หนึ่งวันก่อนเทศกาลดอกไม้ไฟมาถึง โชพบว่ามิโดริไม่ได้เตรียมจัดกระเป๋าตั้งแต่พลบค่ำเหมือนอย่างปีที่แล้ว แต่เธอกำลังจดจ้องอยู่กับรูปวาด fritillaries in a copper vase บนผนัง ท่าทางเหมือนยูกิตอนจ้องจะตะปบแมลงหยอกล้อไส้ไฟไม่มีผิด กาแฟกรุ่นไอร้อนบนโต๊ะไม่มีร่องรอยขมวดปมอ้อยอิ่งผ่านห้วงอากาศ โชเดินเข้าไปใกล้โต๊ะทำงานของเธอ จากแผ่นหลังแคบเล็กเท่าหยิบมือ จึงเทียบเท่าขนาดตัวของเขาในเวลาเพียงไม่กี่วินาที เมื่อปลายเท้ายาวเร่งสาวใกล้มวลคุกกรุ่นเหล่านั้น และคำตอบของคำถามทั้งหมดในหัวเขาก็คือเธอกำลังเหม่อลอย และยินยอมให้รสหวานปนขมอย่างลาเต้ร้อนตรงหน้าชืดเปล่าไปกับความหลังในใจตามลำพัง ไม่บ่อยครั้งนักที่เธอจะเป็นแบบนี้ โชเข้าใจว่ามันคงใกล้ถึงวันนั้นของเดือนมากกว่า ที่กดทับความรู้สึกเธออยู่กลาย ๆ สิ่งนี้ไม่ใช่มิโดริที่เขารู้จักมาทั้งชีวิตหรอก
“คิดถึงก็ไปดูดาวสิ จะมาดูรูปแจกันดอกไม้ทำไม” เขาว่า สีชอล์กขีดลากตามศิลปินชื่อดังสวมรอยเป็นภาพปรากฏหนึ่งเดียวกันกับอินเทอร์เน็ตทั่วไป แม้รูปทรงจะบิดเบี้ยวไปตามธรรมชาติของช่วงวัยขณะนั้น แต่พ่อของเธอก็ตั้งใจวาดให้มิโดริเก็บไว้ดูเป็นของต่างหน้า เพียงเพราะรู้ตัวว่าต้องลาจากสักวันเพราะโรคมะเร็งปอด หลังรักษาตัวอยู่ที่บ้านได้สามเดือน
“ยังไม่นอนอีกเหรอ” เธอตอบ น้ำเสียงเนือยเฉื่อยแต่ก็ไม่ยอมหันมามองหน้ากัน
“ฉันฝันว่าเธอมาขอข้าวกิน... เลยตื่น”
“ฉันยังไม่ตายสักหน่อยจะบ้ารึไง” เธอวาดวงแขนฟาดลงสีข้างของโชเบา ๆ แต่แค่นั้นก็ทำให้เขาร้องโอดโอยอย่างกับคนถูกมีดบาดเข้าจริง ๆ
“ใจเสาะชะมัด ตีแค่นี้เอง”
“ก็ฝันจริง ๆ นี่ กะจะลุกมาฉี่ด้วย” เขาปัดแขนอีกฝ่าย ขณะเบี่ยงตัวถอย ก่อนเหลียวซ้ายเหลียวขวาเอียงคอสำรวจ ห้องนอนของมิโดริไม่ได้เป็นระเบียบมากพอจะให้เขากวาดสายตาเร็ว ๆ ระหว่างย้ายจุดสังเกต แต่เธอก็ไม่ได้เร่งเร้าต่อบทสนทนาอื่น “แล้วไม่จัดกระเป๋าไปดูดอกไม้ไฟเหรอ”
“ปล่อยให้คนเพิ่งหายป่วยดูคนเดียวคงใจร้ายไปมั้ง”
“น่าซึ้งดีจัง แต่ไม่ต้องหรอก มีคุณลุงข้างห้อ-”
เป็นครั้งแรกของวันที่เขารู้ตัวว่ามิโดริกำลังขมวดคิ้วมุ่น ท่าทีเขม้นสงสัยเหมือนคนตรงหน้าเป็นฝ่ายไม่เต็มถ่าน จนโชต้องเม้มปากตรึงระนาบแบบเดียวกัน แค่เพราะไม่เข้าใจว่าประโยคบอกเล่าก่อนหน้าบิดเบือนความจริงตรงไหนไป
“โอ มีคนตกข่าวอยู่ตรงนี้ด้วยแฮะ” เธอชี้ ดวงกลมโตหยีลงนิดหน่อย ขณะรูปปากยกวาดตัวโอยั่วอารมณ์อย่างน่าไม่อาย “เห็นว่าติดป้ายปล่อยเช่าแล้ว สงสัยคราวนี้ทะเลาะกันแรงไปหน่อย” มิโดริผ่อนจังหวะเล่า น้ำเสียงเครือกังวลเล็กน้อย หลังเห็นโชดูตกตะกอนอะไรบางอย่างขณะทรุดตัวลงนั่งเหนือปลายเตียงของเธอ
“เขาไม่เห็นแวะมาบอก” โชว่าเสียงอ่อน
“ไม่มีใครอยู่ห้องน่ะสิ จะติดโพสอิทลาคงแปลก ๆ มันกะทันหันนี่นะ เรื่องย้ายบ้าน ใครจะไปรู้” โชไหวตัวล้มลงนอน ไม่นาน อาการอยากปล่อยผ่านก็เริ่มก่อตัวตนเจ้าระเบียบ สั่งการให้เขาลุกขึ้นมาฉวยจับสิ่งโกลาหลรอบข้าง จัดระเบียบหมอนอิงและหมอนข้างที่ไม่ควรมากองรวมปลายเตียงให้อยู่เป็นที่เป็นทาง พอหันกลับไปก็เจอสายตาหดหู่สบเข้าอย่างจัง “เราจะเป็นแบบนั้นไหม”
“แบบไหน” โชขมวดปมหนาเหนือดวงวอลนัทคู้เล่นเหมือนเด็กไม่รู้ความ ก่อนย่นจมูกจามออกมาดัง ๆ หนึ่งที “เราติดกันอย่างกับปลิง” หลังสาธยายความจริงที่ว่า เจ้าตัวจึงยกแขนเสื้อเช็ดปลายจมูกอย่างเบามือระหว่างรอดูท่าทีกลับกลอกชอบกลตรงหน้า
“เยี่ยม งั้นพรุ่งนี้ฉันจะนัดยูเมะจังหน้าร้านสะดวกซื้อ ไว้เราค่อยไปพร้อมกัน”
“ขอถอนคำ เธอต่างหาก ฉันไม่เกี่ยว”
“ทำไม นัดมิซึกิไว้รึไง”
“ไม่อ่ะ เราเจอกันแค่ตอนกินเบนโตะ ฉันไม่มีคอนแทคหมอนั่น”
“กลัวว่าขอไปแล้วเขาจะคิดว่าจีบว่างั้น”
“ทำมาเป็นรู้ดีไปได้”
“รู้แล้วกัน” เธอรีบใช้สายตาหวั่นระแวงเพ่งใบหน้าเรียบเฉยของโช พลางกอดอกแน่น ราวอยากจะเค้นให้เขาสารภาพอะไรสักอย่างออกมาแม้ไม่มีคำถาม “ตั้งแต่เราเป็นเพื่อนกันมา ยังไม่เคยเห็นเลยว่าจะมีแฟน”
“จะไปมีได้ไง ฉันต้องมาคอยไล่แฟนเธอออกจากห้องไม่ซ้ำหน้ารายเดือน รู้ไหมว่ามันน่ารำคาญแค่ไหน”
“อย่ามาแกล้งเปลี่ยนเรื่องดิ ใครจะไปรู้ว่าจะกลับมา คราวหลังก็ทักมาบอกกันก่อนสิ”
“เจ้าของห้องหรือเปล่าที่ต้องพูดประโยคนั้น ให้ตาย ไอ้ความรักเพี้ยนๆ นั่นมันกินความคิดเธอไปด้วยเห็นๆ”
มิโดรินิ่งงัน เหมือนน้ำเสียงหนักแน่นเหล่านั้นจะกระแทกความรู้สึกเสี้ยวลึกของเธออย่างจัง “ก็จริง” ใบหน้าเล็กฟุบลงบนข้อเข่าที่ตั้งชันกับเก้าอี้อีกที “ฉันมันเพี้ยนถึงขั้นยอมลาออกเพื่อมาใช้ชีวิตนี่นะ”
“ตอนนั้น...นายบอกว่ายังไงนะ... จะจมอยู่กับมันไปจนวันตายหรือจะออกไปใช้ชีวิต ใช่ ใช่ไหมล่ะ” เธอหยุดพูด ทิ้งความรู้สึกโหวงเหวงบาง ๆ ระหว่างสายใยสัมพันธ์ชั่วขณะ “ที่จริง ฉันรู้ดีกว่าใครเลย รู้ด้วยซ้ำว่าถ้าไม่ยอมปล่อยมันไปฉันก็จะตายไปพร้อมมันเข้าสักวันทั้งที่ยังไม่เคยใช้ชีวิตจริง ๆ สักที ยังไงซะ คนเขียนหนังสือบนโลกนี้ก็มีอยู่ทุกวันนี่นะ ใครจะจับปากกาก็ได้ ใครจะมีฝันก็ได้ ใครจะลากตัวอักษรมาบรรจบกันแบบไหนก็ได้ ถ้าฉันมีความสามารถมากพอ เสาโทริอิคงไม่ต้องฝืนกับคนที่ไม่ยอมรับกฎความจริงข้อนั้นไปได้คนนึงเลย คนนอกนั่น เอาแต่บอกให้ฉันพยายามต่อ ทั้งที่ไม่มีใครรู้เลยว่าฉันแตะไปจนถึงสุดขีดจำกัดของตัวเองแล้ว ถึงอย่างนั้น...มันก็ยังไม่พ้นคำว่าพยายามในสายตาพวกเขาอยู่ดี ขอโทษนะ...ที่เป็นคนไม่ได้เรื่องมาตลอด” เธอคงหมายถึงต้นฉบับที่ส่งไปให้สำนักพิมพ์พิจารณาสม่ำเสมอแต่ยังไม่มีรายไหนติดต่อกลับมา แถมเรื่องที่ตั้งใจลงเสียดิบดีก็ไม่มีแววว่าจะมีทุนเอาไปตีพิมพ์ด้วยซ้ำ ต่อให้มี เธอเองก็ไม่รู้อยู่ดีว่าจะพิมพ์ออกมาให้ใครอ่าน เธอเคยเล่าไว้แบบนั้น
ฉันไง มีฉันอ่านทั้งคน โชจำได้ว่าตัวเขาโพล่งปากไปตามสัญชาตญาณดิบ ทั้งที่ไม่รู้อะไรเลยว่าความหวังดีนี้ไม่มีความหมายสำหรับมิโดริ และในความจริงอันแน่นแฟ้นมันอาจไม่เคยมีอยู่เลยก็ได้
โชรู้ดีว่าหนึ่งในคนนอกคือใครบ้าง ผู้คนมากมายที่กัดกินตัวตนของเธอมาตลอดชีวิต ไม่เว้นแม้แต่ปลายสายของคนเป็นแม่ที่ไม่เคยใยดีกับการย้ายมาอยู่ห้องเล็ก ๆ กับลูกชายเพื่อนตัวเองสักครั้ง ไม่มีใครเห็นพ้องกับความสัตย์จริงทั้งหมดข้อนั้น ความเดียวกระชั้นง่าย ๆ ที่ว่า จะลาออกเพื่อมาเขียนหนังสือสักเล่ม แล้วแกรู้เหรอว่าสิ่งที่เชื่อมันจะมั่นคง ได้เงินจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ กิจการที่ฉันทำทุกวันนี้ก็เพื่อส่งแกเข้าเรียน ทำงานดี ๆ กับบริษัทอุตสาหกรรมชั้นนำสักที่ ตอบแทนความอุตสาหะทั้งชีวิตของฉันกับพ่อแก แต่นี่แก... แกยังมีสติดีอยู่บ้างไหม จะเขียนมันไปอีกกี่ปี ฉันกับลุงแกก็แก่ขึ้นทุกวัน ๆ ไม่มีเวลามารอวันที่แกมีชื่อเสียงหรอกนะ ไหนจะค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้กลับคืนมาแบบต้องนับเวลารอวันสำเร็จไม่ได้นี่อีก ให้ตายฉันก็ไม่มีวันแลกเดิมพันกับมันเด็ดขาด ล้มเลิกได้แล้ว เลิกเพ้อเจ้อ แล้วก็เลิกเขียนอะไรบ้า ๆ นั่นซะ ประโยคกึ่งเรียงความข้างเดียวทั้งหมดของฝ่ายตรงข้ามลอดปลายสาย ก้องผ่านประตูห้องของมิโดริ ก่อนเขาจะเดินผ่านมาได้ยินเสียงสะอื้นช้า ๆ ไม่เป็นจังหวะอยู่นานโข ทว่ามันกลับนานพอ ๆ กับที่โชไม่รู้สึกถึงอาการเหน็บชาในท่าพิงกรอบไม้บานสูงเพื่ออาศัยจังหวะดี ๆ เข้าไปปลอบเธอด้วยโกโก้ร้อนสักแก้วก่อนนอนเลยสักนิด แต่แล้วคืนนั้นเขาก็ไม่กล้าพอจะถลำความรู้สึกเข้าไป ถึงเราจะเป็นเพื่อนกันมานานสิบปีเพราะมิตรภาพจากตู้โทรศัพท์ เขาก็ไม่มีวันอยากเดินเข้าไปใกล้เธอด้วยซ้ำ ถ้าเธอไม่เดินออกมาเอง เสียงสะอื้นไห้คลอไม่เป็นวรรคเป็นตอน สลับกับความเงียบงันเป็นตัวฉุดกระชากภาพจำของสีหน้ายินดีแบบกวน ๆ ของเพื่อนร่วมห้องวัยเยาว์ซะจนหมดคราบ โชจำเสียงหัวเราะแว่วบางเบาก่อนโยนสัมภาระลงบนเตียงโล่ง ๆ ของห้องว่างอีกห้องที่เขายอมถอยให้แต่โดยดีได้ขึ้นใจ เพราะเธออาสาจะทำความสะอาดชดใช้แทนค่าเช่าระหว่างนี้ไปก่อนจะหางานทำ โชไม่เคยรู้เลยว่าความฝันจะมีหน้าตาเป็นยังไง ขอแค่มีชีวิตตามธรรมเนียมเดิม ๆ กิจวัตรเดิม ๆ ในเวลาเดิม ๆ ต่อไป เขาก็ไม่ต้องการที่พึ่งอื่นอีก ไม่รู้ด้วยว่าการต้องทอดทิ้งสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นรักข้างเดียวในโลกจินตนาการกับโลกความจริงของเธอมันเกินเยียวยาเท่าไหร่ แต่การเฝ้ารอนั้นก็ทำให้เขารู้ว่าเสียงหัวเราะของใบหน้าเปื้อนยิ้ม เวลาได้แหย่อารมณ์เขาเล่นแค่ไม่กี่นาที คงช่วยทุเลาสิ่งบั่นทอนไม่จบไม่สิ้นในใจของมิโดริได้เป็นปลิดทิ้ง ให้เปรียบก็น่าจะเหมือนยาชั้นดีพอ ๆ กับการปาหมอนอิงกระแทกเข้าเบ้าตาแดง ๆ นั่นทุกวัน
“ถ้าพ่อยังอยู่ พ่อยังจะอยากอ่านเรื่องที่ฉันเขียนไหมนะ”
เขาเม้มคำตอบเป็นเส้นตรง รู้ว่าควรส่งสัญญาณครางอือออกไปเวลาไหน แต่ก็ทำได้แค่คิด
“ถ้าดื้อพอจะกลับมา” มิโดริเงยหน้าสบตอบ “ฉันรู้นะว่าใครเขียน ลายมือไก่เขี่ยสมกับเป็นโฮชิโกะคุงสุดๆ” โพสอิทบอกเล่าลอย ๆ บนเบนโตะเปล่าวันแรก เขาดูออกว่าเธอคงจะเข้าใจความหมายจริง ๆ ของมัน ว่าสิ่งนั้นไม่ได้หมายถึงแค่ตัวเขาที่ออกไปเรียน แต่ยังรวมถึงเธอ ที่ไม่ยอมออกไปไหนด้วยต่างหาก
“ไม่เห็นต้องพูดให้ฉันดูเป็นคนไม่ดีเลย” โชว่า
“ตรงไหน”
“ตรงที่บอกว่าหรือจะจมอยู่กับมันไปจนวันตาย”
“ก็มันจริงนี่ ถ้าไม่เลือก ฉันคงตายไปพร้อมกับมันจริง ๆ”
“ไม่จริงอ่ะ ต่อให้เลือก เธอก็ยังต้องตายกับมันอยู่ดี”
“...งั้นก็ดีล ไม่เลือกไปดูดอกไม้ไฟแสดงว่าต้องไป”
“ไม่เกี่ยวสักหน่อย”
ค่ำนี้, หมอนอิงใบเล็กปะทะไม่แรงเหมือนอย่างเคย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in