เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เป็นพ่องงง ได้อะไรมากกว่าที่คิดพรี่หนอม
04 : ปรับตัว?
  • วันที่สองของการเป็นพ่อ เริ่มต้นขึ้นประมาณแปดโมงกว่าๆ หลังจากที่เนอสเซอรี่เข็นรถเด็กอ่อนพามาส่ง และบอกหน้าที่ของพ่อและแม่มือใหม่ว่า มีอยู่ 3 เรื่อง คือ การให้นม เช็ดสะดือ และเปลี่ยนแพมเพิสทุกๆ 2-3 ชั่วโมง ส่วนอาบน้ำยังไม่ต้องนะ เดี๋ยวทางเนอสเซอรี่จะจัดให้


    พยาบาลสอนวิธีการห่อตัว การดูดน้ำมูกออกจากปากและจมูก วิธีการให้นมแม่ นมผสม กำชับเน้นตรงที่ต้องให้ “น้อง” กินทุกๆ 2-3 ชั่วโมง รวมถึงเรื่องที่ต้องรู้อีกมากมายเกี่ยวกับการเลี้ยงเด็กทารก


    มันมีอะไรมากมายบนโลกนี้ที่เรายังไม่รู้จริงๆครับ…


    ---


    “คนปรับตัว คือ คนอยู่รอด ส่วนคนอ่อนแอก็แพ้ไป” คำกล่าวที่ดูเหมือนจะไร้มนุษยธรรม แต่มันคือความจริงที่มนุษย์อย่างเรานั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้

    “เราห่อตัวเพื่อให้ทารกยังรู้สึกเคยชินเหมือนกับการที่อยู่ในท้องแม่ เค้าจะได้ค่อยๆปรับตัวบนโลกนี้ได้”
    พยาบาลอธิบายขั้นตอน พร้อมกับให้ผมทดลองทำ ก่อนที่จะอุ้มเขามาแนบอก

    ผมอุ้มเขา… ไม่มีเสียงร้องใดๆออกจากปาก มีเพียงแต่เสียงครืดคราดเบาๆ ของการหายใจ ร่วมกับการหลับตาราวกับว่าไม่พร้อมจะออกมาเจอโลกใบนี้สักเท่าใดนัก

    ผมยื่นนิ้วชี้ของผมจับมือที่อยู่ในถุงมือของเขา สัมผัสความรู้สึกนั้นมันทำให้ความรู้สึกของพ่อ ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ผมกระซิบบอกเขาเบาๆว่า

    “ยินดีต้อนรับสู่โลกใบนี้นะลูก มันอาจจะเป็นโลกที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไร แต่พ่อหวังว่าหนูจะเข้าใจและใช้ชีวิตอยู่กับมันได้อย่างคนปกติ แค่นั้นก็ดีพอสำหรับพ่อแล้วล่ะ”

    ผมเคยคิดว่า ถ้าผมมีลูก ผมจะไม่คาดหวังอะไรกับเขา
    แต่นั่นแหละ การไม่คาดหวังอะไรกับเขา อาจจะเป็นการคาดหวังอีกแบบหนึ่ง


    ---


    แผลที่ผ่าเริ่มเจ็บมากขึ้น จากผลของยาบล็อคหลังที่หมดไป แต่ยังได้ยาแก้ปวดเข้ามาแทนที่ เพื่อให้คุณแม่มือใหม่ สามารถลุกจากเตียงและเดินได้ตามปกติ หลังจากที่ถอดสายสวนปัสสาวะออกแล้ว

    “เดินบ่อยๆนะครับ แผลจะได้ไม่เป็นพังผืด” คุณหมอเข้ามากล่าวย้ำอีกครั้ง หลังจากที่เข้ามาดูอาการตอนเช้า พร้อมทั้งสั่งยาแก้ปวดไว้ล่วงหน้า

    “แผลภายนอกไม่นานก็หาย แต่แผลข้างในจริงๆกว่าจะหายก็ 4 เดือนน่ะครับ” คุณหมออธิบายต่อเมื่อผมซักถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรักษา

    มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วแหละที่แผลภายนอกมักหายไว
    ...แต่แผลภายในยังคงอยู่


    ---


    บ่ายแก่ๆ ครอบครัวของผมมาเยี่ยมที่โรงพยาบาล ภาพของความสุขอีกระดับนึงในชีวิตที่เราไม่เคยเห็น การเกิดขึ้นของชีวิตใหม่ ทำให้ชีวิตอื่นๆนั้นมีความสุขมากมายแค่ไหน

    ในฐานะของคนที่เป็นพ่อแม่ เห็นแล้วเรารู้สึกภาคภูมิใจที่ลูกเราทำให้คนรุ่นเก่าเขารู้สึกถึงสิ่งดีๆขอชีวิตใหม่ แต่อีกใจหนึ่งผมก็แอบหวั่นไม่ได้ว่า เราจะเลี้ยงดูลูกได้อย่างเขาหรือเปล่า

    เป็นครั้งแรกที่ผมได้โชว์ฝีมือการอุ้ม ให้นม และเปลี่ยนแพมเพิสต่อหน้าสาธารณะกำนัล แม้ว่าจะคนในครอบครัวก็ตาม แต่ความรู้สึกของผมนั้นบอกว่าเราจะทำให้คนอื่นผิดหวังไปไม่ได้

    “เฮ้ย เก่งนี่ เปลี่ยนได้แล้วหรอ” น้าสาวของผมเอ่ยปากทัก
    “เค้าเพิ่งสอนเมื่อเช้านี่แหละอี๊” ผมตอบ

    ที่เค้าว่าการเรียนรู้ที่ดี คือ การปฎิบัติซ้ำบ่อยๆ เห็นทีว่ามันจะเป็นเรื่องจริง ในครั้งแรกที่ดูเก้ๆกังๆ กลับดูคล่องแคล่วขึ้นเมื่อครั้งที่สอง สาม และสี่

    แต่ผมคงยังไม่รู้หรอกว่าจะต้องทำแบบนี้อีกกี่ร้อยกี่พันครั้ง


    ---


    ผู้ใหญ่ที่เคารพอีกคนหนึ่งมาเยี่ยมผมพร้อมภรรยา เราได้พูดคุยกันเรื่องทัศนคติต่างๆเกี่ยวกับการเลี้ยงลูก ไล่ไปตั้งแต่นมผง นมแม่ การดูแล โรงเรียน นิสัยใจคอต่าง เนื่องจากแกมีประสบการณ์อยู่แล้วจากการมีลูกมาถึง 2 คน ซึ่งเป็นเด็กที่น่ารักมากๆ

    “ไม่ว่าใครจะว่ายังไง ท่องไว้คำเดียวครับหนอม - ลูกกู… กูจะเลี้ยงแบบนี้” ก่อนจากกัน พี่ท่านให้โอวาทสั้นๆง่ายๆ แบบไม่แคร์สื่อ และไม่ต้องสนใจใครหน้าไหน เพราะไม่ว่าใครจะว่ายังไง ก็ไม่มีทางที่เขาจะมารับผิดชอบชีวิตให้กับลูกเราได้ตลอดรอดฝั่งหรอก

    ในฐานะของคนเป็นพ่อ ผมว่าคำแนะนำนี้เป็นคำแนะนำที่ดี เพราะสุดท้ายแล้วเรานี่แหละที่จะต้องรับผิดชอบสิ่งที่เราทำ ไม่ว่าเรานั้นจะอยู่ในฐานะไหนก็ตาม


    ---


    หลังสองทุ่ม คือ ยามวิกาล และเป็นยามที่ทางเนอสเซอรี่จะรับน้องกลับไปนอนที่ห้องเด็กอ่อนและส่งคืนในรุ่งเช้าของวันใหม่ หรือถ้าห้องไหนต้องการเลี้ยงลูกด้วยตัวเองที่ห้องก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน ขอแค่แจ้งให้ทางเนอสเซอรี่ทราบ แต่จะไม่มีการมารับเด็กในตอนนี้เด็ดขาด เพราะป้องกันอันตรายไว้ก่อน

    พยาบาลประจำเนอสเซอรี่กำหนดเงื่อนไขพร้อมกับให้ทางเลือกกับเราทั้งสองคน ในคืนนี้ เรายังตกลงที่จะให้เนอสเซอรี่ดูแลต่ออีกคืน เนื่องจากผมต้องการให้เธอพักผ่อนมากที่สุด

    ดูจากสภาพ สถานการณ์ต่างๆ ผมคิดว่าการอยู่โรงพยาบาล 3 คืนนั้นคงไม่พอ เนื่องจากเราทั้งคู่เป็นคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ที่ต้องการจะเลี้ยงลูกให้ได้ด้วยตัวเอง ยังมีหลายอย่างที่เราไม่รู้เกี่ยวกับการเลี้ยงลูก ดังนั้นผมจึงตัดสินใจอยู่ที่โรงพยาบาลต่ออีก 2 คืน เพื่อฝึกปรือฝีมือ และรอให้เธอมีสภาพที่ดีขึ้นกว่านี้ ก่อนที่เราทั้งคู่จะกลับบ้านไปด้วยกัน


    ---


    “เป็นไง หลานน่ารักไหม” ผมส่งไลน์คุยกับแม่ ถามว่าแม่เป็นยังไงบ้างหลังจากออกจากโรงพยาบาล กลับบ้านถูกไหม ไปจนถึง Update ข่าวคราวที่ไม่ได้คุยกันเสียหลายวัน

    แม่พูดคุยกับผมเรื่องหลาน เน้นย้ำสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำตามที่ท่านรู้มา ความรู้ภูมิปัญญาชาวบ้านไปจนถึงหลักการที่ท่านใช้ ผมอ่านแล้วได้แต่ตอบไปว่าเข้าใจ อือๆออๆ และเก็บสิ่งที่ต้องรู้มาใช้เป็นแนวทางในการเลี้ยงลูก

    “แกดูรักลูกแกมากนะ” ประโยคของแม่ทำให้ผมรู้สึกสะดุดใจ มันมีตรงไหนที่บอกว่าเรารักๆคนหนึ่งมาก การอุ้ม การเช็ดขี้ การเปลี่ยนแพมเพิส สายตาต่างๆที่เรามองเขา หรืออะไรอีกมากมายที่เรายังไม่รู้

    “ปกติแล้ว พ่อแม่ทุกคนก็รักลูกมากอยู่แล้วป่ะแม่” ผมไลน์ตอบแม่กลับไป พร้อมกับคิดในใจว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่แม่กำลังบอกผมนั้น มันไม่ใด้หมายความถึงแค่ความรักที่ผมมีลูกเท่านั้น

    แต่มันหมายถึงความรักของแม่ที่ส่งผ่านมาสู่ผมอีกส่วนหนึ่ง  :)

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in