เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Both Between Same Pathwallflowerblu
Cho (2)


  • ผมต้องรู้สึกยังไงที่มีใครบางคนไม่ยอมปล่อยที่นั่งตรงนั้นเป็นอิสระ ทั้งที่มันควรจะเป็นของผมแต่แรกด้วยซ้ำ

     

    ใบหน้าที่เพียงปราดตาเห็นก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นมิตรเหลียวมองผมครู่เดียว แขนยาวชะลูดยกเหนือหัวโบกมาทางผม อย่างกับกลัวว่าหลังเลนส์แว่นสายตานี่ดวงตาของผมจะไร้ทิศเหมือนคนหลงทางตามฉบับคนทั่วไปที่เข้าใจจำแนกกลุ่มคนจำพวกสายตาสั้นออกห่าง อันที่จริง มันสั้นขึ้นเยอะเลย เพราะผมทนรับสภาพที่ต้องมีไอ้เลนส์กระจกทรงกลมหนาค้ำสันจมูกทุก ๆ ยี่สิบสี่ชั่วโมงไม่ไหว แต่เพราะทำแบบนั้นอยู่เรื่อย เวลาคิดว่ามันไม่เป็นไรหรอกน่าและใช้ชีวิตตามคนปกติทั่วไปภาระหนักอึ้งจึงตกไปอยู่กับเท้าทั้งสองข้างที่ต้องคอยสาวเข้าใกล้ตัวอักษรบนหน้ากระดาษหรือย้ายที่นั่งไปอยู่ข้างหน้าใกล้โปรเจคเตอร์แทน ในทางตรงกันข้าม ตัวเลขที่ถูกเขียนระบุบนหน้ากระดาษจากจักษุแพทย์ก็ดูทะลักไปไกลกว่าคาดหลายโข


    การทะเยอทะยานในเรื่องที่ไม่ควรต่อให้มากแค่ไหนมันก็ไม่ถูกพัฒนาอยู่ดี ถ้าใช้ในทางที่ผิด ถึงสัญชาตญาณข้างในจะบอกว่าผมไม่เสียใจกับการกระทำนั้นเลยสักนิดก็ตาม

     

                   เส้นผมสีส้มสะท้อนเด่นชัดตั้งฉากกับดวงอาทิตย์กลางสนามหญ้า ผมตัดสินใจอยู่นานว่าควรจะเดินจากไป หรือทำทีเออออเข้าพวกดูสักครั้ง แต่ก็ไม่ทันขาเจ้ากรรมของตัวเอง ระยะทางอันสั้นเริ่มย่นเข้าใกล้เสียกว่าจะตั้งหลักถอยห่างแล้ว

                  

                   โช!” น้ำเสียงเป็นกันเองเอ่ยอย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนกับหมอนี่เป็นเพื่อนสนิทมานานนับปี ทั้งที่ผมจำชื่อเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ น่าอายชะมัด เพราะอย่างนั้น ชื่อของเขาจึงถูกหักล้างเหลือเพียงคำโต้บททั่วไปเพราะความสะเพร่าของผม

     

                   เอ่อ...ดี

     

                   กะแล้วว่าต้องมาที่นี่

     

                   กระเป๋าเป้สีดำถูกฉวยออกไปกลางคัน ก่อนผมจะเคลื่อนตัวประทับความเป็นเจ้าของแทนชั่วคราว มีธุระอะไรรึเปล่า ผมแทรกตัวลงนั่งพื้นที่ว่างข้าง ๆ อย่างระแวดระวัง

     

                   ต้องมีธุระด้วยเหรอ ดวงตากลมโตคู่นั้นฉงนแววสงสัยเบิกกว้าง ท่าทีเหมือนลูกหมาโกลเด้นที่คอยฟังคำสั่งพี่เลี้ยงเป็นอย่างดีแม้จะถูกแกล้งฉายแววปรากฏในสายตาผม

     

                   ไม่ต้องหรอก แต่ไม่ค่อยมีใครเข้าหาฉันแบบนี้

     

                   เขาทำท่าครุ่นคิด เหรอ ไม่เคยมีใครร้องไห้ใส่ผมเหมือนกัน

                   ใบหน้าเห่อร้อนของผมเริ่มทวีคูณอุณหภูมิ หลังจับความในน้ำเสียงจำเจตนาเหล่านั้นไม่ออกว่ามาในแง่ไหน ผมใช้สองมือจับลาดไหล่เขา เสี้ยววินาที เหมือนแรงตอบสนองอัตโนมัติของร่างกายก่อนออกแรงเขย่าเท่าที่สามารถประมาณต่อความขลาดอาย อย่างกับว่าหลังทำสิ่งเหล่านี้จะทำให้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นมลายสภาพ ห้ามพูดเรื่องนี้อีกเด็ดขาด

     

                   ฝ่ายเริ่มบทโต้กลับด้วยฝ่ามือขาวซีดสองข้างยกแทรกคั่นอกระหว่างเขากับผม ราวประกาศสัญลักษณ์ธงขาวเหนือหัว ผมรีบละมือจากการสัมผัสเขาอย่างลืมตัว ขณะทบทวนเพราะเผลอลืมตัวว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ควร

                  

                   โทษที/ขอโทษ ใจความเดียวกัน ทว่าต่างรูปอักษรเรียบเรียงต่างในน้ำเสียง ตอบรับเป็นจังหวะเดียวกัน เสียงประสานนั้นทำเอาผมตกใจอยู่หน่อย ๆ เพราะไม่นึกว่าจะได้ยินจากปากเขารวมถึงปากตัวเองด้วย

                  

                   ต่างฝ่ายต่างละเมียดรสเบนโตะในพื้นที่ของตัวเองอย่างเงียบเชียบ มีบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมถึงยอมใช้เวลามื้อเที่ยงกับหมอนี่อย่างแรก อาจเป็นเพราะผมกำลังไถ่บาปให้ตัวเองอยู่ สำนึกในใจบอกว่าผมควรอยู่เป็นเพื่อนร่วมชะตากรรมกับเขาเพราะทำเรื่องน่าไม่อายต่อหน้าไปถึงสองหน อย่างที่สอง เพราะเขาไม่ตัดสินผมเหมือนมิโดริ แต่น้ำหนักของเรื่องตามระยะเวลารู้จักระหว่างเราเทียบไม่ติดกับเธอด้วยซ้ำ เพราะงั้นผมจึงตัดเหตุผลข้อที่สองออก เหลือแค่ข้อเดียว แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมถึงขยันสร้างความอับอายต่อหน้าเขาอยู่เรื่อย

                  

                   โชคชะตาเหรอ

     

                   เพ้อเจ้อ

     

                   พรุ่งนี้ฉันไม่มานะ ผมว่าไม่เห็นเขาจะตอบอะไรกลับมา เผื่อไม่เจอ

     

                   ถ้าหากเราสองคนไม่รู้จักก่อนเหมือนอย่างที่ผ่านมา ผมกับเขาคงไม่มีวันมาจบลงที่ม้านั่งตัวนี้ไม่มีวันที่เขาจะได้ไปเหยียบอพาร์ทเมนต์ของผม และเจอมิโดริที่เป็นมิตรได้แม้แต่กับคนเพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก เหมือนเจ้าของร้านดอกไม้หน้ามหาลัยที่มีเจ้าของร้านเป็นหญิงวัยเกษียณหันมาเปิดธุรกิจด้วยตัวเอง เธอมักใจดีแถมแซมมาด้วยหนึ่งดอกเสมอเวลาเห็นผมไปเยือน ท่ามกลางเยอบีร่าหลากสีที่ผมซื้อกลับมา เธอไม่เคยถามผมกลับเลยสักครั้งว่าเอาไปทำอะไร นอกเหนือจากคำว่าจะให้ห่อแบบไหนดี หรือบางทีการที่ผมเผลอใจดีกับคนแปลกหน้าก็เพราะความรู้สึกตื้นเขินเหล่านี้ ใจความที่ว่าต่างฝ่ายต่างไม่มีการถลำลึกในเรื่องราวของกันและกัน ทว่าการพบเจอทุก ๆ วัน เท่านั้นเองที่บังคับให้เราเข้าใจชีวิตกันและกันอย่างเงียบเชียบในอารมณ์คุกกรุ่นภายใน 


    ผมไม่ได้หันมองชายหนุ่มข้างกายอีกนอกเหนือจากกล่องข้าวในมือที่ละเมียดจนหมด

     

                   พรุ่งนี้...พยากรณ์ ฝนตก น้ำเสียงทำนองเรียบว่า เหมือนจงใจพูดเฉพาะเรื่องสำคัญและไม่อยากจะบอกมันออกมาในเวลาเดียวกัน ผมเหลียวมองเขาชั่วครู่ ใบหน้าครึ่งเสี้ยวกับพยากรณ์อากาศบนหน้าจอโทรศัพท์ในมือทำผมเดาไม่ออกว่าควรตอบกลับรูปประโยคนั้นแบบไหนดี

     

                   ถ้าไม่ได้ไปไหนก็มาคาเฟ่พี่สาวผมสิ เขาเอ่ยชวนดวงตาหยีลงตอนหันมอง เหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรแต่ก็จับทางไม่ออกเช่นกันผมทำพาร์ทไทม์ช่วงเย็นถึงสามทุ่มไม่ค่อยมีลูกค้าไงถึงเลือกเวลานั้น ไม่ได้ขยันอะไรหรอก นาน ๆ ทีจะมีลูกค้ามานั่งทำงานประปราย มีเวลาปั่นโปรเจคตัวเองด้วย วินวิน คิดว่าโชน่าจะถูกใจ

     

                   ไว้จะลองคิดดู พอดีชอบที่ที่ไม่มีคนผมตอบไปตามตรง เท่าที่จะเป็นประโยคปฏิเสธแบบไม่น่าเกลียดจนเกินไปให้เขารับรู้ เหมือนอีกฝ่ายจะเข้าใจ เขาจึงไม่ท้วงถามหรือตอบรับอะไร ระหว่างพื้นหญ้าบนฝ่าเท้ากับพื้นกระเบื้องในความคิด ซึ่งอย่างหลังดูจะชัดเจนราวกับตัวตนนี้กำลังก้าวเข้าอาคารไปแล้ว เพียงแค่เริ่มลุกขึ้น ขณะตั้งใจเดินกลับไปยังห้องเรียน กลับสู่ที่ที่ผมควรจะอยู่มากกว่า

     

     

                   /

     

     

                   กินยารึยัง มิโดริท้วงถาม

     

                   เคลือบกระเพาะก่อนอาหาร ลดไข้ อักเสบ ลดน้ำมูกหลังอาหารเรียบร้อย โชไล่นิ้วเป็นตัวเลขไล่เรียงให้คนถามไถ่รับรู้ ก่อนนอนสูดน้ำมูกกับประกบผ้าชุบน้ำเย็นหมาด ๆ บนหัว

     

                   เธอรู้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาป่วยหนัก โชเป็นคนประเภทอยากตายก่อนวัยอันควร อันนี้เธอก็ไม่ได้แช่งเหมือนกันแต่เจ้าตัวบอกมาเอง เพราะเขาลงทะเบียนบริจาคอวัยวะเอาไว้ตามสัญญาแล้วอวัยวะที่ใช้ได้ในการผ่าตัดแลกเปลี่ยนจะต้องไม่เกินกว่าอายุหกสิบห้าปีเป็นต้นไป ข้อต่างนี้ทำให้โชใช้ชีวิตตามใจอยาก ไม่เหมือนคนทั่วไปที่เธอรู้จัก โชแตกต่าง แต่ก็ดึงดูดผู้คน เขาเป็นแบบนั้นเสมอ มิโดริจำเหตุการณ์ตอนประท้วงการเมืองเรื่องผลประโยชน์ของชาติและกลุ่มนายทุนต่อประเทศมหาอำนาจอย่างประเทศจีนที่จัดขึ้นโดยกลุ่มนักศึกษาได้ขึ้นใจ โชคว้าจักรยานออกไปร่วมกลุ่มกับผู้คนด้านนอกมากมายที่ตัวเองไม่รู้จัก ทั้งที่บอกเองว่าไม่ชอบคนแต่เขาก็ทำแบบนั้น ทุก ๆ วันแม่ของโชต่อสายมาถึงเธอ เพราะลำบากใจที่พบเห็นข่าวในทีวีต่อการสลายการชุมนุมแต่ละครั้ง ที่ไม่ว่าจะมองยังไงฝ่ายนักศึกษาก็เป็นผู้ร้ายแม้จะเสียหายในมุมมองของการแสดงออกของสื่อ เธอตอบอะไรมากไม่ได้ นอกเหนือจากบอกกับแม่ไปว่า โชต้องไปเขาบอกว่าเป็นหน้าที่ของพลเมือง หลังสิ้นสุดคำพูดของมิโดริ น้ำเสียงแหลมสูงระคนร้อนรนใจของแม่จึงเงียบลง เคล้าเสียงสั่นเครือตอบกลับมาเพียงแค่ว่า งั้นสินะ ก่อนวางสายและไม่ได้โทรกลับมาอีก จนกระทั่งเธอเป็นฝ่ายส่งข้อความไปบอกที่บ้านของโชเองว่าลูกชายคนเดียวของพวกเขากลับมาถึงอย่างปลอดภัยดี ตัวอักษรสีเข้มจึงปรากฏข้อความ อ่านแล้ว ชัดเจนในความรู้สึกของเธอพอจะไม่ปริปากถามไถ่โชอีกว่าวันนี้เป็นยังไงบ้าง

     

                   โชไม่เคยเอ่ยคำชวนให้เธอได้ใช้ความคิดฝ่ายเดียว เขาไม่เคยร้องขอให้เธอไปไหนมาไหนเป็นเพื่อน แม้จะเกิดขึ้นในตอนที่ลำบาก เขาคนนั้นก็ไม่ยอมปริปาก อย่างวันนี้ ดีที่เธอมีธุระแค่รับจ็อบส่งหนังสือพิมพ์ตอนเช้าในละแวกตำบลตัวเอง กลับมาอีกทีก็ล่วงเกือบบ่าย โชยังนอนซมอยู่ในห้องตัวเองไม่ยอมลุกไปไหนเหมือนอย่างเคย และเมื่อเธอเดินเข้าไปใกล้ถึงได้มีแต่คำถามเต็มไปหมดในหัวว่าเขาทนตัวร้อนเป็นไฟขนาดนั้นได้ยังไงทั้งคืน

     

                   แม้แต่คนใกล้ตัวที่ไว้วางใจได้โชก็ไม่เคยขอความช่วยเหลือ มิโดริไม่รู้ว่าอะไรคือกำแพงหนาสูงในใจนั้นบางครั้งบางคราวมันก็เคยรั่วเป็นรูโหว่ให้เธอได้มองลอดสำรวจและช่วยอุดมันเข้าที่เข้าทางด้วยตัวเอง แต่ก่อนจะได้ทำแบบนั้นโชก็รู้ตัวก่อนและลงมือซ่อมแซมรอยรั่วเหล่านั้นตามลำพังอยู่เรื่อยคนประเภทนี้ ให้ตายยังไงก็ไม่มีวันเข้าไปหยั่งถึงได้หรอก เธอเคยล้มเลิกหลายครั้งแต่จนแล้วจนรอดก็ทำใจทิ้งเขาไว้ข้างหลังไม่ได้ โชไม่เคยยื่นมือให้เธอจับเลยก็จริง แต่เขาก็ไม่เคยละล้วงความเป็นอิสระไปจากเธอเลยสักครั้ง เขาแค่อยู่ในพื้นที่ของตัวเอง แต่ทว่าพื้นที่กรอบนั้นชวนหลงใหลให้เดินเข้าใกล้อยู่ร่ำไป ไม่วันนี้ ก็พรุ่งนี้ คนเราจะทนเห็นในสิ่งที่ใครอีกคนเอาแต่ปกปิดมันอยู่ตลอดไม่ไหวหรอกอึดอัดจะตาย

     

                   เดี๋ยวขากลับจะซื้อเจลลดไข้มาแล้วกัน อยากได้อะไรนอกจากขนมปังไหม

     

                   ชาเขียวปั่น

     

                   โอเค

     

                   หาใบหน้าเห่อแดงเหลียวกลับมาในท่าตะแคงข้าง มองฝ่ายสนทนาที่ยืนจดจ้องมาทางหน้าประตูห้องด้วยสำนึกบริสุทธิ์เกินกว่าจะทำได้ฉวยอยู่บนใบหน้าเขาในเวลาเดียวกัน คืนมิโดริมานะยัยปีศาจ

     

                   คนเราคือครึ่งเทวดา ครึ่งปีศาจ ไม่รู้จักรึไง เด็กบ๊อง

     

                   นี่ เขาทำท่าเหมือนคนอมทุกข์ ขดลำตัวนอนอยู่ในท่ากิ้งกือประจำตัวใต้ผ้าห่ม ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่ามันเป็นเรื่องสาหัสประมาณไหน เพราะนานทีปีหนโชจะยอมแทรกเรื่องเล่าของตัวเองเข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันให้ฟัง

     

                   อะไร มิโดริรีบท้วง ขณะเช็ดมือกับชายเสื้อที่เพิ่งจะโยนผ้ากึ่งหมาดไว้เหนือเตาไมโครเวฟเพราะเพิ่งเสร็จธุระจากงานเช็ดจานหลังวางตากไว้ริมระเบียงห้องแค่พอเป็นพิธี

     

                   เย็นนี้ไปคาเฟ่กันดีไหม

     

                   อะไรนะ นี่หูฟาดเหรอ ขออีกทีสิ มิโดริรู้ตัวว่าคำถัดไปคงเป็นอะไรไม่น่าฟังแต่กลับผิดคาด

     

                   ก็เบนโตะไง ผมส้ม โชครุ่นนึกเขาวาดนิ้วไปมากลางอากาศ ราววาทยกรกำลังบรรเลงการขับร้อง ในที่สุดมิโดริก็แทรกขึ้น เพราะรู้ว่าเป็นจังหวะที่ควรจะนึกให้ออกเพื่อลบความคิดบางอย่างในใจของโช มิซึกิเหรอ

     

                   อ้อ ใช่ เขาชวนมาน่ะ ร้านพี่สาวเห็นบอกทำพาร์ทไทม์กะค่ำอยู่นั่น

     

                   แล้วต้องติดเจลลดไข้ไปนั่งนะ รู้ตัวรึเปล่าว่าจะออกไปสภาพไหนถ้าจะไปวันนี้ เธอท้วงถาม ขณะหยัดตัวสูงหลังผูกเชือกรองเท้าผ้าใบเรียบร้อย โชกระแอมไอสองสามที ก่อนไหวมือส่งสัญญาณให้เธอรู้ตัว คราววงกลมเล็ก ๆ ถูกชูขึ้น พร้อมเหยียดนิ้วทั้งสามข้างไล่ลำดับเป็นคำตอบ มิโดริจึงรีบย่างฝีเท้าออกไปร้านสะดวกซื้อเพื่อจะได้พาโชไปหาเพื่อนใหม่คนนั้นให้ทันเวลา

     

     

                   /

     

     

                   มวลชื้นผสมกับกลิ่นหอมเจือจางทิ้งตัวหยดพรมระหว่างเราทั้งสาม ผ่านชั้นกรองอากาศของเครื่องปรับอากาศสองตัวเหนือร้าน ผมเบิกตาจ้องมองผู้ชายผมส้ม ที่เมื่อกลางวันยังเป็นคนธรรมดา ๆ สวมชุดลำลองกับถือกล่องเบนโตะเหมือนอย่างที่ผ่านมาทุกวัน จนผมชินชาภาพนั้นไปเอง ไม่อย่างนั้น ซอกหลืบความทรงจำที่เอาแต่ใจของผมคงไม่จดจำตัวตนเหล่านั้นของเขามาซ้อนทับคนที่สวมเบลเซอร์สีดำทับกับเสื้อยืดขาวด้านในเข้าคู่กับกางเกงแสลคตรงหน้านี้หรอก ทั้งยังเพิ่งสังเกตเห็นอีกว่าเจ้าตัวสวมรองเท้าหนังและเซทผม ที่เวลาปรกติจะปัดปรกลงมาชิดกับดวงตา ถึงจะอยู่ในวงแสงโคมไฟระย้าหรี่เพียงรำไรจากร้านทอประกายดวงขาวเหลือบส้มขนาบพวงแก้ม และห้อมลอมพื้นที่เหนือขนคิ้วยาวบาง นับรวมเค้าข้างใต้เส้นผมสีแสบตาอย่างกับผลพริกหยวกนี่แล้ว ก็ยิ่งขับออร่าบางอย่างจนผู้หญิงมากหน้าหลายตาในร้านเหลียวกันไม่พัก

     

                   เหมือนคนละคนแหง มิซึกิชิงพูด เขาชี้แผ่นเจลบนหน้าผากของผมแล้วทำหน้าเหมือนเจอคนจูงสัตว์เลี้ยงเข้ามาในร้าน ท่าทางต่อจากนี้ก็ด้วย รู้สึกเหมือนจะถูกคนคนนี้วิจารณ์อะไรสักอย่างอย่างบอกไม่ถูก ผมรีบฉวยลาเต้ร้อนในมือเขามาซดล้างลำคอเสียก่อนจะถูกกวดไล่ หน้าฟ้องอยู่ชัด ๆ เขาเอ่ยต่อ ผมเค้นเสียงในลำคอกระแอมไอ เพราะแรงดันเมื่อกี้จ่อทะลักคู่ความร้อนไหลค่อนข้างเร็วกว่าที่คิด  ก่อนมิซึกิจะหันไปทำท่าทางแปลก ๆ กับมิโดริแทน

     

                   นี่ ๆ ถ้าสงสัยก็ถามสิ จะไปถามยัยนี่ทำไม ผมจิ้มแผ่นเปลือกบางที่เริ่มจะคันยุบยิบ เพราะมันคงซับไอร้อนจากผิวมาร่วมสองชั่วโมงแล้ว หวัดลงคอนิดหน่อยอากาศเปลี่ยน

     

                   “ที่ผมอยากรู้คือ ทำไมถึงไม่รอหายดีแล้วค่อยมาล่ะ เราสามคนสบตากันไปมาเหมือนเล่นเกมส์ฝ่ายกระพริบก่อนแพ้ แต่แล้วผมก็เป็นคนทำแบบนั้นซะเอง เมื่อสบเข้ากับดวงกลมสีเข้มเหนือศีรษะเพราะเขาคนนั้นจงใจกดจ้องต่ำกะทันหัน หรือว่า...กลัวไม่เจอผม

     

                   “...หลงตัวเองชะมัด ผมส่ายหน้า แล้วเพยิดคางหาผู้ร่วมอุดมการณ์ฝั่งตรงข้าม แต่เธอก็ยกยิ้มเหนือมุมปากเล็ก ๆ แสร้งกลับ

     

                   อะไรกัน บรรยากาศแบบนี้ มิโดริว่า ทำทีเหมือนจะผุดลุกไปเข้าห้องน้ำ ฉันไม่อยากขัดจังหวะรื้อฟื้นมิตรภาพพวกนายเลย ขอตัวไปฉี่แปป แล้วการเริ่มต้นของผมกับมิซึกิก็ดำเนินต่อไปแบบนั้นเพราะคนที่ควรจะอยู่เป็นเพื่อนร่วมเสพบรรยากาศร้านเดินหน้าตั้งหนีไป ทั้งที่โซดาสตอเบอร์รี่ยังเหลือเต็มแก้ว

     

                   พี่สาวล่ะ

     

                   อ้อ กลับไปแล้ว” เขานั่งลงตรงข้ามผม แทนที่มิโดริหน้าตาเฉย

     

                   กลับไปทำงานเถอะ ไหนว่าลูกค้าไม่เยอะไงคนจะมองว่าฉันแปลกนะ ลุกเลย

     

                   ก็ไม่เยอะนี่ ห้าคนเอง

     

                   นั่นแหละเยอะ

     

                   เขาขบเม้มริมฝีปากชั่วคราว ก่อนคลายสิ่งเก็บซ่อน ตั้งศอกท้าวคางขณะลอบมองเหมือนจะผิดหวังอยู่หน่อย ๆ จะกลับเลยเหรอ อยู่ต่อซักเดี๋ยวสิ เพิ่งจะมาเอง

     

                   ก็ยัง ต้องรอยัยนั่นดูดแก้วนี้ให้หมด ผมตอบพลางมองแก้วตรงหน้าเขา

     

                   ผมจะแถมคุกกี้หน้านิ่มให้ชิม อยากลองไหม ผมรีบปัดปฏิเสธรู้สึกเหมือนกำลังใช้เส้นสายบางอย่างกับเรื่องไม่เหมาะสมขึ้นมาก็ตอนนี้

     

                   ซื้อ ผมว่า เขาทำหน้าเหมือนโกลเด้นที่ไม่เจออาหารในชามข้าว ผมจึงเรียบเรียงถ้อยคำอีกหน สำนึกผิดที่แอบรู้ตัวถึงสีหน้าลับหลังแบบนั้นอยู่ฝ่ายเดียว เอามาชิมก็ได้แต่คิดบิลให้ด้วย

     

                   ผมไม่เข้าใจเลยว่าคำพูดที่บอกไปมันผิดพลาดตรงไหน เมื่อถือถุงกระดาษที่ภายในบรรจุคุกกี้ช็อกโกแลตมาสองชิ้นขณะเดินกลับอพาร์ทเมนท์ แสงไฟจากโคมสูงของเส้นถนนบนทางเท้าเจิดจ้าจนทำให้ฝ้าใต้กรอบแว่นเลือนหาย ซื้ออะไรอีกไหม ผมหันหน้าถามมิโดริ รู้สึกแปลกพิกลที่เราไม่ยกประเด็นหยุมหยิมขึ้นมาเถียงกันเหมือนอย่างทุกวัน

     

                   ไม่อ่ะ โชล่ะ ผมส่ายหน้า รู้ตัวคลับคล้ายเพิ่งจะโต้ตอบกิริยาเดิมไปไม่นานมานี้เอง มิซึกิโผล่เข้ามาในหัว ซ้อนทับการจราจรรอบวงเส้นยานพาหนะ ครั้งที่เท่าไหร่ ครั้งแรกละมั้ง แววตาที่ไม่มีผมหน้าม้าบังเป็นแบบนั้นเอง ผมรับรู้ ทำความเข้าใจที่ลึก ๆ ยังรู้สึกเหมือนไม่ได้เข้าใจอะไรเป็นชิ้นเป็นอันดี แต่ก็กล้าพอจะรับมันเอาไว้เป็นเรื่องส่วนตัว

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in