เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Autumn has comeByeruk
Neighbors
  • ผมเคยทำงานเป็นเชฟให้กับกองทหาร ต้องตื่นก่อนย่ำรุ่งในทุกๆ วันเพื่อตระเตรียมวัตถุดิบ เนื่องจากทหารส่วนมากเป็นผู้ชายจึงทำให้ปริมาณความต้องการอาหารสูงขึ้นซึ่งนั่นส่งผลให้เหล่าเชฟต้องทำอาหารในปริมาณที่มากขึ้นด้วย ใช้ชีวิตในค่ายทหารเหมือนติดอยู่ในวัฏจักรเดิมๆ ตื่นเช้า ทำงาน เลิกงาน นอนหลับ และตื่นเช้าใช้ชีวิตในวันใหม่ ไม่มีอะไรที่น่าตื่นเต้นหรือเป็นที่น่าจดจำ เงินเดือนก็ไม่ได้สูงมาก เสื้อผ้าของทหารบางคนยังแพงกว่าเงินทั้งชีวิตผมอีกมั้ง (ไม่รู้ว่าได้เงินมาเพราะความสามารถหรือสูบกินภาษีที่ประชาชนจ่ายมากันแน่) น่าเจ็บใจอยู่เหมือนกันนะเนี่ย ผมไม่ใคร่เป็นนักค้นหาหรือนักผจญภัยเท่าไหร่นักแต่ถ้าบอกตามตรงล่ะก็การใช้ชีวิตแบบนี้มันค่อนข้างน่าเบื่อ น่าเบื่อจนทำให้ผมฉุกคิดว่าตัวเองไม่มีเหตุผลในการใช้ชีวิตอยู่บนโลก อย่าเข้าใจผิด ไม่ใช่ในเชิงแบบนั้น ประโยคข้างต้นน่ะหมายถึงตัวผมไม่มีจุดมุ่งหมายต่างหาก ผมคงเหมือนแมวเร่ร่อน ใช้ชีวิตไปเรื่อยเปื่อย หาอาหารประทังชีวิตไปวันๆ ติดอยู่ในวังวนเดิมๆ —น่าเบื่อ เบื่อแสนเบื่อและเหนื่อยหน่าย 

    ผมตัดสินใจยื่นใบลาออก

    หลังจากเลิกเป็นเชฟในค่ายทหารแล้วผมก็หมกตัวอยู่แต่ในบ้าน หาเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น พยายามค้นหาสิ่งที่อยากทำแต่ก็ยังไม่วายข้องเกี่ยวกับเรื่องอาหารอยู่ดี ผมใช้เวลาคิดค้นสูตรอาหารขึ้นมาใหม่ทั้งวัน ตื่นเช้าก็คิด อาบน้ำก็คิด ทานข้าวก็คิด แม้ขณะที่กำลังทดลองทำอาหารแบบใหม่อยู่ก็ยังคิดค้นอาหารสูตรใหม่กว่า นั่นทำให้ผมไม่ได้รู้สึกว่างงานเลยสักนิดแต่ลึกๆ ในใจแล้วก็ยังคงหาแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตอย่างมีความหมายไม่ได้อยู่ดี เอาเถอะ ใช้ชีวิตมาได้แล้วยี่สิบปีทนไปอีกหน่อยจะเป็นอะไรไปล่ะ ผมปลอบใจตัวเองแบบนี้ตลอดอีกนั่นแหละ

    วันหนึ่งเมื่อผมคิดค้นอาหารสูตรใหม่และทำให้เป็นรูปเป็นร่างได้แล้วจึงนำไปให้เพื่อนบ้านชิม ผลลัพธ์คือเธอเอาแต่กินไม่หยุดปาก ตักโน่นเพิ่มนี่จนผมทึ่งกับความสามารถด้านการกินของเธอ ผมคิดว่าหล่อนแค่หิว แต่คำพูดที่เปล่งออกมาจากปากทำให้ผมรู้ว่าตัวเองนั้นคิดผิด “ฉันไม่เคยกินอาหารที่อร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย!” ผมหน้าแดง ปกติแล้วไม่ค่อยมีใคร ไม่สิ ไม่มีใครเคยชมฝีมือผมนักหรอก นั่นทำให้ผมมีความสุขในการทำอาหารเป็นครั้งแรกและภูมิใจในความสามารถของตัวเอง ผมเอ่ยขอบคุณเธอและแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ

    “ฉันนิโคโล่ แล้วเธอ?” 
    “ซาช่า เบลาซ์ อาหารของนายอร่อยมาก ขอบใจที่ทำมาให้กินนะนิโคโล่”
    “ขอบคุณซาช่าด้วยเหมือนกัน”

    หลังจากวันนั้นผมก็ทำอาหารให้เธอบ่อยขึ้นจนกระทั่งซาช่าแนะนำให้ผมเปิดร้านอาหารเป็นของตัวเอง แน่นอนว่าผมปฏิเสธแต่ทนแรงกดดันความคาดหวังในรสอาหารของเธอที่มีต่อผมไม่ได้ ผมจึงเปิดร้านอาหารเป็นของตัวเองโดยมีซาช่าคอยเป็นผู้ให้คำแนะนำ ช่วยกันตั้งชื่อร้านให้เป็นชื่อเดียวกับผมเพื่อให้เป็นที่จดจำง่าย ‘Niccolo ’ 

    แน่นอนว่านอกจากกิจการร้านอาหารที่ไปได้สวยแล้วก็ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่ไปได้ดีเช่นกันคือความสัมพันธ์ของผมและซาช่าที่ค่อยๆ เติบโตขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เธอทานที่ร้านของผมทุกวัน สั่งอาหารไม่ซ้ำกันสักครั้ง แถมยังท้าทายโดยการบอกให้ผมลองเอาอาหารที่ดูไม่น่าจะเข้ากันได้มาดัดแปลงให้มันเข้าคู่กัน ผมคิดว่าเธอล้อเล่นแต่โดนตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “เรื่องเนื้อๆ ฉันไม่เคยล้อเล่น” ผมจึงทำตามที่เธอบอก และเมนูนั้นก็กลายเป็นที่ชื่นชอบของเหล่าลูกค้าหลายๆ ท่านอีกด้วย ซาช่ายักคิ้วให้ผมเป็นเชิงว่า ‘บอกแล้วไง’

    ผมมีความสุขในการทำอาหารมากขึ้น มีลูกค้ามากหน้าหลายตาเข้ามาเยี่ยมเยือนไม่ขาดสายทำให้ภายในตัวร้านคึกคักอยู่ตลอดเวลา บางวันซาช่าก็พาเพื่อนกลุ่มใหญ่ของเธอให้มากินเลี้ยงที่ร้านอาหารของผม ความสามารถในการกินของพวกเขาด้อยกว่าซาช่าเพียงนิดเดียวเท่านั้น ทำเอาผมนึกถึงสมัยเป็นเชฟในค่ายทหารเลยล่ะ เมื่อร้านอาหารของผมเป็นที่รู้จักมากขึ้น ผมก็ขยายกิจการร้านโดยทำเบเกอรี่ด้วย แต่เกือบไม่ได้ขายเพราะซาช่าคือผู้ช่วยทำขนมประจำร้านและมักจะแอบหยิบขนมกินจนผมต้องดุเธอทุกที แต่นั่นทำให้ผมคิดว่าผมเจอแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้ว

    สองเดือนต่อมา ผมปิดร้านอาหารในวันเกิดของผมเพื่อใช้เวลาอยู่กับคนที่ผมรัก ผมเคาะประตูหน้าบ้านซาช่าหลายสิบครั้งก็ไม่ตอบ ตะโกนเรียกก็ไม่ขาน ผมจึงเดินกลับมานอนที่บ้านสักงีบหนึ่งแล้วค่อยไปหาเธอ แต่ก่อนจะหลับก็ได้ยินเสียงคนเรียกชื่อผมอย่างรีบร้อนที่รั้วไม้หน้าบ้าน คอนนี่เพื่อนสนิทของซาช่าบอกประโยคนึงกับผมที่ทำให้เข่าทั้งสองข้างทรุดลงกับพื้นหญ้า “ซาช่าถูกรถชนเสียชีวิตคาที่ทันที เสียใจด้วยนะนิโคโล่” ผมกรีดร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง

    ผมกับเพื่อนของซาช่าช่วยกันออกเงินจัดงานศพของเธออย่างเงียบๆ ไม่มีใครร้องไห้ออกมา มีเพียงเสียงสะอื้นเบาๆ ของใครสักคนที่ผมไม่สามารถระบุได้ สีหน้าของทุกคนไม่สู้ดีนัก เศร้าสร้อย หม่นหมอง และเป็นสีเทา หลังจากการตายของซาช่าผมก็ไม่เปิดร้านอาหารเป็นเวลาเกือบอาทิตย์ เอาแต่เก็บตัวอยู่ในบ้านเหมือนวันที่ผมลาออกจากเชฟไม่มีผิดเพี้ยน ความรู้สึกที่ไม่มีเหตุผลในการใช้ชีวิตวนกลับมาอีกแล้ว ผมกอดตัวเอง ร้องไห้อย่างเงียบงัน เตะแผ่นเมนูในห้องนอนที่ผมกับเธอช่วยกันประกอบจนเศษไม้กระจัดกระจายเต็มพื้น ผมบอกกับตัวเองว่าจะปิดร้านอาหารถาวร สาเหตุที่ที่ผมเปิดร้าน Niccolo ขึ้นมาเพราะผมอยากทำอาหารให้เธอทานทุกวันและอยากทำให้เธอมีความสุข ผมชอบรอยยิ้มเวลาที่เธอดื่มด่ำในรสชาติอาหาร เมื่อไม่มีซาช่าแล้วอาหารของผมมันก็ไม่มีความหมายอีกต่อไป ผมหลับตา ความทรงจำที่ตกตะกอนในอดีตกลับมาชัดเจนขึ้นอีกครั้ง ผมยังจดจำใบหน้าของหล่อนได้ จดจำอาหารโปรดของเธอได้ จดจำแม้กระทั่งวันแรกที่เราพานพบกัน สีหน้าเธอที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มเมื่อได้ทานอาหารของผมเป็นครั้งแรกและประโยคที่เธอบอกผมในทุกๆ วันโดยที่ตัวผมไม่เคยเบื่อมันสักครั้ง “อาหารของนิคโคโล่อร่อยที่สุดเลย ฉันอยากให้คนอื่นได้ทานอาหารของนายด้วย” 

    ผมเดินไปหยิบแผ่นไม้ ซ่อมแซมใบเมนูทีี่ถูกเตะทิ้ง ตัดสินใจกลับไปเปิดร้านอาหารอีกครั้งในชื่อที่คิดขึ้นมาใหม่ ‘Niccolo Meat Sasha’
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in