“หมู่บ้านอนุรักษ์แย้” เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ซึ่งตั้งอยู่ที่ อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี มีแย้หลากหลายขนาดวิ่งขวักไขว่อยู่บนพื้นดินที่มีรูอยู่เป็นจำนวนมาก เมื่อนึกภาพตาม บางคนอาจรู้สึกว่า ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ที่แหล่งอนุรักษ์พันธุ์สัตว์จะมีสัตว์ชนิดนั้นๆ อยู่เป็นจำนวนมาก แต่หากพิจารณาถึงที่มาของเหล่าแย้ตัวอ้วนพีในหมู่บ้านแห่งนี้แล้ว จะพบว่า กว่าจะเลี้ยงจนมีจำนวนมากขนาดนี้ ป้าม่อน ผู้เป็นคนเลี้ยงต้องคอยเก็บข้อมูลผ่านการสังเกตอย่างใกล้ชิด และแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ด้วยตนเองอย่างเป็นระบบ แสดงให้เห็นทักษะการคิดอย่างเป็นขั้นตอนแบบวิทยาศาสตร์คือ เริ่มจากการตั้งปัญหา รวบรวมข้อมูลและสร้างสมมติฐาน ก่อนจะทดลองด้วยวิธีการต่างๆ จนได้ข้อสรุปเป็นองค์ความรู้ที่สำคัญต่อการอนุรักษ์แย้ในหมู่บ้าน องค์ความรู้นอกตำราที่นี่จึงเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า กระบวนการคิดแบบ วิทยาศาสตร์นั้นไม่ได้มีขีดจำกัดในเชิงพื้นที่คือต้องอยู่ในห้องแล็บหรือการเรียนการสอนในชั้นเรียน เท่านั้น แต่สามารถดำรงอยู่ได้ทุกหนแห่งด้วยความสามารถของผู้คนที่เป็นนักคิด
จะทำอย่างไรให้แย้อาศัยอยู่ในบริเวณที่ต้องการ?
คำถามดังกล่าวเป็นปัญหาข้อแรกที่ผู้เลี้ยงต้องหาวิธีแก้ ผู้ที่นำแย้มาเลี้ยงเป็นครั้งแรกคือ คุณพ่อของป้าม่อน ซึ่งใช้การสังเกตในการเก็บข้อมูล ก่อนจะสร้างสมมติฐานและทำการทดลอง ตามคำบอกเล่าของป้าม่อนว่า
“ก็สังเกตดู คุณพ่อเป็นคนชอบเลี้ยงสัตว์หลายประเภท ก็ดูว่าแย้มันอยู่ในรู เลยลองเจาะรูให้มันอยู่ดู มันก็อยู่นะ ไม่หนีไปไหน”
การทดลองดังกล่าวได้นำไปสู่ข้อสรุปว่า หากต้องการให้แย้อาศัยอยู่ในบริเวณใด ให้ใช้เหล็กเจาะดินบริเวณนั้น ๆ ให้เป็นรูลึกประมาณ 1 ฟุต แล้วปล่อยแย้ลงไป ใช้ถังครอบทิ้งไว้สัก 1-2 วัน เมื่อเปิดถังออกจะพบว่าแย้ยึดรูนั้นเป็นบ้านหลังใหม่แล้ว ถือเป็นการสังเกตและทดลองอันเป็นจุดเริ่มต้นของการเลี้ยงแย้ในหมู่บ้านอนุรักษ์แย้แห่งนี้เลยทีเดียว
ศัตรูตามธรรมชาติ
แย้หายไปไหนหมดนะ?
ถึงแม้แย้จะเริ่มคุ้นเคยกับพื้นที่และมีจำนวนเพิ่มขึ้น แต่การเลี้ยงดูกลับไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด เมื่อป้าม่อนสังเกตเห็นว่า ปกติแล้วแย้จะเกิดมารูละประมาณ 8 -12 ตัว แต่กลับเหลือรอดเป็นตัวเต็มวัย ไม่มากเท่าที่ควร ข้อสงสัยนี้นำไปสู่การเฝ้าสังเกตอย่างจริงจัง
“ต้องเฝ้าจริงๆ เลย มานอนเฝ้ากัน ไปไหนไม่ได้ ต้องผลัดกันอยู่เลย” ป้าม่อนกล่าว
หลังจากการสังเกตอย่างใกล้ชิดทำให้ทราบว่า แย้มีศัตรูตามธรรมชาติคือ นก งู และแมว ซึ่งมักจะมากินแย้ โดยเฉพาะลูกแย้ที่เกิดใหม่ ชาวบ้านจึงเฝ้าศัตรูของเจ้าแย้เหล่านี้อย่างเข้มงวดมากขึ้น แย้ตัวเต็มวัยจึงมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างที่ควรจะเป็น
ให้แย้กินอะไรดี?
คำถามข้างต้นเป็นอีกหนึ่งปัญหาสำคัญในการเลี้ยงแย้ การให้อาหารแย้ของป้าม่อน มาจากการเก็บข้อมูลโดยการลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ เริ่มจากการให้ผลไม้ เช่น มะม่วงหรือมะละกอ ก่อนจะลองให้สัตว์อย่างแมลงเม่า ผึ้ง และหนอน
“โอ้ย หนอนเนี่ย มันชอบม้าก ชอบมากที่สุดเลย” ป้าม่อนพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ข้อสรุปจากการทดลองให้อาหารอย่างหลากหลายนี้คือ แย้ชอบกินหนอนมากที่สุด โดยจะเห็นได้ชัดจากพฤติกรรมกระตือรือร้นเมื่อโยนหนอนให้ และจะเชื่องเป็นพิเศษจนสามารถลูบหรือจับมาวางบนตัวได้หากใช้หนอนเป็นเหยื่อล่อ รองลงมาคือแมลงเม่า โดยมีตัวอ่อนผึ้งและผลไม้เป็นอาหารว่างที่กินพอให้อิ่มเนื่องจากหนอนมีราคาค่อนข้างแพง แย้ชอบผลไม้น้อยที่สุด จากคำบอกเล่าของคุณป้าว่า มันกินผลไม้เหมือนจำใจกิน (ฮา)
หลังจากที่มีองค์ความรู้เรื่องอาหารและมีการให้อาหารอย่างเป็นระบบแล้ว แย้ที่หมู่บ้านอนุรักษ์แย้ก็อวบอ้วนและมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นจนเกือบเต็มพื้นที่
พฤติกรรมทั่วไป
“มันชอบอากาศร้อน แต่ร้อนเกินก็ไม่ไหว มันวิ่งมาก็ อุ๊ย! (ทำท่าวิ่งยกขา) กระเด้งตัวขึ้นมา อยากกินก็อยาก แต่มันก็ร้อนเหลือเกิน” ป้าม่อนเล่าพร้อมกับหัวเราะ
จากการเลี้ยงดูและเฝ้าสังเกตมานานหลายปี เมื่อถามข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับแย้ ป้าม่อนและ ชาวบ้านในบริเวณนั้นก็จะตอบได้ทันที เช่น แย้จะชอบความร้อนและแห้ง จากการสังเกตว่าตอนเช้า ๆ แย้จะออกมาผึ่งแดด ถ้าฝนตกจะปิดรู แต่ถ้าร้อนเกินก็ต้องฉีดน้ำให้ รวมถึงการจำศีล ซึ่งตรงกับช่วงเดือนมิถุนายนถึงพฤศจิกายน ก่อนจะออกมาผสมพันธุ์ วางไข่ช่วงเดือนมกราคม และออกไข่ในช่วงต้นเดือนมีนาคม โดยจะมีลูกรูละ 8 - 12 ตัว ก่อนจะแยกไปขุดรูอยู่เองเมื่อโตมากพอ แต่ถ้าแย้ตายก็จะตายในรู โดยรูจะปิดไปเลย
ป้าม่อนบอกว่า ส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้ทุก ๆ ปี มีคลาดเคลื่อนบ้างเล็กน้อย ถือเป็นการเก็บข้อมูลซ้ำ ๆ จนได้ข้อสรุปที่ชัดเจนและน่าทึ่งมาก ๆ
นักวิทยาศาสตร์
“เอ้า ก็สังเกต”
“ไม่ได้มีตำราอะไรหรอก ก็ดูเอา”
นางนพมาศ ปานสุวรรณ หรือ ป้าม่อน เจ้าของแย้และผู้อยู่เบื้องหลังการอนุรักษ์แย้ใน หมู่บ้านแห่งนี้กล่าว เมื่อได้รับคำถามเดิม ๆ ว่า ทำไมคุณป้ารู้เรื่องแย้เยอะจัง
กระบวนการสังเกตและทดลองที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ได้เกิดจากความอยากรู้แบบนักวิทยาศาสตร์เพียงอย่างเดียว แต่กลับเกิดขึ้นเพราะความรักและความปรารถนาดีที่อยากให้แย้เหล่านี้มีชีวิตอยู่รอดและไม่สูญพันธุ์จากการบริโภคของมนุษย์ ครอบครัวของป้าม่อนได้เป็นผู้ริเริ่ม ดูแล และถ่ายทอดความรู้ในการเลี้ยงดูแย้ให้แก่ผู้คนในหมู่บ้านจนมีแย้เป็นจำนวนมากและกลายเป็นหมู่บ้านอนุรักษ์แย้อย่างที่เห็นในปัจจุบัน นอกจากนี้ ชาวบ้านในหมู่บ้านยังคุ้นเคยและรู้สึกผูกพันกับแย้ตัวอ้วนเหล่านี้ ดังที่คุณยายคนหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า
“ถ้ามันหายไปก็คงจะใจหาย”
รวมถึงคำตอบของป้าม่อน เมื่อถามถึงความรู้สึกที่มีต่อแย้
“รักสิ ก็รักเค้าเหมือนคนในครอบครัว”
“ถ้าจะมาจับกินนะ จะตีให้ตายเลย”
© สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับเพิ่มเติม) พ.ศ. 2558 เผยแพร่เพื่อประโยชน์ทางวิชาการเท่านั้น
ข้อเขียนนี้เป็นส่วนหนึ่งในหนังสือ
“เขียนเล่นเป็นเรื่อง” รวมผลงานสร้างสรรค์ของนิสิตภาควิชาภาษาไทย ซึ่งเป็นผลงานลำดับที่ 3 ในหนังสือชุด “วิชญมาลา” รวมผลงานด้านภาษาและวรรณคดีไทย จัดทำโดย ภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2563
อ่านฉบับ E-book ได้ที่
Meb หมายเหตุเกี่ยวกับงานเขียน: ได้รับรางวัลชมเชยในโครงการ “ภาษาไทยสัญจร” ซึ่งเป็นโครงการอบรม เชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาทักษะการเขียนและผลิตสื่อสารคดีสร้างสรรค์ ประจำปี 2561 จัดโดย สถาบันภาษาไทยสิรินธร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ผู้ให้สัมภาษณ์: ป้าม่อน นพมาศ ปานสุวรรณ
ผู้สัมภาษณ์และเรียบเรียงบทสัมภาษณ์: วีริสา สมพงษ์
ศิษย์เก่านิสิตทุนโครงการสู่ความเป็นเลิศด้านภาษาและ
วรรณคดีไทย ภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เติบโตมา กับสารคดีสัตว์โลก
ชอบอยู่กับสัตว์และธรรมชาติมากกว่าคน ชอบวาดรูป
โดยเฉพาะต้นไม้ใบหญ้าและวิวทิวทัศน์ ชอบอ่านหนังสือ
เกือบทุกประเภท และมักชาร์จพลังโดยการอยู่เงียบ ๆ
คนเดียว
ภาพประกอบ: วีริสา สมพงษ์
เอื้อเฟื้อสถานที่: หมู่บ้านอนุรักษ์แย้
อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี
บรรณาธิการต้นฉบับ: หัตถกาญจน์ อารีศิลป
กองบรรณาธิการ: ธัญวรัตม์ วงศ์เรือง บุษกร บุษปธำรง วรนุช ขาวเกตุ
ธีรศักดิ์ คงวัฒนานนท์ จุฬารัตน์ กุหลาบ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in