริสต์มาสไปพร้อมกัน
เพียงเท่านั้น เสียงกระซิบของเจ้าตัวขี้เกียจก็ไม่มีอิทธิพลกับเขาอีกต่อไป
เมื่อเผลอนึกถึงใครบางคนเข้า เจ้าของร่างสูงโปร่งจึงหันไปมองชั้นวางรองเท้าอย่างคาดหวัง แต่ประกายในดวงตาก็หายไปแทบจะทันทีที่พบว่าจำนวนรองเท้ายังคงเท่าเดิม
ต้นคริสต์มาสตรงมุมห้องที่เคยสำคัญที่สุดอาจจะกำลังร้องไห้ด้วยความเสียใจเมื่อชายหนุ่มย้ายความสนใจจากมันไปอยู่ที่แผ่นกระดาษบนผนัง มือขวาคว้าเอาแท่งพลาสติกสีดำจากแก้วที่วางอยู่บนชั้นวางของใกล้มือโดยไม่หันไปมองด้วยซ้ำ ไลควานลินตวัดปลายปากกาสีดำขีดฆ่าตัวเลข 22 บนปฏิทิน สายตาจับจ้องไปยังตัวเลขที่เป็นเหมือนประตูแห่งกาลเวลา ลากปลายนิ้วผ่านน้ำหมึกบนแผ่นกระดาษที่บ่งบอกว่ายังเหลือประตูอีกสามบานที่รอเขาอยู่ และจนถึงตอนนั้น เมื่อประตูบานสุดท้ายถูกเปิดออก การรอคอยทุกอย่างก็จะสิ้นสุดลง
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
“ทำไมมันเยอะขึ้นทุกปีเลยล่ะ” เจ้าของริมฝีปากที่ถูกปกคลุมไปด้วยเคราสีขาวบ่นจนเคราที่ยาวไปจนถึงก้อนหน้าท้องกลมขยับไปมา “นี่ไม่ได้แอบใส่รายชื่อของที่ตัวเองอยากได้ลงไปด้วยหรอกใช่ไหม”
ยูซอนโฮถอนหายใจพลางกลอกตามองบนหลังสบกับดวงตาที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลงใจ
“นี่ ตาแก่ ถ้าผมจะทำแบบนั้น ผมเดินไปหยิบมาเองเลยง่ายกว่าไหมครับ” ว่าพลางพยักพเยิดไปทางของเล่นที่กองพะเนินอยู่ด้านหลังเจ้าของคำเรียกตาแก่
“เรียกฉันแบบนี้อีกแล้ว ไอ้เด็กมนุษย์ไม่มีสัมมาคาราวะ”
“‘คารวะ’ ครับ ไม่ใช่ ‘คาราวะ’ นี่อยู่มาเป็นร้อย ๆ ปีแล้วจริงไหมเนี่ย ทำไมยังพูดผิด ๆ ถูก ๆ อยู่เลย” เด็กหนุ่มเย้าคนตรงหน้าเล่น
“ก็นาน ๆ ทีข้าถึงจะได้เจอมนุษย์ไหมวะ ไอ้เด็กนี่” เสียงทุ้มปนแหบของคนแก่ตอบกลับทันควัน
“โห ผมแซวเล่นนิดเดียวเองครับ” ยูซอนโฮยิ้มจนตาหยี เกาะแขนอวบอ้วนภายใต้แขนเสื้อสีแดงตัวหนาอย่างออดอ้อน ท่าทางเหมือนลูกแมวตัวน้อยที่ต่างกันลิบลับกับส่วนสูงกว่า 180 เซนติเมตรของเจ้าตัวทำให้คนแก่พ่นลมหายใจยาว ยกมือขวาขึ้นหมายจะลูบกลุ่มผมสีน้ำตาลที่แนบอยู่ตรงไหล่ซ้ายของตัวเองด้วยความเอ็นดู แต่ก็ต้องชะงักมือค้างอยู่กลางอากาศแล้วเปลี่ยนเป็นฟาดลงไปแทนเมื่อเด็กหนุ่มเอ่ยประโยคถัดมา
“แต่จริง ๆ ผมว่าไม่เกี่ยวกับเรื่องไม่ค่อยได้พูดกับใครหรอก แต่ตาแก่แก่แล้วไง เลยเลอะ ๆ เลือน ๆ นี่ถ้าไม่ได้วุ้นแปลภาษาของเจ้าหุ่นยนต์แมวนั่นมาช่วย ผมว่ามิชชั่นส่งของขวัญรอบโล… โอ๊ย ตีหัวผมอีกแล้ว!”
เด็กหนุ่มปล่อยมือจากแขนของคนตรงหน้ามากุมหัวตัวเองพร้อมส่งเสียงโอดโอยประท้วง
“มันน่าฟาดให้แรงกว่านี้ด้วยซ้ำ! มีอย่างที่ไหนมาว่าข้าแก่ นี่ข้าเลือกคนมาผิดหรือเปล่าเนี่ย”
“พูดงี้อีกละ ผมเสียใจนะเนี่ย” ยูซอนโฮโอดครวญอย่างไม่จริงจังนัก และก่อนที่การโต้เถียงจะบานปลาย ซอนโฮก็ชิงพูดต่อจนคนที่โดนเรียกว่าตาแก่ต้องปิดปากที่เตรียมพ่นคำด่าทันที
“ที่คุยกันเมื่ออาทิตย์ก่อน ผมไปดูมาให้แล้วนะ พวกเราไม่ได้คิดกันไปเองหรอกครับว่ารายชื่อมันเยอะขึ้น อัตราการเกิดของมนุษย์เพิ่มขึ้นจริง ๆ โดยเฉพาะสองปีหลังมานี้ มันเลยเหมือนเรามีเวลาเตรียมงานกันน้อยลง” ซอนโฮเหลือบมองกระดาษในมืออวบอ้วนที่ยาวเหยียดจนไปกองอยู่บนพื้นแล้วหันไปมองเหล่ากระต่ายตัวจิ๋วสวมทักซิโด้ที่กำลังเร่งผลิตของขวัญตามรายการต์ในกระดาษอย่างขะมักเขม้น “แล้วปีนี้ก็เยอะกว่าปีที่แล้วด้วย ผมถึงรีบเอามาให้ก่อน พวกคุณกระต่ายจะได้มีเวลาเตรียมของขวัญกันนานขึ้นอีกหน่อย”
ตาแก่ของยูซอนโฮพยักหน้ารับรู้เบา ๆ อย่างพึงพอใจ หากแต่เมื่อลองคิดตามไปได้สักพักก็ขมวดคิ้วมุ่นจนขนคิ้วสีขาวที่ยาวพะรุงพะรังแทบจะพันกันเป็นปม “วันนี้วันที่เท่าไร”
“วันที่ 23 ไง เนี่ย เลอะเลือนจริง ๆ ด้วย”
“แล้วกำหนดส่งรายการของมันวันที่เท่าไร”
“…”
“…”
“วันที่ 23”
“แล้วมันเร็วขึ้นตรงไหน หา ยูซอนโฮ!”
ของใกล้มือที่สุดอย่างตุ๊กตากวางเรนเดียร์บนกองของเล่นที่เพิ่งทำเสร็จลอยตรงเข้าใส่เด็กหนุ่มที่รีบวิ่งหนีไปตั้งแต่ตอนที่คนแก่เริ่มขึ้นเสียงทันที เสียงหัวเราะดังลั่นกับประโยคแก้ตัวข้าง ๆ คู ๆ ทำให้คนฟังได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอา
“อย่างน้อย ๆ ปีนี้ผมก็เอารายชื่อมาส่งคนแรกเลยนะ ชนะไอ้คนที่ชื่อแจ็คอะไรนั่นด้วย”
ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกผิด ได้แต่ส่งยิ้มแหยเมื่อหันไปสบตากับเจ้ากระต่ายตัวน้อยที่ยืนน้ำตาคลอหลังเดินกลับมาเพื่อจะจัดตุ๊กตาตัวดังกล่าวลงกล่องของขวัญ
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
วันคริสต์มาสของไลควานลิน คือ วันที่ 26 ธันวาคม
เขาไม่ได้จำผิดหรอก
เชื่อเขาเถอะ
“นาฬิกาชีวิตเดินช้าไปวันนึงเหรอควานลิน” เสียงเย้าจากเพื่อนนามสกุลแปลกอย่างองซองอูเรียกเสียงถอนหายใจยาวจากควานลินแทบจะทันที
“เป็นแผ่นเสียงตกร่องเหรอซองอู พูดประโยคเดิมซ้ำอยู่ได้ทุกปี”
“ว้าว มีโต้กลับด้วย เฮ้ย อูจิน เดี๋ยวนี้น้องลินลินพัฒนาขึ้นว่ะ” สีหน้าประหลาดใจที่ต่อให้มองจากดาวอังคารก็ดูออกว่าเสแสร้ง
“พูดมากจังซองอู ทำส่วนของตัวเองเสร็จแล้วเหรอ”
ควานลินหัวเราะคิกคักชอบใจเมื่อพัคอูจินไม่คล้อยตามอีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยทับถม
“ใช่ ๆ งานเสร็จแล้วเหรอซองอู”
“โห่ ไรเนี่ย ใกล้เสร็จแล้ว เหลือติดริบบิ้นไม่กี่กล่องเอง”
อูจินเหลือบไปมองกล่องของขวัญไม่กี่กล่องที่อีกฝ่ายพูดถึงแล้วก็ได้แต่ส่งเสียง หึ ในลำคอเบา ๆ
“ก็ถ้าเอาเวลาที่มัวแต่พูดไม่หยุดไปทำงาน ป่านนี้ก็คงเสร็จไปนานแล้วละ องซองอู”
ควานลินมองเพื่อนที่ปิดปากเงียบและก้มหน้าก้มตาทำงานด้วยความขบขัน เหลือบมองคนที่แกล้งตีเสียงเรียบเมื่อครู่หากแต่ใบหน้ากลับปกปิดรอยยิ้มไว้ไม่มิด
“พี่มินฮยอนยังไม่กลับเหรอครับ”
“ยังสิ พี่จะทิ้งพวกนายได้ยังไง นี่เพิ่งเคลียร์หลังร้านเสร็จ ยังเหลือส่วนไหนอีกบ้างเดี๋ยวพี่ช่วย”
“ไม่เป็…”
“ตรงนี้เลยครับ เนี่ย ผมติดริบบิ้นจนเมื่อยนิ้วเมื่อยมือไปหมด ถ้ามีคนมาช่วยหน่อยต้องดีมาก ๆ แน่เลย”
ไลควานลินหันไปมองเจ้าของเสียงออดอ้อนจอมปลอมที่พูดแทรกเขาแล้วก็ได้แต่หัวเราะเบา ๆ มือขวาหยิบกระดาษสีน้ำตาลแผ่นใหม่ ทาบลงบนกล่องที่แพ็คอย่างดี ก่อนจะบรรจงห่ออย่างตั้งใจ เสียงบ่นของซองอูยังคงดังขึ้นให้ได้ยินเป็นระยะในขณะที่ควานลินจมจ่อมอยู่กับงานตรงหน้า จวบจนสัมผัสอุ่นทาบลงกลางศีรษะแผ่วเบา ควานลินสะดุ้งเล็กน้อยแล้วเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของฝ่ามือหนา
“เหลืออีกเยอะไหม”
“ไม่เยอะครับ” พูดพลางหันไปมองซองอูกับอูจินที่เริ่มกวาดเอาเศษกระดาษและซากริบบิ้นบนโต๊ะใส่ถุงขยะ “เสร็จกันแล้วเหรอครับ กลับกันก่อนได้เลยนะ ผมเหลืออีกนิดเดียว”
“ได้ไงล่ะ มา เดี๋ยวพี่ช่วย” ไม่รอให้รุ่นน้องปฏิเสธ ฮวังมินฮยอนก็ถือวิสาสะหยิบเอากล่องขนาดเท่าฝ่ามือมาวางไว้ตรงหน้าก่อนจะบรรจงห่ออย่างคล่องแคล่วแต่ออกมาเนี้ยบเสียจนไลควานลินนึกชื่นชมอยู่ในใจ
“ปีนี้ก็ส่งไปให้ที่เดิมใช่ไหมครับ” อูจินวางถุงกระดาษสีน้ำตาลข้าง ๆ กองกล่องขนาดต่าง ๆ ควานลินเดาว่าภายในถุงคงจะเต็มไปด้วยของขวัญทำมือที่อีกฝ่ายนั่งทำมาตลอดบ่ายวันนี้แน่ ๆ ใครจะไปคิดกันว่าคนที่ดูไม่ใส่ใจคนรอบข้างสักเท่าไรอย่างพัคอูจินจะตั้งอกตั้งใจทำงานที่มีรายละเอียดเยอะขนาดนี้ ทั้งนั่งทำการ์ดอวยพรเกือบร้อยใบแล้วเอาไปห่อรวมกันกับช็อกโกแลตชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไหนจะเชือกสีน้ำตาลเส้นเล็กที่เจ้าตัวเอามาใช้มัดรอบห่อนั่นอีก ทั้ง ๆ ที่ถ้าปรินท์ออกมาก็คงทำเวลาได้เร็วขึ้นกว่านี้อีกโข แต่อูจินกลับตอบว่า ‘ไม่เอาอะ แบบนี้คนรับน่าจะชอบมากกว่า’ แล้วหันไปสนใจงานตรงหน้าเหมือนเดิม ปล่อยให้ซองอูอ้าปากค้างกับด้านที่ไม่เคยเห็นของเพื่อนคนนี้
“ใช่ เอ้อ ซองอู วางไว้ตรงนั้นเลยก็ได้ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าพี่มาเก็บต่อเอง”
ไลควานลินคิดว่าเขาได้ยินเสียงแว่ว ๆ ว่าซองอูยืนยันจะทำต่อจนเสร็จ หันไปมองอูจินก็เห็นอีกฝ่ายเช็คความเรียบร้อยส่วนอื่น ๆ ของร้านก็รีบแปะเทปใสทาบลงบนกระดาษเพื่อยึดกับตัวกล่องเป็นตำแหน่งสุดท้าย แปะมือย้ำลงไปอีกสองสามทีแล้วยกกล่องที่เพิ่งห่อเสร็จสด ๆ ร้อน ๆ ไปวางรวมกับกองใหญ่บนโต๊ะกลางร้าน เขานับจำนวนของทั้งหมดบนโต๊ะอีกครั้งก่อนจะแย้มยิ้มอย่างพึงพอใจกับจำนวนที่พอดิบพอดีกับที่พี่มินฮยอนต้องการ
“เรียบร้อยแล้วใช่มั้ย โทษทีนะ วันนี้เลยเลิกช้าเลย ขอบคุณทุกคนมาก”
“ไม่เป็นไรพี่ ชินละ โอ๊ย” ซองอูลูบแขนที่โดนอูจินฟาดป้อย ๆ “ล้อเล่นเอง แค่จะบอกว่าไม่เป็นไรครับ ทำของขวัญไปแจกก็สนุกดี ห่วงก็แต่พี่นั่นแหละ เปิดร้านแค่ครึ่งวันตอนช่วงเทศกาลแบบนี้ไม่เสียดายเหรอครับ”
“ไม่เป็นไรหรอก วันเดียวเอง เวลาครึ่งวันแลกกับความสุขเด็ก ๆ พี่ว่ามันคุ้มอยู่นะ” มินฮยอนหันมาตอบหลังจากล็อกประตูร้านเสร็จเรียบร้อยแล้วเดินนำไปยังรถที่จอดอยู่ในซอยข้าง ๆ
“หล่อมาก ผมจะยึดพี่มินฮยอนเป็นต้นแบบแล้วเดินตามรอยเท้าพี่ให้ได้เลยครับ!” ปฏิญาณตนอย่างมุ่นมั่นเสร็จก็ทำตามคำพูดของตัวเองทันที ดวงตาจับจ้องไปยังตำแหน่งเท้าที่ฮวังมินฮยอนเพิ่งยกออกไปแล้วรีบวางเท้าตัวเองลงไปแทนที่ ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงรถก็ได้สายตาเอือมระอากับการกระทำแสนเด็กของซองอูเป็นสิ่งตอบแทน
ควานลินก้าวขึ้นรถเป็นคนสุดท้าย หลังจากปิดประตูรถเรียบร้อยก็หันไปสบตากับเจ้าของรถผ่านกระจกมองหลังก่อนจะเอ่ยบอกความต้องการ “ส่งผมที่ซุปเปอร์ฯ หน้าทางเข้าก็พอครับ อยากแวะซื้อของหน่อย”
“ได้ กะจะตุนของเผื่อพรุ่งนี้ละสิ จะหมกตัวอยู่แต่ในห้องตั้งแต่คริสต์มาสอีฟเลยหรือไง”
ควานลินยิ้มรับกลาย ๆ มันกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วที่หลังเลิกงาน เจ้าของคาเฟ่อย่างฮวังมินฮยอนจะเป็นคนไปส่งพวกเขา แม้ว่าตัวเขาจะปฏิเสธไปด้วยความเกรงใจในช่วงแรกของการทำงาน แต่องซองอูก็โน้มน้าวเขาอยู่ทุกเย็นให้นั่งไปเป็นเพื่อนกันเพราะไม่อยากเหงา ยังไม่นับรวมฮวังมินฮยอนอีกคนที่หาสารพัดเหตุผลมาหว่านล้อม ทั้งเรื่องที่บอกว่าเป็นทางผ่านกลับบ้านอยู่แล้ว ไหนจะเวลาเลิกงานที่ดึกดื่นจนเกือบล่วงเลยเข้าวันใหม่และทางเข้าที่พักที่เปลี่ยวจนน่าหวั่นใจ สุดท้ายไลควานลินก็มีฮวังมินฮยอนเป็นคนขับรถส่งเขากลับบ้านในช่วงวันจันทร์ถึงวันเสาร์มาเกือบสามปีแล้ว
อันที่จริง หากนับกันตามอายุงาน ควานลินควรต้องเรียกซองอูว่าพี่ด้วยซ้ำแม้ว่าจะอายุเท่ากันก็ตาม ส่วนอูจินที่อายุมากกว่าเขาหนึ่งปีแต่เพิ่งเข้ามาทำงานได้เพียงหกเดือนก็ต้องถูกนับเป็นรุ่นน้อง แต่ก็อย่างที่เห็น พวกเขาสนิทกันเกินกว่าจะมานั่งใส่ใจเรื่องระบบอาวุโส
“พี่มินฮยอนครับ ถ้าไม่ว่าอะไร วันที่ 26 นี้…” ไลควานลินเอ่ยขึ้นเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขาลืมบอกเรื่องสำคัญ
“จะลาใช่ไหม ได้สิ”
คนฟังยิ้มเต็มแก้มกับความใจดีของรุ่นพี่ ก่อนจะแกล้งทำเป็นเมินความช่างใส่ใจของเพื่อนข้าง ๆ
“ลาวันนี้อีกแล้ว วันที่ 26 มันต้องมีอะไรสักอย่างแน่ ๆ คายความลับออกมาสักทีเถอะควานลิน”
ฮวังมินฮยอนแวะจอดหน้าซุปเปอร์มาร์เก็ตตามคำขอของเขา ไลควานลินก้มหัวน้อย ๆ และพึมพำขอบคุณก่อนจะลงจากรถ ยกมือซ้ายที่สวมนาฬิกาสีดำสนิทขึ้นมาดูเวลาก่อนจะรีบซุกมือลงกระเป๋าเสื้อโค้ทเพราะอากาศหนาวรอบตัว
“ยังพอมีเวลา”
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
‘คริสมาสต์อีฟวุ่นวายเสมอ’
หลังจากยื่นรายการของยาวเหยียดให้ตาแก่ไปเมื่อวาน ยูซอนโฮก็พบว่าเขาหาคำมาแย้งคำพูดของผู้เป็นพ่อได้ยากขึ้นทุกที แม้ว่าเขาจะได้สัมผัสความวุ่นวายตรงหน้ามากว่าสี่ปีแล้ว แต่เด็กหนุ่มกลับพบว่าเขายังห่างไกลจากคำว่าเคยชินอยู่มาก กลับเป็นความตื่นเต้นต่างหากที่อัดแน่นอยู่ในทุกพื้นที่ของความรู้สึก
ดวงตาสีน้ำตาลกวาดไล่ไปตามโรงงานขนาดใหญ่ ป้ายด้านบนที่เมื่อวานเป็นเพียงแผ่นไม้ธรรมดาที่มีตัวอักษรภาษาอังกฤษห้าตัวเรียงกันว่า Seoul ถูกล้อมกรอบด้วยหลอดไฟหลอดเล็กหลากสี
รสนิยมแบบนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นความคิดตาแก่ตามเคย
เสียงของหล่นดัง โครม! ใหญ่พร้อมเสียงชิ้นส่วนกระจัดกระจายดึงสายตาของซอนโฮให้ก้มลงมองพื้นด้านล่าง สุดปลายสายพานที่คอยลำเลียงชิ้นส่วนหุ่นยนต์ที่รอประกอบร่างมีกระต่ายขนสีเทาในทักซิโด้สีเหลืองนั่งอยู่บนพื้น น้ำตาคลอเต็มดวงตากลมโตทั้งสองข้าง ข้างกันมีตะกร้าสีแดงคว่ำอยู่ ส่วนประกอบหุ่นยนต์ที่เคยอยู่ในตะกร้าเกลื่อนกลาดเต็มพื้น
ยูซอนโฮสาวเท้าไปหาเจ้าก้อนสีเทาที่ตอนนี้เริ่มสะอึกสะอื้นเบา ๆ ในขณะที่สองขาหน้า (?) ค่อย ๆ พลิกตะกร้าให้กลับมาอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องอีกครั้ง
“ถ้าเหนื่อยก็ไปพักก่อนสิบับเบิ้ล ผมช่วยเก็บนะครับ”
หูยาว ๆ ของเจ้าของชื่อบับเบิ้ลชูขึ้นอย่างดีใจเมื่อรับรู้ว่าจะมีอีกสองขาหน้ามาช่วย ยูซอนโฮหัวเราะออกมาน้อย ๆ กับท่าทีดีใจของเจ้าตัวน้อยที่คล้ายคลึงกับใครบางคน ก่อนจะกำชับอีกฝ่ายให้ระวังกว่าเดิม บับเบิ้ลพยักหน้าหงึกหงัก โอบสองแขนน้อย ๆ รอบตะกร้าที่สูงจนเกือบบังหน้าเอาไว้แน่น แล้วเดินไปยังประตูสีเขียวด้านขวาที่เชื่อมกับห้องถัดไปที่รับหน้าที่ประกอบร่างชิ้นส่วนของเล่นเหล่านี้
ยูซอนโฮนึกทึ่งทุกครั้งที่ได้เข้ามาดูแลพื้นที่รับผิดชอบของตัวเอง เขาไม่เคยรู้และคิดว่าคงไม่มีวันได้รู้ถึงที่มาและวิธีจัดการระบบพวกนี้ นับตั้งแต่ก้าวเข้ามารับช่วงต่อจากผู้เป็นพ่อ สิ่งที่เขารับรู้มาตลอด คือ ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ล้วนเกิดขึ้นจากความตั้งใจของคนที่เขาเรียกว่าตาแก่
‘เราไม่เคยได้ฉลองคริสต์มาสด้วยกันเลยนะครับ’
‘ตอนนี้พ่อก็อยู่กับลูกแล้วนี่ไง’
‘แต่พ่อมาช้าไปวันหนึ่งตลอดเลย’
‘พอลูกโตขึ้น ลูกก็จะเข้าใจ’
หลายต่อหลายครั้งที่เขาถามอีกฝ่ายกลับไปว่า
‘เข้าใจอะไรครับ ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมไม่เข้าใจอะไร’
แต่ก็เหมือนทุกครั้งที่เขาถามผู้เป็นพ่อกลับไป สิ่งที่เขาได้รับมีเพียงรอยยิ้มบาง ๆ กับสายตาที่ทอดมองมาอย่างอบอุ่น จนกระทั่งปีแรกที่เขาได้ทำหน้าที่นี้อย่างเต็มตัว เขาถึงได้เข้าใจ
คริสต์มาสอีฟวุ่นวายเสมอจริง ๆ นั่นแหละครับพ่อ
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
วันคริสต์มาสของไลควานลิน คือ วันที่ 26 ธันวาคม
ไม่ใช่วันที่ 25
ต่อให้ถามอีกกี่ครั้ง ไลควานลินก็จะยังยืนยันคำตอบเดิม
ร่างสูงโปร่งในสเวตเตอร์เนื้อนุ่มสีน้ำตาลที่นอนเหยียดเต็มโซฟากลางห้องยกหลังมือขึ้นขยี้ตาก่อนจะค่อย ๆ ดันตัวขึ้น ไลควานลินสะบัดหัวเบา ๆ เพื่อไล่ความง่วงงุน ตัวเลขบนหน้าปัดนาฬิกาดิจิทัลสีขาวบนชั้นวางของแสดงให้เห็นว่าเขาเผลอหลับไปเกือบสองชั่วโมง
กระดาษแต่งห้องและริบบิ้นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเกลื่อนพื้นย้ำเตือนถึงความล้มเหลวของความตั้งใจเดิม สองขายาวเดินไปปิดโทรทัศน์ที่เปิดทิ้งไว้ตั้งแต่ก่อนเผลอหลับแล้วเดินเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นให้สดชื่นขึ้นหน่อย ก่อนจะเดินกลับมาสานความตั้งใจต่อจนจบ
ของแต่งห้องในถุงใบใหญ่ค่อย ๆ ลดลงทีละน้อย ชิ้นแล้วชิ้นเล่าถูกย้ายตำแหน่งจากถุงที่วางอยู่กลางห้องไปอยู่บนชั้นวางของบ้าง บนผนังบ้าง ที่พิเศษหน่อยก็เห็นจะเป็นมิสเซิลโทที่เจ้าของห้องนำไปแขวนไปบนผนังเหนือหัวเตียง
ไลควานลินมองห้องที่ถูกตกแต่งจนอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของเทศกาลคริสมาสต์อย่างพึงพอใจ เว้นไว้ก็แต่ต้นคริสมาสต์ตรงมุมห้องที่ยังคงว่างเปล่า ยืนโชว์ใบสีเขียวเข้มอย่างหงอยเหงา
“รออีกนิดนึงเนอะ”
ชายหนุ่มพูดเสียงแผ่ว ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ากำลังปลอบใจต้นไม้ตรงหน้าหรือกำลังบอกตัวเองอยู่กันแน่
ก่อนที่กลุ่มก้อนความคิดจะกระจัดกระจายไปไกลกว่านั้น ไลควานลินหมุนตัวกลับเข้าห้องครัวเพื่อปรุงอาหารมื้อง่ายสำหรับตัวเขา เหมือนกระเพาะอาหารจะเรียกร้องความสนใจจากเขามากเกินไป อาการแสบท้องกระตุ้นให้เจ้าตัวใช้มือขวากดตะหลิวดันไข่ที่กำลังนิ่มได้ที่เข้ากับกระทะ มือซ้ายค่อย ๆ กระดกด้ามจับกระทะทีละน้อยจนกระทั่งออมเล็ตเนื้อเนียนถูกพลิกขึ้นอย่างสวยงามก่อนจะจัดลงจาน ใช้เวลาเพียงไม่นาน ออมเล็ตก้อนนั้นก็ได้ลงไปทักทายกระเพาะอาหารแสนเอาแต่ใจ
ไลควานลินเดินกลับเข้าไปในห้องนั่งเล่นอีกครั้งเมื่อเสียงโทรศัพท์แผดเสียงร้องจนนึกรำคาญ
“ครับหม่าม้า”
“…”
“สบายดีครับ ไม่ต้องห่วง”
“…”
“คงกลับมามะรืนนี้มั้งครับ ป๊ากับม้าก็สบายดีใช่ไหม” พูดพลางนั่งลงบนโซฟาตัวยาว หยิบเอาหมอนอิงข้างตัวมากอดแล้วกดคางลงไปสัมผัสความนุ่ม
“…”
“คิดถึงสิครับ เดี๋ยวปีใหม่เราก็เจอกันแล้ว” ชายหนุ่มพูดเสียงกลั้วหัวเราะ
“…”
“ได้ครับ รักษาสุขภาพด้วยนะครับ”
“…”
“รักเหมือนกันครับ”
“…”
“สุขสันต์วันคริสต์มาสอีฟครับ”
ไลควานลินวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะหน้าโซฟา เงยหน้ามองนาฬิการด้วยสายตาคล้ายจะขอร้องให้เวลาเดินเร็วขึ้นอีกหน่อย
แต่ไม่เป็นไร
ไม่ว่ายังไงไลควานลินก็รอได้อยู่ดี
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
“ผ่านไปได้ด้วยดีอีกปีแล้ว ขอบคุณมากทุกคน”
ยูซอนโฮเงยหน้าขึ้นจากแขนที่ตัวเขาใช้ฟุบหลับมาตลอดการประชุมเมื่อได้ยินตาแก่พูดปิดท้าย นึกขอบคุณที่ปีนี้อะไร ๆ ก็ดูจะจบลงเร็วกว่าปีก่อน ๆ
“ไม่อยู่ปาร์ตี้ด้วยกันก่อนเหรอ”
เสียงหวานจากหญิงสาวผมบลอนด์ข้างตัวเรียกให้เขาหันมองก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธอย่างสุภาพ
“ไม่ละครับ ผมกลับเลยดีกว่า”
“โซลนี่มีอะไรดีเหรอ ทำไมรีบกลับทุกปีเลย” เป็นชายหนุ่มผมสีขาวที่นั่งถัดออกไปทางขวาอีกสามที่นั่งที่หันกลับมาถาม
“นั่นน่ะสิ อยู่พักสักนิดก่อนไหม ได้ข่าวว่าปีนี้เด็กในโซลเยอะขึ้นด้วยนี่ น่าจะเหนื่อยไม่ใช่เหรอ”
“ก็เหนื่อยกันหมดนั่นแหละครับ เด็กเยอะขึ้น ปล่องไฟน้อยลง บินกลางคืนยากกว่าเดิม แถมผงฟลูก็แพงขึ้นเรื่อย ๆ นี่ถ้าไม่มีผงพิกซี่ พวกเราคงเหนื่อยกว่านี้อีกสิบเท่าแน่ ๆ” พูดพลางถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะหันไปพูดกับเด็กผู้ชายในชุดสีเขียวทางซ้ายมือ “ฝากไปขอบคุณคุณผู้หญิงตัวเล็กคนนั้นด้วยนะ”
“แล้วนายจะกลับยังไง” ชายหนุ่มผมสีขาวที่เคยนั่งอยู่ไกลออกไปเดินเข้ามาร่วมวงสนทนา “ให้ไปส่งไหม”
“ไม่ต้องเลยแจ็ค ไปกับคุณผมได้แข็งตายพอดี” เด็กหนุ่มปฏิเสธเป็นพัลวัน “ผมยังเหลือผงฟลูอยู่อีกหน่อย กลับได้สบาย ไม่ต้องห่วง”
ยูซอนโฮโบกมือลาก่อนจะเดินแยกออกไป ทิ้งให้คนที่เหลือมองตามด้วยแววตาที่ต่างกันออกไป
“คนตระกูลยูน่าสนใจทุกรุ่นเลยแฮะ”
“หมายความว่ายังไง แจ็ค” คิ้วสวยขมวดมุ่นอย่างไม่เข้าใจ
“ก็พูดไปงั้นแหละ จริงจังไปได้น่า เอลซ่า”
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ตุบ!
เสียงของตกที่ดังมาจากห้องนั่งเล่นทำให้นิ้วที่กำลังพลิกหน้ากระดาษชะงักไป ควานลินดึงผ้าห่มผืนหนาออกจากตัวแล้วลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูห้องนอน กดปลายนิ้วลงบนรีโมทเพื่อเปิดไฟห้องนั่งเล่นแล้วกวาดสายตามองไปรอบห้องอย่างคาดหวัง หากแต่ความว่างเปล่าก็ชะลอจังหวะการเต้นของหัวใจจากถี่รัวให้กลับสู่ระดับปกติ ปากอิ่มพ่นลมหายใจยาวออกมา กดปลายนิ้วลงบนปุ่มเดิมแล้วหันหลังเตรียมกลับเข้าห้องนอน
ในตอนนั้นเอง สัมผัสอันแสนคุ้นเคยก็โอบรอบเอว ตามมาด้วยสัมผัสเย็นชื้นที่แนบอยู่ตรงซอกคอขาว
“คิดถึงจังเลยครับ”
และเสียงแผ่วตรงข้างหู
“คิดถึงเหมือนกัน”
ควานลินพลิกตัวเข้าหาแฟนหนุ่ม แนบสองมือลงบนแก้มนุ่ม
“เหนื่อยไหม”
คนฟังเพียงส่ายหน้า กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นแล้วซุกหน้าลงบนไหล่ของคนตรงหน้า “หิวมากกว่า”
เจ้าของห้องหัวเราะเบา ๆ กับคำตอบที่ไม่ได้อยู่นอกเหนือความคาดหมายมากนัก ควานลินยืนลูบหลังคนที่เขาแสนคิดถึง ปล่อยให้แฟนหนุ่มซึบซับความอบอุ่นจากตัวเขาจนพอใจ
“มีอะไรให้กินบ้างครับ พี่ควานลิน”
โดยไม่รอคำตอบ ซอนโฮคว้ามืออีกคนมาจับก่อนจะสอดประสานนิ้วมือเข้าด้วยกัน กระชับแน่น พลางเดินไปยังห้องทานอาหาร
“มีไก่ทอดของโปรดนาย มีซุป… นี่ ไปนั่งดี ๆ สิ เดี๋ยวยกไปให้”
“คิดถึง ไม่อยากห่างเลยครับ”
“เกินไป”
ถึงจะบ่นแบบนั้น แต่ควานลินก็ยอมให้ซอนโฮเกาะแกะไม่ห่างอยู่ดี
“แล้วทำไมรอบนี้กลับมาเร็วล่ะ ทุกทีกลับพรุ่งนี้ไม่ใช่เหรอ”
“ปีนี้มีคนมาช่วยเพิ่มครับ งานเลยเสร็จไว” ซอนโฮตอบทั้ง ๆ ที่ยังมีไก่อยู่เต็มสองข้างแก้ม เขาตอบเท่าที่พอจะบอกได้ และควานลินเองก็ดูเหมือนจะเข้าใจดีจึงไม่เซ้าซี้ต่อ
หลังจากจัดการอาหารตรงหน้าอยู่พักใหญ่ เด็กหนุ่มก็เอ่ยถามขึ้น “เหงาไหมครับ”
“นายไม่อยู่แค่อาทิตย์เดียวเอง ฉันไม่ใช่เด็กนะซอนโฮ ฉันอยู่ได้”
ซอนโฮยู่หน้าพลางจิ้มแป้งต็อกเข้าปาก มองคนตรงหน้าเก็บจานไก่ทอดจานโตที่เขากินจนหมดไปวางไว้ในอ่างล้างจาน
“ผมก็ไม่ได้ถามนี่ครับว่าพี่อยู่ได้ไหม ผมถามว่าเหงาไหม”
ควานลินแกล้งเมินคำถามนั้นแล้วหันไปสนใจถ้วยชามที่กำลังล้างอยู่ เดือดร้อนคนโดนเมินต้องเดินเข้ามากอดพลางเอาแก้มถูไหล่เขาอย่างออดอ้อน
“ทำไมตัวยังเย็นอยู่เลย”
“เหรอครับ” ซอนโฮก้มลงมองตัวเองก่อนจะแย้มยิ้มที่คนในอ้อมกอดมองว่าเจ้าเล่ห์เหลือเกิน “สงสัยเพราะพี่ไม่ค่อยกอดผมแน่เลย”
ควานลินขมวดคิ้วมุ่นกับคำตอบที่แสนจะไม่สมเหตุสมผล
“ตลกละซอนโฮ หลบสิ จะเก็บจาน”
คนเด็กกว่ายอมถอยแต่โดยดี ซอนโฮเอนหลังพิงโต๊ะทานข้าว มองคนรักเก็บนู่นจัดนี่อย่างคล่องแคล่ว จนกระทั่งจานใบสุดท้ายถูกเก็บเข้าที่ เขาจึงได้เอ่ยปากถาม
“ง่วงหรือยังครับ”
“ยังเลย ง่วงแล้วเหรอ”
“เปล่าครับ จะชวนดูหนัง เราไม่ได้นอนดูหนังด้วยกันนานแล้วนะ”
ควานลินพยักหน้ารับรู้ ปล่อยให้อีกฝ่ายจูงมือเขาไปยังห้องนอน
“จะดูเรื่องอะไร”
ซอนโฮหันกลับมายิ้มเผล่ระหว่างเปิดกล่องดีวีดี เพียงเท่านั้นควานลินก็ได้คำตอบ
“ดูจนจะพูดแทนตัวละครในเรื่องได้อยู่แล้ว”
“ก็มันไม่มีหนังเรื่องไหนเหมาะกับคริสต์มาสเท่า Love Actually แล้วนี่ครับ” เด็กหนุ่มเย้าเล่นพลางกดปุ่มเปิดบนรีโมท
ซอนโฮเอนตัวลงข้าง ๆ คนรัก จัดท่าทางให้อยู่ท่าที่สบายก่อนจะเอนหัวไปพิงไหล่คนข้างกาย ความเงียบปกคลุมทั้งห้องเพียงชั่วครู่ก่อนที่เสียงจากเครื่องเล่นจะดังขึ้น ซอนโฮดื่มด่ำกับเรื่องราวในเรื่อง จากนาทีเนิ่นนานเป็นชั่วโมง ต่างคนต่างดื่มด่ำความรักที่อบอวลตลอดทั้งเรื่อง จนกระทั่งถึงตอนที่มาร์คเคาะประตูบ้านของจูเลียตในคืนคริสต์มาส เขาก็สัมผัสได้ถึงแรงบีบจากมือซ้ายที่สอดประสานอยู่กับมือของอีกคน
“เหงา”
“หืม ว่าไงนะครับ” ซอนโฮละสายตาจากจอตรงหน้าแล้วสบเข้ากับดวงตาของอีกฝ่าย
“ที่ถามเมื่อกี้ไง ไม่มีนาย… เหงามาก”
“…”
“คิดถึงมากด้วย”
ซอนโฮขยับตัวขึ้นพิงหลังกับหัวเตียงแล้วรวบอีกคนเข้ามากอด กดริมฝีปากลงบนกลุ่มผมนุ่มนิ่มที่ซุกซบอยู่บนอกก่อนจะแนบแก้มของตัวเองลงไป
“เป็นแบบนี้มาตั้งหลายปีแล้ว แต่ก็ไม่ชินซะที” ควานลินพึมพำเสียงอู้อี้
“ไม่ชินน่ะดีแล้วครับ ถ้าพี่ชินผมคงเสียใจแย่”
เด็กหนุ่มลูบหลังคนในอ้อมกอดราวกับต้องการปลอบประโลมอีกฝ่าย สายตาจับจ้องไปบนหน้าจอ มองมาร์คชูป้ายกระดาษที่เขียนข้อความบอกความในใจให้จูเลียตได้รับรู้
‘Just because it’s Christmas’
นั่นสินะ เพราะวันนี้เป็นวันคริสมาสต์
‘And at Christmas you tell the truth’
วันสำคัญที่เราควรเปิดใจให้กัน
‘To me…’
“พี่ควานลิน…”
‘You are perfect.’
“รักนะครับ”
“รักเหมือนกัน”
วันคริสต์มาสของไลควานลิน คือ วันที่ 26 ธันวาคม
ต่อให้คังแดเนีลเอาปฏิทินอีกกี่ร้อยกี่พันฉบับมากางไว้ตรงหน้า
ต่อให้องซองอูจะถามคำถามเดิมอีกกี่พันกี่หมื่นครั้ง
ไลควานลินก็จะยังยืนยันคำเดิมว่า
วันคริสต์มาสของเขา คือ วันที่ 26 ธันวาคม
- - - - - - - - - - - - - E N D - - - - - - - - - - - - -
#cloudytue
ขอให้ทุกวันเป็นวันที่ดี
tuesdayblue’
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in