เลม่อนทาร์ตที่หนหนึ่งจะมีขายเพียงปีละครั้ง เป็นขนมที่ค่อนข้างโด่งดังไปทั่วทั้งในกำแพง จุดที่ขายเป็นประจำคือเขตชิกันชินนะ กำแพงมาเรีย เลม่อนทาร์ตเป็นขนมที่เธอรักมากที่สุด เรียกได้ว่าหลงใหลในรสชาติหวานอมเปรี้ยว (ที่ออกไปทางหวานมากกว่า) ก็ไม่ผิดนัก เธอรักอาหาร รักของหวาน รักการดื่มด่ำรับรู้รสชาติเข้าสู่ร่างกาย เวลาที่มีมื้ออาหารมื้อใหญ่เธอมักจะถูกกีดกันออกจากจานอาหารโดยเหล่าเพื่อนด้วยเหตุผลที่ว่า “ก็เพราะเธอจะเขมือบทุกอย่างบนโต๊ะในสามนาทีน่ะสิ!” ใครที่ไหนจะไปทำได้กันล่ะ (ถ้าเป็นตอนหิวก็ไม่แน่) คงได้ติดคอตายกันพอดี เอาเป็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเหล่าของกินที่รักนั้นช่างแน่นแฟ้นและลึกซึ้งยิ่งกว่าบทกวีบทใดบนโลก ถ้าหากถูกถามว่าระหว่าง ‘กิน’ กับ ‘นอน’ จะเลือกอะไร เธอขอเลือก ‘นอนกิน’ จนกว่าจะตอบสนองความต้องการได้อย่างเต็มรูปแบบดีกว่า เฮ้อ มนุษย์น่ะคงอยู่ได้ด้วยการรับพลังงานจากอาหารนะ หากวันใดกินไม่ครบสามมื้อล่ะก็มีหวังได้ลงแดงตายแน่ ๆ ก็เกิดมาอยู่เพื่อกินนี่นะ ไม่ได้เกิดมากินเพื่ออยู่เหมือนใครหลาย ๆ คนซะหน่อย
สาวผมม้านั่งนับวัน ขีดฆ่าตัวเลขบนปฏิทินลายขนมปัง เฝ้ารอวันที่จะมาถึง แน่นอนว่าระหว่างรอวันนั้นเธอต้องกินอาหารเพื่อเติมพลังให้แก่ร่างกาย หยิบมันฝรั่งในกระเป๋ากระโปรงแล้วกัดหนึ่งคำ สองคำ สามคำ เจ็ดคำ สิบคำและยัดเข้าปากในท้ายสุด
เมื่อวันที่ร้านเบเกอรี่ของป้าแคลร์เปิดขายเลม่อนทาร์ต เธอตั้งหน้าตั้งตารีบเดินทางไปยังกำแพงมาเรียทันที เมื่อพบว่าเธอสายมากพอแล้วจึงออกตัววิ่ง
วิ่ง
วิ่ง
วิ่งจนเท้าสะดุดล้มกลิ้งลงลำคลองข้างทาง เนื้อตัวเปียกโชก หญิงสาวสบถกับตัวเอง ลุกขึ้นยืนและออกวิ่งต่อ ‘ไม่มีอะไรมาหยุดฉันได้’ เธอให้กำลังใจตัวเองและยังนึกภาพที่ตัวเธอกัดเลม่อนทาร์ตได้หนึ่งคำโต ๆ แต่เธอในโลกความเป็นจริงน่ะวิ่งน้ำลายยืดตลอดทางจนถึงตัวร้าน
แน่นอนว่าในกำแพงนั้นไม่ได้มีแค่เธอคนเดียวที่ืหลงใหลในรสชาติของขนมหวานอมเปรี้ยว มีลูกค้ามากมายตั้งแต่เด็กสามขวบถึงตาเฒ่าถือไม้เท้าต่อแถวยาวเท่าส่วนสูงของไททันไม่มีผิดเพี้ยน หญิงสาวขยี้หัวตัวเองด้วยความเจ็บใจ ‘คิดว่ามาเร็วแล้วนะ แย่แล้วสิ ถ้ามันหมดก่อนจะถึงฉันจะทำยังไงดีล่ะเนี่ย’ ริมฝีปากแห้งกัดเล็บตัวเองอย่างวิตกกังวลโดยไม่รู้ตัว ในใจหวังอยู่ลึก ๆ ว่าเลม่อนทาร์ตจะยังหลงเหลือถึงเธอบ้าง กุมมือภาวนาต่อภาพขนมหวานในหัว เริ่มอธิษฐานขอพรต่อสิ่งเหล่านั้น
เมื่อถึงคิวเจ้าหล่อน เอ่ยปากซื้อเลม่อนทาร์ตหนึ่งชิ้น ป้าแคลร์พูดว่า “โอ้ ชิ้นสุดท้ายพอดีเลยแม่สาวน้อย ยินดีด้วยนะ” คีบใส่ถุงกระดาษใบเล็กและยื่นให้ เธอจ่ายเงิน ยกยิ้มกว้างจนแก้มแทบปริ กลิ่นเลม่อนและเนื้อครีมโชยตามลิ่วลมแตะปลายจมูก ล่อลวงให้เธอติดกับในกลิ่นที่ชวนให้หลงใหลยากที่จะเมินเฉย มือทั้งสองข้างแกะถุงกระดาษ หยิบขนมด้วยมือเปล่า ด้อม ๆ ดม ๆ กลิ่นของมันและส่งเข้าปากหนึ่งคำเล็ก “อร่อย” รสชาติเลิศเลอถูกส่งเข้าปากอีกครั้ง แก้มป่องขยับตามการเคี้ยว เมื่อได้ลิ้มรสชาติไร้ที่ติเช่นนี้คงจะเป็นการให้เกียรติเลม่อนทาร์ตหากเธอสัมผัสรสชาติให้เชื่องช้ากว่าปกติลงหลายเท่า
จังหวะที่กำลังจะดำเนินคำต่อมาแขนของเธอก็ถูกชนด้วยคอนนี่ (เพื่อนสนิทที่สุดในชีวิตที่วิ่งสวนกับเธอเพื่อไปซื้อเลม่อนทาร์ตโดยไม่ทราบว่าขนมนั้นได้หมดเกลี้ยงแล้ว) อย่างเต็มแรง เธอล้มลงไปกองกับพื้น มองเห็นเลม่อนทาร์ตลอยตัวกลางอากาศเป็นภาพช้า ค่อย ๆ ร่วงหล่นสู่พื้นดิน เอื้อมแขนหวังคว้าเอาไว้แต่ก็ไม่ทันการเสียแล้ว ขนมเกือบเต็มชิ้นตกสู่โคลนดำบนทางเดิน เศษกระจัดกระจาย แตกหัก แหลกสลายไม่เหลือชิ้นดี หญิงสาวมองดูภาพตรงหน้าที่เกิดภายในเสี้ยววินาทีแต่กลับยาวนานในความรู้สึก
เธอร้องไห้ ปล่อยให้หยดน้ำตาร่วงหล่นสู่ชิ้นส่วนของเลม่อนทาร์ตเหล่านั้น
ราวกับหัวใจดวงน้อยถูกทุบตีจนแตกสลาย เมื่อกลับบ้าน เธอกอดหมอนรูปร่างคล้ายขนมปัง น้ำตาไหลเปียกปอนนองหน้าจนกระทั่งผล็อยหลับไปพร้อมกับความเจ็บปวดและความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตาชีวิตของตัวเอง
เฮ้อ อุบัติเหตุหนอ อุบัติเหตุหนอ ไม่น่าเลยที่รัก
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in