เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
original fic (os/sf)
สลิ่มในบ้าน
  • /




                        วันสุดท้ายของเดือนกุมภาพันธ์​ที่ทุกสี่ปีจะมีหนึ่งครั้ง, วันนั้นเป็นครั้งแรกที่พ่อกลับบ้านในรอบหลายเดือน ฉันเคยอธิบายความสัมพันธ์​ระหว่างฉันกับพ่อว่า เสมือนคนแปลกหน้าที่มีโครโมโซมครึ่งหนึ่งในตัวฉัน



                        เช้าวันนั้นฉันลงมาจากห้องนอนพร้อมความง่วงงุน สายตาเหลือบไปเห็นพ่อกำลังนั่งทานข้าว ฉันสวัสดี พ่อสวัสดีกลับ ท่ามกลางความเงียบมีเสียงผู้ประกาศข่าวช่องหนึ่งดังจากโทรทัศน์​ ฉันที่กำลังตักข้าวเข้าปากชะงักงัน เพราะช่องที่พ่อกำลังดูอยู่คือเนชั่นทีวี เกือบทุกคนในประเทศนี้รู้ว่าข่าวการเมืองของเนชั่นเป็นอย่างไร และอยู่ฝั่งใคร ความผิดหวังเริ่มก่อตัวพอกพูนเต็มหัวใจเหมือนข้าวในจาน แต่ฉันก็ไม่ได้ถามออกไปว่าทำไมพ่อถึงเลือกเสพสื่อรายการนี้



    และเสียงรายงานเนื้อหาข่าวที่ก้องในโสตประสาท​ทำฉันแทบสำรอกอาหารมื้อแรกของวันออกมา



    พ่อของฉันชอบเดินสนามหลวง ดูบอล ส่องพระ และสะสมของเก่า แต่ฉันไม่นึกว่าพ่อจะมีความคิดเก่าตามของพวกนั้นด้วย อย่างไรก็ตาม ฉันจะยังไม่ตัดสินเขาว่าสนับสนุนฝ่ายเผด็จการที่ยึดเก้าอี้รัฐมนตรี​ไว้แน่นเหมือนปลิงกำลังสูบเลือดเนื้อผู้คน







    /





    หลังจากพ่อเดินออกไปพร้อมคำพูดว่า


    'ฝากบอกแม่ด้วยนะ พ่อจะไปสนามหลวง'


    'โอเคค่ะ'


    แค่นี้ ไม่มีอะไรไปมากกว่านั้น, อาจเพราะเราไม่สนิทกัน อาจเพราะฉันกลัวคำตอบ คำถามที่ค้างคาในใจก็เลยไม่ได้เปล่งออกจากลำคอ




     ฉันเปิดการค้นหาวิธีการบล็อค​ช่องรายการโทรทัศน์​ สุดท้ายก็พบ แต่มันต้องใช้รหัสผ่านที่มากับคู่มือการใช้งาน ดังนั้นฉันจึงรอแม่เพื่อถามหามัน




    /




                        แม่กำลังทานข้าวอยู่บนโซฟาข้างกายฉัน ฉันคิดอยู่นานสองนานว่าจะถามแม่เรื่องคู่มือการใช้งานดีหรือไม่ จะโดนว่าหรือเปล่า? แต่ฉันคิดเพียงว่าแม่นั้นไม่เห็นด้วยกับเผด็จการและรัฐบาลนี้มิใช่หรือ เช่นนั้นก็น่าจะคุยกันได้?, และนั่นคือจุดเริ่มต้นของก้นบึ้งความผิดหวังที่ไม่มีสิ้นสุด


    "แม่ คู่มือการใช้งานทีวียังอยู่ใช่เปล่า"


    "อยู่ จะเอาไปทำอะไร"


    ฉันหัวเราะเบาๆ


    "บล็อกช่องเนชั่น พ่อดูอ่ะ รับไม่ได้"


    แม่ทำหน้างงอยู่ครู่เดียว จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นใบหน้าเวลาเตรียมเทศนา, และคำเทศนาเหล่านั้นฉันไม่มีวันลืม


    "จะไปบล็อกทำไม"


    "ก็ช่องเนชั่นให้เฟคนิวส์ อยู่ฝั่งรัฐบาล​ด้วย" ฉันเริ่มขมวดคิ้ว


    "ถึงบล็อกไปพ่อก็กลับบ้านไม่บ่อย ดูวันอื่นก็ได้นี่" แม่เคี้ยวข้าวอย่างช้าๆ


    "แต่อย่างน้อยตอนอยู่บ้านเราพ่อจะไม่ได้ดูไง"


    "แบบนี้มันไปจำกัดสิทธิ​เสรีภาพคนอื่นนะ"


    ฉันนิ่งงัน


    "เขาจะเลือกดูข่าวช่องอะไรก็ได้ มันอยู่ที่ตัวคนว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ"


    "แต่ถ้าเขาเชื่อล่ะแม่ เราก็ต้องกันไว้ไหม"


    "จะไปบังคับให้เขาเชื่ออะไรไม่เชื่ออะไรไม่ได้นะ มันเป็นสิทธิ์ของเขา" แม่เริ่มขึ้นเสียงใส่ฉัน


    "แม่ การเชื่อเผด็จการไม่ใช่สิทธิ์​ เผด็จการมันจำกัดสิทธิ์ของคนอื่น" อารมณ์ที่ขุ่นมัวทำให้เสียงของฉันดังขึ้นตาม


    "ทำไมเราต้องเลือกข้างด้วยล่ะ ทีแม่ดูฝั่งรัฐบาล​ฝั่งฝ่ายค้าน แม่ก็ไม่เห็นจะเชื่อฝั่งไหนเลย เราต้องวางตัวเป็นกลาง"


    "แต่วางตัวในสถานการณ์​ที่มีคนถูดกดขี่มันก็เท่ากับเราอยู่ฝั่งเผด็จการนะ"


    "นี่ลูกหัวรุนแรงรึเปล่าเนี่ย"


    "หัวรุนแรงคืออะไร? "


    "บังคับให้คนอื่นเชื่อตามตัวเองไง"


    "หนูไม่ได้บังคับ หนูแค่ไม่อยากให้พ่อเห็นด้วยกับรัฐบาล"


    "ที่จะ​บล็อก​ช่องนั่นแหละบังคับ"


    "หนูก็บอกอยู่ว่าไม่ได้บังคับให้เชื่อ แค่ไม่อยากให้ดู วันอื่นจะดูแล้วแต่ แต่ต้องไม่ใช่ในบ้านนี้ หนูกำลังพยายามจะเปลี่ยนความคิดพ่อ หนูไม่อยากเห็นพ่อโอเคกับเผด็จการ"


    "หัวรุนแรงแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? ตามกระแสรึเปล่า? ไปเสพอะไรมา?"


    หลังจากนั้น ฉันก็จำไม่ได้แล้วว่าตัวเองนั้นตอบไปอย่างไร เพราะน้ำตามันบดบังความคิดไปหมด





    /




                        ฉันทักไปถามเพื่อนว่าการที่จะบล็อกช่องนั้นผิดหรือไม่ ลึกๆแล้วฉันกลัวว่าตัวเองนั้นจะเป็นแบบที่แม่พูด ฉันกลัวว่าตัวเองจะไหลออกจากโหลแห่งอุดมการณ์และความเชื่อ​ที่ตั้งมั่นไว้ตลอดมา ฉันกลัวว่าตัวเองกำลังทำลายประชาธิปไตย​ที่มีอยู่น้อยนิดในประเทศด้วยการบล็อกช่องเนชั่นไม่ให้พ่อดู


    แต่แล้วฉันก็คิดได้ว่านี่ไม่ใช่ความผิดของฉัน รู้ว่าการพยายามทำให้คนหนึ่งตาสว่างนั้นยากกว่าการหารักแท้ ฉันเพียงหวังว่าอย่างน้อยพวกเขาจะเปิดใจฟังบ้าง เสียงที่เปล่งออกมาอาจจะเบาจนไม่ได้ยิน แต่มันอาจก้องในหัวพวกเขาตลอดเวลา

     
    ซึ่งฉันก็อยากไปหารักแท้ทันทีหลังจากคุยกับแม่



    ฉันไม่เคยคิดว่าจะร้องไห้เพราะพ่อแม่เป็นสลิ่ม


    ฉันร้องไห้เพราะความผิดหวัง เหมือนคุณรู้ว่าซุปเปอร์แมนไม่ใช่ฮีโร่ เหมือนคนที่แอบชอบเอาจดหมายรักของคุณไปทิ้งขยะ เหมือนตอนรู้ว่าคนที่สรรเสริญ​มาตลอดทั้งชีวิตแท้จริงแล้วทำสิ่งระยำต่ำทรามเกินกว่าให้อภัย


                        วันนั้นฉันร้องไห้ทั้งวัน หยุดไปสักชั่วโมง พอนึกถึงคำว่าหัวรุนแรงขึ้นมาก็ร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลัง, ดูไร้สาระแต่คุณลองได้ยินคำนี้จากแม่ตัวเอง คล้ายเขาเหยียบ​ย่ำอุดมการณ์​ของคุณ แปะป้ายคุณว่าเป็นนักเรียน​นักศึกษา​หัวรุนแรงและตามกระแส



    ฉันคิดวนไปมาหลายรอบ หัวรุนแรงคืออะไร?


    คือการที่คนออกมาชุมนุมเรียกร้องสิทธิ์​อันชอบธรรมของพวกเขาหรือ? การโต้ตอบกับการกระทำอันรุนแรงของตำรวจและทหารที่มาทำร้ายพวกเขาหรือ? การขึ้นเวทีปราศัย พูดถึงข้อเรียกร้องที่พวกเขาสมควรได้รับหรือ? การยึดมั่นในความเป็นประชาธิปไตยนั่นคือพวกหัวรุนแรงหรือ?


    ฉันได้ข้อสรุปออกมาว่า คำว่า 'หัวรุนแรง' นั้นถูกใช้แค่กับนักศึกษาที่ออกมาประท้วง ทวงถามสิทธิ์ของพวกเขาเท่านั้น ไม่มีการใช้กับอีแก่ทั้งหลายที่ออกมาเป่านกหวีด โบกธง ร้องสรรเสริญ​ ยกย่องทรราชและด่ากราดผู้อื่นว่าชังชาติเลย




    ผู้ใหญ่ที่ตามืดบอดจงรับรู้ แม้อายุของพวกเราจะน้อยกว่าระดับอีโก้ของพวกคุณมากโข แต่พวกเรามิใช่ลูกเจี๊ยบที่จะเดินตามรอยเท้าพ่อไก่ พวกเราลุกขึ้นเพื่อพวกเราเอง มิใช่ด้วยคำสั่งบุคคลคนใดคนหนึ่ง

    กลับกันผู้ใหญ่บางคนให้คนอื่นจูงคอไปอย่างง่ายดาย น่าละอายหรือไม่ลองตรึกตรองดู



    พวกเขาชอบกล่าวว่าการชุมนุมครั้งนี้จะให้ผลเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
    สงครามจะจบลงโดยมีผู้ชนะคนเดิมได้อย่างไร
    หากกองทัพเปลี่ยนรูปแบบการโจมตี

    พวกคุณมั่นใจได้อย่างไรว่าเราจะอ่อนกำลังและสิ้นหวัง
    จงรู้ไว้ว่าการอยู่เฉยนั้นน่าละอายและสิ้นหวังกว่านัก


    ความกลัวนั้นมีอยู่ในทุกคน ไม่เป็นไรที่จะกลัว
    แต่จงยืนขึ้นด้วยความฮึกเหิมเถิด
    ไม่เช่นนั้นความกลัวจะติดอยู่กับท่านไปจนตาย
    ในยุคของเผด็จการและม.112


    ฉันหวังว่าเสียงของพวกเราจะดังขึ้นเรื่อยๆ


    จงโกรธและเกลียดชังพวกที่ทำให้ประเทศเราย่อยยับ จงอย่าให้ไฟแห่งโทสะถูกดับ, เราจะถูกขับเคลื่อนโดยสิ่งเหล่านั้นและความหวังอันส่องสว่างในใจของพวกเราทุกคน








    เราเชื่อ
    และ
    เราจะชนะ








    /

    ด้วยรักและเผด็จการจงพินาศ



Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in