เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Autumn has comeByeruk
Enchanted Forest
  • พ่อของผมเคยอ่านนิทานก่อนนอนเกี่ยวกับเวทมนตร์ครั้งแรกตอนผมอายุเก้าขวบ เป็นเรื่องราวของเด็กชายผมสีดำสลวย—ถ้าจำไม่ได้ผิดคงรุ่นราวคราวเดียวกับผมในตอนนั้น—พลัดหลงเข้าไปในป่า ได้พบกับเด็กอีกคนหนึ่งที่อายุเท่าๆกัน “ผมเธอสวยดีนะ” เด็กประหลาดพูด เด็กคนนั้นพาเด็กชายผมดำเที่ยวเล่นในป่า ช่วยคุณลุงต้อนฝูงแกะเข้าคอก ท่องไปบนฟ้าเพื่อชมหุบเขาต่างๆ ชวนลงเล่นในแม่น้ำระหว่างทาง วิ่งหนีฝูงสุนัขล่าเนื้อโดยเกือบลืมไปว่าพวกเขาสามารถลอยได้ พาไปดูกวางมูสที่ซีกโลกเหนือ สุดท้ายเด็กชายผมดำขอให้เด็กอีกคนไปส่งเขาที่บ้าน เย็นวันนั้นเขากลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ หลังจากการผจญภัยครั้งนั้นเด็กชายก็กลับเข้าป่านั้นอีกครั้ง เดินไปตามทางเดิมที่เคยเข้าไป จู่ๆเด็กอัศจรรย์—เขาเรียกไว้แบบนั้น—ก็ปรากฏกายให้เห็นโดยการห้อยหัวลงมาจากบนต้นไม้ พวกเขาเริ่มสร้างบ้านต้นไม้ด้วยกัน “เธอทำได้จริงๆเหรอ?” เด็กชายผมดำถาม “ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้” เด็กอัศจรรย์ตอบอย่างมั่นใจ บ้านต้นไม้ในป่าค่อยๆถูกต่อเติมด้วยเวทมนตร์ทีละนิดๆ นั่นทำให้ในทุกๆวันเด็กชายจะรีบวิ่งเข้าป่าไปช่วยต่อเติมบ้านต้นไม้ทันทีที่ล้างชามอาหารเช้า—เฉพาะของตัวเองเท่านั้น—เสร็จ ใช้เวลาครึ่งเดือนในการสร้างจนเสร็จสมบูรณ์ เด็กชายทั้งสองดีใจมาก พวกเขาใช้เวลาทั้งวันบนบ้านต้นไม้นั่น เด็กอัศจรรย์ถักเปียเล็กๆไว้บนหัวให้เขา เขาอ่านนิทานที่แอบหยิบจากในหีบสมบัติของพี่สาวให้เด็กอัศจรรย์ฟัง ผลัดกันเล่าเรื่องตลกๆ นอนกลางวัน วาดรูปสัตว์เล็กสัตว์น้อยทั้งบนและล่างต้นไม้ เด็กอัศจรรย์เสนอให้พวกเขาวาดภาพของอีกคนเก็บเอาไว้ ผลงานที่ออกมาจากทั้งสองคนคือเส้นวาดรูปที่บิดเบี้ยวไปมาและสีสันบนกระดาษทั้งสองแผ่น  

    วันหนึ่งเมื่อเด็กชายเดินเข้าป่าตามปกติเขาไม่เจอเพื่อนคนเดิมที่มักจะโผล่มาหาเขาโดยไม่ทันตั้งตัวอยู่บ่อยๆ เขาจึงนอนรอบนบ้านต้นไม้ รอจนดวงอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าก็ยังไม่มา เขาจึงตัดสินใจกลับบ้านไปด้วยความห่อเหี่ยว เขาคิดว่าเด็กคนนั้นคงไม่สบายจึงไม่สามารถมายังบ้านต้นไม้ได้ ครั้นนึกจะไปหาเพื่อนก็ไม่รู้ว่าบ้านพักอยู่ที่ไหน เด็กชายจึงทำได้แค่รอให้เด็กคนนั้นมาหาเขาเหมือนอย่างที่เคยเป็น รอแล้วรออีก จนกระทั่งเวลาล่วงเลยเกือบสิบสองวัน เด็กอัศจรรย์ก็ยังคงไม่มาหาเขาอยู่ดี นั่นทำให้เด็กชายคิดว่าบางทีเด็กคนนั้นอาจไม่ชอบขี้หน้าเขาและไม่อยากพบเขาขึ้นมาหรือเปล่า เด็กผมสีดำคิดไม่ตก ความรู้สึกน้อยใจค่อยๆคืบคลานเข้ามาทีละนิดๆ จนในที่สุดเขาก็ถอดใจที่จะรอ หลังจากวันนั้นเด็กผมสีดำสนิทก็ไม่เคยกลับไปเหยียบที่บ้านต้นไม้นั่นอีกเลย

    “แล้วเด็กที่มีเวทมนตร์หายไปไหนเหรอฮะ?” ผมในตอนเก้าขวบถาม “พ่อก็ไม่รู้ ปู่ของลูกไม่ได้เล่าให้พ่อฟังเหมือนกัน” พ่อลูบหัวผม บอกราตรีสวัสดิ์และดับไฟในตะเกียงเพื่อให้ผมเข้านอน ผมตื่นเช้าในวันต่อมา ผมขอพ่อเข้าไปเล่นในป่าข้างหมู่บ้านกับกลุ่มเพื่อน เมื่อพ่ออนุญาตผมจึงวิ่งไปหาเพื่อนที่โบสถ์ทันที หัวโจกของกลุ่มเดินนำเข้าป่าเหมือนอย่างเคย ผมเดินตามเพื่อนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งผมสังเกตเห็นแมวดำตัวหนึ่งกำลังไล่ตะครุบนก คอของมันห้อยอะไรสักอย่างที่เป็นลูกกลมๆสีเขียว มันคือสร้อยโอปอลที่ผมเคยทำหล่นหายไว้ในป่านี่! ผมจึงค่อยๆย่อง ค่อยๆย่องไปยังเจ้าแมวดำ เหมือนมันรับรู้ได้ถึงการมีตัวตนของผมจึงรีบวิ่งหนีไปทางป่าที่ลึกขึ้นโดยที่ผมไม่ทันรู้ตัว ผมวิ่งตามมันหวังจะเอาสร้อยคืนให้ได้จนสะดุดล้ม

    “เจ็บมากไหม?” ผมเงยหน้ามองต้นเสียง เห็นเด็กผู้ชายตัวเล็กที่มีผมสีดำสนิทอุ้มแมวดำตัวนั้นและยืนมองผม “นิดหน่อย แต่เข่าเป็นแผลเลย” ผมตอบ เขาคุกเข่าลง วางแมวไว้บนพื้น ป้ายยาสมุนไพรอะไรสักอย่างในตะกร้าที่เขาถือมาด้วยรอบๆแผล ผมร้องซี้ดด้วยความเจ็บปวด “เดี๋ยวก็หายดีแล้ว” เด็กคนนั้นพูด แมวดำเจ้าปัญหาเดินมาคลอเคลียข้างๆเขาและส่งเสียงร้อง เด็กชายอุ้มมันขึ้นมาอีกครั้ง 

    “แมวของนายเหรอ?”
    “ของคนในหมู่บ้าน” 
    “คือมันขโมยสร้อยคอของฉันไป”
    “เนวี ชื่อเนวี“
    “โอเค เนวีขโมยสร้อยโอปอลที่พ่อให้ฉันเป็นของขวัญวันเกิดไป”
    “ฉันจะรู้ได้ยังไงว่านายโกหกหรือพูดความจริง?”
    “ข้างหลังจี้สลักชื่อ ’เออร์วิน สมิธ’ เอาไว้อยู่ ชื่อฉันเอง“

    เด็กประหลาดพลิกดูข้างหลังสร้อยและส่งมันคืนมาให้ผม ผมสวมสร้อยนั่นไว้ทันที ผมทำท่าจะเดินกลับไปหากลุ่มเพื่อนแต่ก็ต้องพบว่าสิ่งแวดล้อมรอบๆตัวผมนั้นมันดูไม่คุ้นตาเสียเลย ตัวผมในตอนนั้นคิดว่าพลัดหลงเข้าในป่านั่นเสียแล้ว ผมทำหน้าเจื่อน เด็กที่ดูหน้าตาไม่เป็นมิตรพูดขึ้น ”หาทางออกไม่เจอหรือไง?” ผมพยักหน้า ขอร้องให้เขาพาผมหาทางออกจากป่านี่ “ฝากอุ้มเนวีหน่อย” ผมอุ้มแมวดำไว้ที่อ้อมอก มันเอาหัวถูไถผมไปมา ถุงเท้าขาวของเนวีเขี่ยโอปอลเขียวเม็ดเล็กไปด้วย เขาหักกิ่งไม้ยาวแถวๆนั้นใช้เขี่ยพื้นเพื่อเป็นการเคลียร์ทางจากหญ้ารกและสัตว์เล็ก ผมเดินกะเผลกตามแผ่นหลังเล็กๆนั่น เนื้อตัวเขาซูบผอม ผิวหนังขาวซีด ผมยาวปรกหน้า ขอบตาดำลึกโบ๋ ผมคิดว่าเขาเหมือนเอลฟ์ในหนังสือนิทานภาพของพ่อ ผมเดินไปเรื่อยๆจนกระทั่งได้ยินเสียงเพื่อนเรียกชื่อของผมดังลั่น ผมหันไปขอบคุณเด็กชายประหลาดและคืนเนวีให้เขา 

    “ขอบใจนะ ว่าแต่นายชื่ออะไร?”
    “รีไวล์ แค่รีไวล์”
    “มาเล่นด้วยกันไหม?”
    “ลุงห้ามฉันออกจากป่านี่”
    “งั้นพรุ่งนี้ฉันจะมาเล่นกับนาย ไว้เจอกัน บาย”
    “ถ้าเจอกันล่ะก็นะ”

    /

    วันรุ่งขึ้นผมเดินเข้าป่าคนเดียวเพื่อไปหาเขา ผมเดินเข้าป่าลึกไปทางที่คิดว่าเป็นที่เดียวกับเมื่อวาน ผมใช้กิ่งไม้เขี่ยทางข้างหน้าเหมือนเขาด้วย ผมเดินไปตามทางเรื่อยๆจนเจอเด็กผู้ชายตัวเล็กๆกำลังเด็ดดอกไม้ใส่ตะกร้าอยู่ ผมทักทายเขา เขาโบกมือซูบผอมกลับ สีหน้าประหลาดใจนิดหน่อยที่ผมสามารถหาตัวเขาเจอได้ ผมกัดขนมปังที่พกติดตัวมาและยื่นให้เขาหนึ่งก้อน “กินเยอะๆ” เขารับมันไปและกัดหนึ่งคำ ผมบอกให้เขาพาผมเดินเที่ยวป่าแถวๆหมู่บ้านของเขา รีไวล์พาผมไปยังส่วนต่างๆของป่าที่ผมยังไม่เคยเห็น ผมได้ลงเล่นน้ำที่ลำธาร ได้เห็นกระต่ายป่ากำลังกินอาหาร เห็นนกบินเกาะกิ่งไม้ไปมา ผึ้งและผีเสื้อบินตอมดอกไม้ เขาพาผมไปยังหมู่บ้านของเขาด้วย ผมช่วยลุงแก่ๆ—ที่หน้าตาดูไม่เป็นมิตรเหมือนรีไวล์—ต้อนฝูงแกะเข้าคอก ให้อาหารม้า ช่วยกวาดใบไม้ที่ร่วงเต็มหน้าบ้านของรีไวล์ เดินไปให้อาหารปลาในบ่อน้ำที่เลี้ยงไว้เพื่อจับกิน ผมรู้สึกสนุกกับมันมากจนเกือบลืมเวลาทานข้าวเย็นที่บ้าน เขาเดินนำผมมาทางออกป่าอีกครั้งเพราะผมยังจำทางไม่ได้

    ผมมักจะไปหารีไวล์ทุกวันหลังเลิกเรียนหรือวันที่ว่าง รีไวล์บอกผมว่าเขาอยากไปโรงเรียนบ้างแต่ไม่สามารถไปได้เพราะฐานะทางบ้านเขาจนเกินไป ผมจึงสอนหนังสือเขาเหมือนอย่างที่พ่อผมสอนทุกประการ เริ่มจากคัดลายมือ อ่านออกเสียง และสอนคำศัพท์ง่ายๆ ผมแอบหยิบหนังสือของเด็กที่เริ่มหัดอ่านเขียนจากโรงเรียนให้เขาโดยที่ผมโกหกรีไวล์ว่าไปเจอห้องเก็บของเก่าของพ่อ แบ่งอาหารที่เขาไม่เคยกิน สอนเขาวาดรูปตามแบบครูที่โรงเรียนสอน ผมสังเกตได้ถึงความตื่นเต้นผ่านแววตาของรีไวล์

    หลังจากนั้นประมาณเกือบยี่สิบวันรีไวล์ขอให้ลุงเคนนี่—ตอนแรกผมคิดว่าเป็นพ่อของรีไวล์เพราะชอบทำหน้าตาไม่ต้อนรับแขกเหมือนกันเปี๊ยบ—สร้างบ้านต้นไม้ให้ คราแรกลุงแกปฏิเสธด้วยเหตุผลว่า “ฉันไม่มีเวลาว่างขนาดนั้นหรอก” ผมกับรีไวล์จึงช่วยกันเก็บเงินซื้อเหล้าที่ลุงแก่นั่นชอบ—ซึ่งเป็นสิ่งที่พ่อห้ามผมแตะต้องมันเด็ดขาด แต่ผมไม่สนหรอก—ให้ลุงเคนนี่เพื่อให้แกช่วยสร้างบ้านต้นไม้ให้ ซึ่งมันได้ผล! ลุงเคนนี่ยอมสร้างบ้านต้นไม้ให้พวกเราโดยมีผมและรีไวล์เป็นผู้ช่วยที่ออกไปทางตัวเกะกะมากกว่า นึกย้อนกลับไปตอนนั้นแล้วก็ตลกน่าดู ตัวผมในวัยเด็กยอมฝ่าฝืนคำสั่งของพ่อเพื่อบ้านต้นไม้หลังเดียว

    ผมจำไม่ค่อยได้ว่าใช้เวลากี่อาทิตย์ในการสร้างบ้านต้นไม้นั่น แต่มันคงนานพอที่ผมกับรีไวล์อ่านหนังสือของพ่อผมจบคนละหนึ่งเล่มหนา มีบางคำที่พวกเรายังไม่เข้าใจจึงถามลุงเคนนี่ ลุงเคนนี่จึงสละเวลาอันมีค่าของเขาอธิบายศัพท์ให้พวกผมฟัง ผมในตอนนั้นรู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก จนกระทั่งบ้านต้นไม้ของพวกเราเสร็จสมบูรณ์ ผมเอาหนังสือเล่มโปรดบางเล่มเก็บใส่กล่องเก็บไว้ที่นี่ ส่วนรีไวล์เอาไม้ปัดฝุ่นแขวนไว้ตรงกิ่งไม้ที่ยื่นออกมาจากชายหลังคาบ้าน พวกเรามักจะใช้วันหยุดไปกับการคลุกคลีบนบ้านต้นไม้ รีไวล์ลูบหัวผมและถักเปียให้ 

    “ฉันเป็นผู้ชายนะ นายถักเปียให้ฉันได้ยังไง?” 
    “เปียมันก็แค่ทรงผมแหละน่า ใครๆก็สามารถทำได้”
    “เอาให้มันดูดีเหมือนตอนถักให้อิซซาเบลเลยนะ”
    “แน่นอนอยู่แล้ว ฉันทำได้ทุกอย่าง”
    “ฮ่ะๆ”
    “ผมสีบลอนด์ของนายสวยดีนะ”
    “ว่าแต่ทำไมแมวดำนั่นถึงชื่อเนวีล่ะ? เนวีคือเฉดสีน้ำเงินนี่” 
    “ก็ฉันชอบชื่อนี้ ลุงเคนนี่บอกว่าเนวีเหมือนกันฉันดี แล้วเข่าของนายล่ะ หายดีแล้วยัง?”
    “หายเพราะนายคอยเอาสมุนไพรมาป้ายให้ฉันตลอดนั่นแหละ”

    หลังจากถักเปียเสร็จพวกเราก็อ่านนิทาน ผลัดกันเล่าเรื่องตลก อู้งานเก็บกิ่งไม้ของลุงเคนนี่โดยการแอบนอนกลางวัน รีไวล์เสนอให้วาดรูปพวกเราแล้วเก็บเอาไว้ใต้หมอนของแต่ละคน ผมวาดรูปรีไวล์ รีไวล์วาดรูปผม หากจำไม่ผิดภาพพวกนั้นคงเป็นลายเส้นโยกเย้แบบเด็กๆและแต่งแต้มเส้นสีบนกระดาษ ผมตั้งชื่อให้บ้านหลังนี้ว่า ‘ป่าต้องมนตร์’ ผมมีความสุขมากจนคิดว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตอนนั้นเหมือนไม่ใช่เรื่องจริง เหตุการณ์เหล่านั้นทำให้ผมนึกถึงนิทานเวทมนตร์ที่พ่อผมเคยเล่าให้ฟัง มันแทบจะเหมือนกันทุกประการเพียงแค่พวกเราคนใดคนหนึ่งไม่ได้มีเวทมนตร์เหมือนเด็กอัศจรรย์คนนั้น ในนิทานบอกว่าหลังจากสร้างบ้านต้นไม้เสร็จได้ไม่กี่วันเด็กอัศจรรย์ก็อันตรธานหายไป ผมกลัวว่าเขาจะหายไปเหมือนเด็กคนนั้น ก่อนจากกันในเย็นวันนั้นผมจึงบอกให้เขานำภาพวาดกลับบ้านของตัวเอง มอบสร้อยโอปอลให้เขาและสวมกอดอีกฝ่ายแน่น เขารับมันไปและสวมกอดผมกลับ

    และมันก็เป็นจริงดั่งที่ผมเคยกังวลไว้ หลังจากนั้นไม่กี่วันก็มีพายุเข้า ผมจึงไม่สามารถไปหาเขาได้และไม่รู้ข่าวคราวของเขาเลยสักนิด หลังจากพายุผ่านพ้นไปแล้วผมก็มุ่งหน้าไปยังบ้านต้นไม้ทันที พบว่ามันเละไม่เหลือชิ้นดี เศษกระดาษจากหนังสือกระจัดกระจาย ดินสอสีปลิวหาย ไม้ปัดฝุ่นของรีไวล์หักสองท่อน ผมไม่นึกเสียใจหรอกเพราะมันเป็นสิ่งที่ผมสามารถหาซื้อใหม่ได้ แต่บ้านหลังนี้ที่ลุงเคนนี่ยอมสละเวลาสร้างมันขึ้นมานี่สิ ผมเดินไปยังหมู่บ้านของรีไวล์ ผมเห็นซากไม้ที่เคยเป็นชิ้นส่วนของบ้านหัก บ้านไม้ผุผังเพราะแรงจากพายุ สังกะสีเกลื่อนเต็มพื้น ผมไม่เห็นผู้คนอาศัยอยู่ที่นี่ ผมเดินไปทางที่คิดว่าเป็นบ้านของรีไวล์ มีเพียงเศษซากปรักหักพังหลงเหลือไว้ก็เท่านั้น วันนั้นผมกลับบ้าน ร้องไห้กับตัวเองบนเตียงจนผล็อยหลับไป หลังจากวันนั้นผมก็ไม่เคยย่างกรายเข้าป่านั่นอีกเลย 

    /

    ผมได้เข้าร่วมเป็นทหารฝึกหัดและได้เลื่อนขั้นเป็นผู้บังคับบัญชาของหน่วยสำรวจด้วยอายุเพียงสามสิบปี ผมใช้ชีวิตโดยที่คิดถึงเด็กคนนั้นบ้างเป็นบางเวลา รูปที่ผมวาดเขาไว้ผมยังเก็บมันไว้อยู่เลย เขาเป็นหนึ่งในความทรงจำที่ผมไม่เคยลืมและไม่มีวันลืมเลยแม้แต่น้อย ตั้งแต่วันนั้นผมเฝ้าภาวนาขอให้ได้เจอเขาตลอด แต่มันก็ไม่เกิดขึ้น เขาเคยพูดว่า “ฉันทำได้ทุกอย่าง” แต่เขาไม่เคยกลับมาหาผมอีกเลย 

    ผมออกมาเดินเที่ยวในเมืองหลังประชุมเสร็จเพื่อผ่อนคลายสมองบ้าง ผมเดินเข้าร้านหนังสือเพื่อหาอะไรอ่านสักเล่ม สายตาดันไปเจอหนังสือที่ผมเคยแอบขโมยไปให้เขาอ่านตอนเด็กๆ ผมหยิบมาเปิดดูให้หายคิดถึงและวางมันกลับไว้ที่เดิม เดินดูตามชั้นหนังสือต่างๆเผื่อพบอะไรที่น่าสนใจ ผมซื้อหนังสือเล่มโปรด—สมัยเด็ก—ที่่ยังอ่านไม่จบเพราะถูกพายุพัดไปเสียก่อน วางเงินไว้บนโต๊ะและเดินมา มองดูพระอาทิตย์พบว่าใช้เวลานานเกินไปในการเดินเล่นจึงรีบเดินกลับห้องทำงานหวังจัดการงานให้เสร็จ ผมเร่งฝีเท้า ชนใครสักคนหนึ่งจนอะไรบางอย่างตกลงพื้นดังตุ้บ ผมเอ่ยขอโทษ ก้มลงหยิบและมองมัน ความทรงจำในอดีตไหลย้อนเข้ามาราวน้ำหลาก มันคือสร้อยโอปอลสีเขียวที่ผมเคยให้เขาเก็บไว้กับตัวก่อนจากกัน ผมรีบหันไปหาคนที่ผมเพิ่งชนไปเมื่อกี้ทันที หัวใจผมอัดฉีดแรงขึ้นเหมือนในวันนั้น วันที่ผมมั่นหมายไปเล่นกับเขาในหมู่บ้านมี่ห่างไกลจากบ้านของผม เหมือนจังหวะที่ผมเห็นบ้านต้นไม้เพิ่งถูกสร้างเสร็จ เหมือนอัตราการเต้นของหัวใจผมที่สูงขึ้นเวลาผมอยู่กับเขาในตอนเด็ก 

    พวกเราจ้องหน้ากัน

    “ไง เออร์วิน”

    —ณ วินาทีนั้น ผมสัญญากับตัวเองว่าจะไม่มีวันปล่อยให้เขาหายไปจากชีวิตของผมอีกแล้ว

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in