สำหรับฉัน หากจะพูดถึงสถานที่ที่เรียกว่า “บ้าน” แล้ว ก็คงเป็นเพียงตึกแถว 2 ชั้นธรรมดา ๆ ที่หน้าตาไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากบ้านหลังอื่น ๆ ในละแวกเดียวกัน แม้จะมีหลายครั้งที่ฉันเกือบจะต้องย้ายออกไป แต่ด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่างที่ยังฉุดรั้งไว้ ทำให้ฉันยังคงอยู่ในบ้านหลังเดิมมานับ 20 ปีแล้ว ถึงแม้ตัวฉันเองจะคิดว่า บ้านและละแวกชุกชนที่ตนอยู่จะเก่าและไม่ค่อยตอบโจทย์การใช้ชีวิตของตนเองในปัจจุบันสักเท่าไร แต่ความธรรมดาสามัญและความเก่าแก่ ก็อาจจะเป็นสิ่งที่เชื่อมต่อตัวฉัน บ้านของฉัน และชุมชนแห่งนี้เข้าไว้ด้วยกันก็เป็นได้
ชุมชนที่ฉันอยู่เป็นชุมชนเก่าแถบคลองสานที่อยู่ใกล้กับวัดอนงคาราม แม้ว่าจะไม่มีชื่อเรียกชุมชนอย่างเป็นทางการ แต่ถ้าหากให้ลองนิยามคำที่ใช้เรียกชุมชนแห่งนี้ให้ชัดเจนมากขึ้นแล้ว คำว่า “ชุมชนวัดอนงคาราม” หรือ “ชุมชนตลาดบ้านสมเด็จ” คงจะเป็นคำที่พอใช้เรียกพื้นที่ชุมชนแห่งนี้ได้ ที่นี่ไม่ได้เป็นชุมชนที่โดดเด่นและถูกพูดถึงเท่าใดนัก บางครั้งอาจจะมีกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติขี่จักรยานเข้ามาในชุมชนบ้าง แต่ก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ
อัตลักษณ์ของชุมชนนี้คงจะหนีไม่พ้นความเป็นชุมชนเก่า ความสงบ และความเรียบง่าย มีตึกแถวเรียงรายและบ้านเรือนที่เก่าลงไปตามกาลเวลา มีอุทยานและสวนสาธารณะที่ยังคงรักษาสถาปัตยกรรมเดิมไว้ อย่างไรก็ตาม ด้วยเวลาและสภาพความเป็นอยู่ของผู้คนที่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีต ทำให้ชุมชนของเราดูเหมือนจะมีอะไรที่แตกต่างไปจากภาพในความทรงจำของฉัน บางสิ่งบางอย่างยังคงอยู่ บางสิ่งบางอย่างหายไป ในสภาวะแห่งการเปลี่ยนแปลงนั้น บางครั้งก็ยังคงเหลือวัตถุบางอย่างไว้ให้เราระลึกถึง และบางครั้งวัตถุเหล่านั้นก็ได้หายไปแล้ว เหลือแต่เพียงความทรงจำอันเลือนราง
เหล่าวัตถุต่าง ๆ ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในสถานที่ต่าง ๆ ในชุมชนจึงเสมือนบันทึกแห่งประวัติศาสตร์และความทรงจำที่ทำให้ฉันได้ย้อนมองภาพของชุมชน วัตถุแห่งความทรงจำที่ทิ้งร่องรอยของการใช้ชีวิตที่รอเวลาให้ฉันกลับไปหา กลับไปสัมผัสกับบรรยากาศเหล่านั้นอีกครั้ง
ชิงช้า ม้าหมุน และกระดานลื่น เป็นสิ่งที่ฉันนึกถึงเป็นอย่างแรก ๆ ในสวนหย่อม สวนสาธารณะขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า สวนป่ากรุงเทพมหานครเฉลิมพระเกียรติ เชิงสะพานพระปกเกล้า ซึ่งฉันได้รู้จักและเห็นความเป็นไปของสวนนี้มาตั้งแต่ยังเด็ก เพราะเป็นสถานที่ที่คุณตามักจะออกไปวิ่งในตอนเช้า และเป็นที่ที่แม่จะพาฉันและน้องชายออกไปวิ่งเล่นเป็นประจำ
สวนหย่อมแห่งนี้ ฝั่งหนึ่งอยู่ติดสะพานพระปกเกล้า ฝั่งหนึ่งติดกับถนนพญาไม้ สภาพด้านในของสวนเปลี่ยนแปลงไปจากในอดีตมากพอสมควรเพราะผ่านการปรับปรุงภูมิทัศน์มาแล้วครั้งหนึ่ง สวนถูกปรับเปลี่ยนให้อำนวยความสะดวกแก่ผู้ที่มาออกกำลังกาย โดยมีเส้นทางสำหรับวิ่งที่ชัดเจน มีพื้นที่ลานกว้างสำหรับการเล่นตะกร้อหรือฟุตบอล มีสนามสำหรับเล่นบาสเกตบอลอยู่อีกฝั่งหนึ่งของสวน และยังมีพื้นที่สนามเด็กเล่นเล็ก ๆ อยู่ใกล้กับลานกว้างอีกด้วย
มองย้อนกลับไปในอดีต พื้นที่สวนสาธารณะตรงหน้านี้อาจไม่ได้เป็นมิตรกับผู้ที่มาออกกำลังกายเท่าไรนัก เพราะพื้นที่ของสวนอยู่ติดกับสะพานพระปกเกล้า ในตอนเย็น รถจะติดมาก ทำให้ฝุ่นและควันเยอะตามไปด้วย แทนที่คนที่มาพักผ่อนหรือออกกำลังกายที่สวนนี้จะได้ซึมซับและรับอากาศดี ๆ ก็กลับกลายเป็นได้สูดฝุ่น PM 2.5 เข้าไปแทน รวมไปถึงบริเวณรั้วด้านหนึ่งของสวนก็เป็นจุดที่มีกองขยะกองใหญ่ถูกนำมาวางในช่วงเย็นของทุก ๆ วัน ทำให้ภูมิทัศน์และบรรยากาศของสวนอาจไม่ได้น่าอภิรมย์มากเท่าใดนัก
เมื่อมองเหม่อเข้าไปในสวนหย่อมแล้ว ฉันเองก็อดคิดไม่ได้เลยว่า ภาพของสวนในปัจจุบันดูตรงกันข้ามกับภาพสวนหย่อมในความทรงจำของฉันเหลือเกิน พื้นที่ของสนามเด็กเล่นในอดีตดูจะกว้างขวางกว่าตอนนี้ มีเครื่องเล่นมากมาย ทั้งชิงช้า ม้าหมุน กระดานลื่น แม้ภายนอกจะดูเป็นสวนหย่อมธรรมดา ๆ แต่บรรยากาศอันร่มรื่นที่ปกคลุมพื้นที่ของสนามเด็กเล่น ทำให้ที่นี่เป็นสถานที่แห่งความทรงจำที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มและความสนุกสนานของฉันและน้องชายเสมอมา
เมื่อนึกถึงสถานที่เด่น ๆ ในละแวกนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึง สวนสมเด็จย่า สวนสาธารณะใหญ่อีกแห่งที่อยู่ในซอยสมเด็จเจ้าพระยา 3 สวนแห่งนี้มีพื้นที่ลานกว้าง พิพิธภัณฑ์ และศาลาใหญ่แสนร่มรื่น ที่ไม่ว่าอากาศจะร้อนเพียงใด เมื่อได้เข้ามานั่งในศาลาแล้วก็ต้องรู้สึกเย็นขึ้นทันใจ
อุทยานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือที่คนในละแวกนี้เรียกกันเล่นๆ ว่า สวนสมเด็จย่า เป็นอุทยานที่อนุรักษ์ไว้เพื่อเป็นพิพิธภัณฑ์เทิดพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และพัฒนาพื้นที่เป็นสวนสาธารณะระดับชุมชน ด้านในจะมีทั้งอาคารพิพิธภัณฑ์และบ้านจำลองที่ประทับเดิมของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เมื่อครั้งเคยประทับอยู่ที่ชุมชนแห่งนี้ รวมไปถึงศาลาแปดเหลี่ยมที่สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองในวโรกาสครบ 8 รอบ วันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระศรีนคริน-ทราบรมราชชนนี สวนในปัจจุบันยังคงเต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่มากมายรวมทั้งเป็นพื้นที่ที่อยู่ใกล้กับแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้บรรยากาศดูสงบและร่มรื่นกว่าที่ไหน ๆ ในชุมชน
สวนสมเด็จย่าในสมัยก่อนมีการจัดกิจกรรมบ่อยครั้ง และทุกครั้งที่มีการจัดกิจกรรมที่นี่จะครึกครื้นและคลาคล่ำไปด้วยผู้คนในชุมชนเสมอ หากจะเลือกสถานที่สักที่หนึ่งในการออกมาวิ่ง ออกมานั่งพักผ่อน หรือออกมาพบปะคนอื่นๆ ที่อยู่ในชุมชนแล้ว สวนสมเด็จย่าคงจะเป็นที่แรก ๆ ที่ทุกคนนึกถึง สถานที่แห่งนี้จึงมีความสำคัญต่อคนในชุมชนเป็นอย่างมาก ตัวฉันเองก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ไปสวนสมเด็จย่าบ่อย ๆ ทั้งเข้าไปวิ่งเล่นกับเพื่อน ๆ นั่งเล่นบนศาลากับครอบครัว รวมถึงพาเพื่อนๆ สมัยเรียนมัธยมไปนั่งทำงานด้วยกัน ศาลาแห่งนี้จึงเป็นสถานที่ที่อยู่ในความทรงจำในทุก ๆ ช่วงเวลาที่ผ่านมา
ถึงแม้ว่าสวนสมเด็จย่าในปัจจุบันจะยังร่มรื่นและเงียบสงบไม่ต่างไปจากเดิม มีการจัดกิจกรรมภายในสวนบ้างเป็นครั้งคราว ยังมีกลุ่มผู้สูงอายุมารวมตัวกัน นั่งพูดคุยกันบ้าง หรือรำไทเก๊กด้วยกันบ้าง แต่บรรยากาศภายในสวนสมเด็จย่าก็ดูเงียบเหงาและไม่ครึกครื้นอย่างที่เคย แม้กระทั่งตัวฉันเองก็ไม่ได้ไปที่นี่บ่อย ๆ เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ในความเงียบเหงานั้นทำให้ฉันรู้ว่าศาลาแห่งนี้ไม่ได้มีแต่ประวัติศาสตร์ของบุคคลสำคัญ แต่มีประวัติศาสตร์แห่งความทรงจำของฉันอยู่ในนั้นด้วย แม้เพื่อนบางคนที่เคยพามาที่นี่จะทะเลาะกันและไม่ได้คุยกันอีกแล้ว หรือเพื่อนบางคนที่ยังสนิทกันดี แต่ด้วยเวลาที่ผันผ่านก็ทำให้เราเหินห่างกันไปก็ตาม แต่ทุกครั้งที่ฉันได้มาที่นี่ ก็ทำให้ได้หวนระลึกถึงความทรงจำดี ๆ ในวันวานที่เคยได้ใช้เวลาร่วมกันกับคนอื่น ๆ เสมอ
วัดอนงคารามวรวิหาร เป็นหนึ่งในวัดที่อยู่ในละแวกชุมชนแห่งนี้ มีชื่อเดิมคือ วัดน้อยขำแถม สร้างขึ้นคู่กันกับ วัดพิชัยญาติการาม ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ด้านในมีทั้งพระวิหาร พระอุโบสถที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญอย่างพระพุทธจุลนาค พระพุทธรูปปางมารวิชัยสมัยสุโขทัย รวมไปถึงมีห้องสมุดประชาชนซึ่งมีพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเขตคลองสานอยู่ด้านใน สำหรับฉันแล้ว อาจพูดได้ว่า วัดอนงคารามเป็นวัดที่อยู่คู่กับชุมชนของเรามาตั้งแต่สมัยก่อน
ในปัจจุบัน วิหารในวัดเงียบเหงามาก เพราะคนส่วนใหญ่ที่เดินผ่านไปมาก็ได้แต่ไหว้พระประธานอยู่ตรงหน้าประตูพระวิหาร ไม่ได้เดินเข้ามาด้านในวัดเลยด้วยซ้ำ ผิดกับสมัยก่อนที่วัดไม่ได้ดูเงียบเหงาขนาดนี้ ฉันยังจำได้ว่า ในวันสำคัญทางศาสนา วัดมักจะเนืองแน่นไปด้วยผู้คนในชุมชนและคนที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงเสมอ โดยเฉพาะวันที่มีการเวียนเทียน ทุกคนจะพร้อมใจกันมาร่วมพิธีอย่างไม่ขาดสาย
แม้เวลาจะผ่านไปนานและคุณตาของฉันจะไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้วก็ตาม เรื่องเล่าของถังน้ำสีเหลืองและวิหารของวัดที่เงียบเหงาก็ยังคงอยู่เพื่อย้ำเตือนความทรงจำ และคอยช่วยให้รำลึกถึงเรื่องราวในอดีตที่แสดงให้เห็นถึงการดำรงอยู่ของวัดคู่กับชุมชนเสมอมา
ท่ามกลางการขยายตัวของเมืองและชีวิตเมืองอันเร่งรีบ การใช้ชีวิตอยู่กับความเงียบในบรรยากาศของชุมชนเก่าที่เต็มไปด้วยสถานที่และวัตถุแห่งความทรงจำในวันวานก็เป็นสิ่งที่ดีไม่น้อย แม้หลาย ๆ สิ่งในชุมชนจะแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ทั้งพื้นที่ของเด็ก ๆ ที่ลดน้อยลง ความสงบและความร่มรื่นที่มีความเงียบเหงาเป็นเพื่อนแทนความครึกครื้น วัตถุต่าง ๆ ที่ยังหลงเหลืออยู่ได้ทิ้งร่องรอยของการใช้ชีวิต และชักชวนให้เราออกเดินทางไปสัมผัสบรรยากาศและเรื่องราวในอดีตอีกครั้ง
เผยแพร่เพื่อประโยชน์ทางวิชาการเท่านั้น ไม่อนุญาตให้ทำซ้ำหรือดัดแปลง
© สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับเพิ่มเติม) พ.ศ. 2558
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in