เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Both Between Same Pathwallflowerblu
Mitsuki
  •      ระหว่างโชยังไม่กลับ มิโดริยืนรดน้ำต้นไอวี่จากระเบียงห้องที่แม่ของโชส่งมาให้รอ ปกติแม่จะแวะมาประจำช่วงวันหยุดพร้อมถุงผ้า ไม่ต้องเดาให้ยากเพราะภายในก็บรรจุอาหารจนล้น กระเป๋าผ้าดิบตุง ๆ นั่นจะวางไว้หน้าประตูอะพาร์ทเมนท์หากไม่มีคนอยู่ เว้นแค่ว่าช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมามิโดริยังว่างอยู่ห้อง หลังลาออกจากที่เก่าได้ไม่นาน เธอจึงออกไปต้อนรับแทน พอส่งความหาโชว่าแม่แวะมา เขาก็อ่านแล้วเงียบไป สุดท้ายก็ไม่กลับมาสักที กระทั่งแม่กลับเขาถึงสวนขึ้นมาหน้าตาเฉยพร้อมถุงเมล่อนปัง แต่เพราะพักหลังได้ข่าวจากโชว่าที่บ้านต้องดูแลพืชผลในสวนเลยไม่สะดวกแวะมาเท่าไหร่ แต่ก็สบจังหวะกับเจ้าตัวที่ตอบปลายสายหลังวันที่แม่มาแล้วไม่เจอลูกชาย เธอจึงโทรมาเช็คดูว่าเขาพอใจกับของที่ส่งมาหรือไม่ มิโดริคิดว่าถ้าเธอเป็นแม่โชคงเสียใจมาก ๆ ที่ลูกชายตอบกลับไปแค่ ไม่ต้องแวะมาบ่อย ๆ ก็ได้ แต่ความคาดหวังทางอารมณ์จากปลายสายกลับเป็นแค่บทสนทนาสามัญอย่าง งั้นก็หัดทำอาหารเองซะบ้าง ไอ้ลูกบ้า



         ลืมไปแล้วแฮะว่าบ้านนี้ก็เป็นซะอย่างงี้ มิโดริคิด



         เสียงฝีเท้าจากหน้าห้องดังเข้ามาถึงริมระเบียงที่มิโดริยืนอยู่ ไม่ต้องเดาให้ยากก็มีแค่โชที่จะไขกุญแจเข้ามาได้ เสียงลากเท้ายาวที่มีแค่ถุงเท้าบาง ๆ เสียดสีไปกับพื้นห้องดังไม่เป็นจังหวะชวนให้คนฟังนึกเรื่องสนทนาอื่นมาแทรกไม่ออก ในตู้เย็นมีชามะนาวอยู่เหยือกหนึ่งที่เธอชงแบบผงสำเร็จรูปแช่ทิ้งไว้ หวังก็แต่ให้เขาเปิดมาเจอและรินดื่มเอาเอง มันคงรู้สึกแปลกเกินกว่าจะรินเตรียมไว้หรือเดินออกไปต้อนรับ ทำอย่างกับเป็นพวกใช้ชีวิตหลังแต่งไปได้ ขนลุกชะมัดแบบนั้น
      

         มิโดริสั่นศีรษะช้า ๆ ไล่ความฟุ้งเพ้อเจ้อในหัวให้พ้นทาง เป็นครั้งแรกที่นึกภาพตัวเองในชุดผ้ากันเปื้อนกับโชที่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเหวี่ยง ๆ ออกมาเป็นฉาก ๆ ฉันถามออกไปตามบทที่ได้รับว่าวันนี้เป็นยังไงบ้างคะ ส่วนเขาจะตอบกลับมาว่า นี่เธอเป็นใคร กินเหล้าจนเพี้ยนอีกแล้วหรือไง ประมาณนั้น


         หลังเติมความชุ่มชิ้นให้ต้นไอวี่ครบทั้งสามต้นแล้ว แก้วน้ำพลาสติกสีใสทำหน้าที่รินรดของเหลวกระจายตัวลงสู่ฐานดินจนหมดก็ถูกวางลงเบียดชิดกับคอมเพรสเซอร์แอร์มุมเดิม



         หญิงสาวสะดุ้งตัวโยนหลังยันตัวลุก ไม่ทันหันหลังกลับดีก็มีชายหนุ่มตัวสูงผมส้มจากที่ไหนไม่รู้เดินออกมาปรากฏตัวต่อหน้าด้วยสีหน้าเหวอหวาแบบเดียวกันกับเธอ พอรวบรวมความเป็นจริงเข้าด้วยกันได้เขาคนนั้นก็กลับเข้าสู่สีหน้าโหมดปกติพร้อมวาดยิ้มน้อย ๆ แก้เขิน “อ่ะ ตรงนี้มีคนอยู่ด้วยแฮะ หวัดดีครับ”


         ก่อนจะส่งประโยคคำถามมากมายในหัวส่งกลับไป มิโดริจึงตัดสินใจชะโงกหน้าเข้าไปในห้อง ท่าทีแปลก ๆ ของเธอทำเอาเด็กหนุ่มตัวสูงตรงหน้าเอี้ยวตัวหลบตามแทบไม่ทัน


         “โชล่ะ” เธอว่า ชายหนุ่มปริศนาชี้นิ้วไปยังโซฟา เขาพึมพำต่อท้ายเบา ๆ เป็นคำถามกลับมาว่าเขาชื่อโชเหรอ แต่เธอก็ไม่ได้ตอบ


         มิโดริเดินเข้าไปหาเจ้าตัวทันที ท่าทางกำลังอร่อยกับเมล่อนปังในถุงกับเหยือกชามะนาวอยู่ “ไม่เห็นบอกกันก่อนว่าจะมีเพื่อนมาด้วย” เธอเว้นจังหวะ ก่อนเหลียวมองคนตัวสูงทางด้านหลังที่กำลังสนอกสนใจอยู่กับวิวริมระเบียง “เอ นายมีเพื่อนด้วยเหรอ”

      

         “เขาเอากล่องข้าวมาคืน เดี๋ยวคงกลับมั้ง” โชเงยหน้าตอบมิโดริที่ยืนค้ำเอวเหนือหัวด้วยอาการงุนงง “นอกจากนี้ก็ไม่รู้จัก เรื่องมันยาว” 





    โชเป็นลูกคนเดียวที่ไม่อยากมีเพื่อน


    เด็กหญิงมิโดริในวัยเก้าขวบที่ย้ายบ้านมากะทันหันจากเกียวโตกำลังสำรวจตามพื้นที่โดยรอบของบ้านทาวเฮ้าส์สองชั้นด้วยอาการตื่นเต้นสุดขีด พูดตามตรงเกียวโตดูใหญ่เกินไปสำหรับคนรายได้เทียบชานเมืองอย่างครอบครัวเราขึ้นมาถนัดตา เมื่อลองเพ่งมองวิถีความเป็นอยู่ของผู้คนแถวนี้มาได้สองสามวัน ก็ดูเหมือนว่านี่จะเป็นการเริ่มต้นที่ดี สำหรับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ชานเมืองอะคิตะ หลังธุรกิจร้านของเล่นของพ่อล้มละลายและค่อย ๆ เลือนหาย จนกระทั่งต้องจำใจปลดลูกน้องออกเกือบหมด หลังถูกเรียกฟ้อง มีบางคนที่ยังภักดีอยากจะช่วยเหลือ แต่พ่อไม่ได้เล็งเห็นผลประโยชน์อย่างใดของตนจะมีให้อีกต่อไป เขาจึงปฏิเสธทุกข้อเสนอจากคนใกล้ตัวที่ชวนให้เอาเงินเก็บหลักแสนอันน้อยนิดมาบริหารสิ่งใหม่ ปากท้องของคนในครอบครัวสำคัญกว่า แม้จะมีหนี้สินกองโตหนักหนาท่วมหัว พ่อหนักแน่นกับประโยคนั้น แต่มิโดริรู้ว่าข้างในนั้นคงเจียนตาย


    มิโดริรู้แค่ว่าในวัยเท่านี้ เด็กอย่างเธอก็ทำได้แค่ปฏิบัติตัวไปตามหน้าที่ ทุกถ้อยคำของแม่พร่ำสอนจะมีคำว่าแค่ทำตามหน้าที่ไปก็พอ สำหรับลูก เสมอ ๆ ไม่เว้นแม้แต่ตอนที่เธอบังคับลูกสาวให้เรียนหรือทำในสิ่งที่มิโดริไม่ต้องการ แม่ก็ใช้คำกล่าวนั้นมาอ้างอยู่ร่ำไป นานวันเข้าเธอก็ขยาดที่จะได้ยินคำว่าหน้าที่ กระทั่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใช้ชีวิตอยู่บนหน้าที่แบบใด


    บ่ายแก่วันหนึ่ง ตู้โทรศัพท์สาธารณะหยอดเหรียญไม่ลง มันค้างเติ่งอยู่อย่างนั้นจนมิโดริหัวเสีย หลังเคาะกระแทกอยู่นานเท่าไหร่ก็ไม่ยักกะร่วงหล่นลงไป ประเด็นสำคัญคือเธออยู่บ้านคนเดียวแต่ดันอยากออกมาซื้อไอศกรีมจนลืมหยิบกุญแจบ้านติดตัวมาด้วย ทั้งที่เผลอล็อคไปแล้ว พ่อกับแม่ยังไม่กลับจนกว่าจะถึงเวลาเลิกงาน ถ้าเกิดโทรเรียกก็อาจจะโดนด่า แต่อย่างน้อยก็ได้เข้าบ้านสมใจดีกว่าเที่ยวเดินเตร่อยู่ในหมู่บ้านแบบนี้ มิโดริยอมรับว่าตัวเองกำลังกลัว



    เพราะเป็นเด็กผู้หญิงเหรอถึงได้กลัว แม้จะเป็นตอนกลางวัน



    “เอ่อ คุยเสร็จรึยังครับ” บุคคลปริศนาเอ่ย มิโดริหันหลังกลับไปมอง จึงเห็นว่าเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่คนน่ากลัวตามอย่างที่จินตนาการไว้


    “อ๋อ คือตู้มันหยอดเหรียญไม่ลงน่ะ ของฉันยังค้างอยู่เลย”


    “ของส่วนรวมแท้ ๆ ไม่เห็นจะดีอย่างโม้”


    “หะ” เด็กชายตรงหน้าบ่นอุบอิบ แต่แว่วเสียงได้ยินไม่ชัดนัก จับใจความได้ก็เพียงแค่ประโยคแรก เขาตวัดสายตามองเธออยู่ครู่หนึ่ง มิโดริจึงได้สังเกตชัดขึ้นว่าสีน้ำตาลอ่อนรำไรสะท้อนเงาตัวเองฉาบอยู่ในม่านทอแสงนั้นดูพิเศษดี ทรงผมหน้าม้าตัดสั้นเกรียนที่มองผิวเผินว่ามันทะแม่ง ๆ แต่ทีแรก พอมองให้ชัดไม่ได้ดูแปลกตาไปเสียเท่าไหร่


    “ไม่ได้ตั้งใจจะมองนะ พอดีรีบเลยลืมหยิบแว่นออกมา” เธอว่า ขณะเด็กชายคนนั้นเอียงตัวเดินกลับไปคว้าคอจักรยานสีน้ำเงินขึ้นคร่อม แต่ก็ถูกมิโดริเรียกตัวไว้ทัน ถึงจะเป็นคนแปลกหน้าแต่ดูท่าทางจะอายุไม่ห่างกันนัก แถมอย่างน้อย ๆ ที่บ้านหมอนั่นคงมีโทรศัพท์อื่นให้ยืม เอ แต่เขาก็ออกมาใช้นี่ หรือถ้าไม่มีอย่างน้อยขออาศัยริมรั้วก็พอ “เดี๋ยว! ค..คือ ฉันลืมกุญแจบ้านแต่ไม่มีที่ไปพอดี ขออาศัยรั้วหน้าบ้านได้ไหม เอ่อ แค่ไม่อยากอยู่ตรงนี้คนเดียว แปปเดียวก็ได้ นะนะ”


    “งั้นก็ไปร้านสะดวกซื้อสิ” เขาว่ากลับ หลังเห็นซองไอศกรีมในมือ ประกอบกับร้านชำที่ไม่ไกลนักอีกแค่หนึ่งซอยถัดไป ใจร้ายชะมัด


    “แต่ลุงคนขายเขา... ใครจะกล้าอยู่สองต่อสองเล่า”


    “ฉันไม่ชอบพาคนแปลกหน้าเข้าบ้าน” เขาเอ่ยเสียงค่อย


    “งั้นก็อยู่ด้วยกันตรงนี้นี่แหละ” เด็กสาวว่า แต่เขาก็ไม่สนใจ กลับตัวขับจักรยานออกไปลำพังได้อย่างหน้าตาเฉย



    โคตรจะนิสัยแย่ คนเมืองนี้บัดซบที่สุด



    ผ่านไปสามสิบนาทีเด็กผู้ชายคนนั้นก็กลับมาพร้อมคอนโซลแบบพกพาอีกสองเครื่อง เมื่อรับมาถือถึงรู้ว่าเป็นเกมส์เททริส แล้วบอกกับมิโดริว่าจะยอมนั่งเป็นเพื่อนถ้าชนะเขา วันนั้นมิโดริจำได้ว่าตัวเองแพ้ แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้ลุกไปไหนเหมือนอย่างที่บอกไว้ ชื่ออะไร เธอถาม เขาไม่ตอบ เธอถามซ้ำอีกรอบ แพ้แล้ว เขาตอบนอกเรื่อง เธอถามอีกคราวอย่างไม่ยอมแพ้ ฉันไม่อยากมีเพื่อน เขาตอบ แต่ก็ยอมนั่งเป็นเพื่อนร่วมเหงา เมื่อใกล้ถึงเวลาเลิกงานของพ่อกับแม่ ผสมโรงกับอารมณ์ใจชื้นออกนอกหน้าอย่างเห็นได้ชัดของมิโดริที่รู้ตัวว่าจะได้เข้าบ้านแล้วหลังจากนี้ เขาถึงยันตัวลุกไปถอยจักรยานคู่ใจออกจากสนามเด็กเล่นใจกลางหมู่บ้าน ขับออกไปไกลเกินกว่าระยะสายตาจะมองเห็นแผ่นหลังไว ๆ นั่น

    กว่ามิโดริจะได้รู้จักเด็กชายอีกก็จวนเลื่อนชั้นและย้ายห้องมาเจอกัน ทั้งที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน โชจังไปนั่งตรงนั้นนะ เซ็นเซว่าพลางผายมือแก่เด็กชายตัวเล็กที่มีสีหน้าไม่ยินดียินร้ายกับใคร หลังเอ่ยแนะนำตัวเสร็จ พร้อมเสียงปรบมือเปาะแปะจากเพื่อนร่วมห้องที่ก็แค่ทำอย่างขอไปทีจากเซ็นเซ เขาเบิกตาเรียวเล็กนั่นได้กว้างพอตัว ถึงแม้จะดูเหนียมอาย ไม่มีทางเลือกอื่น เขายอมนั่งลงแต่โดยดี ตามด้วยน้ำเสียงที่เคยได้ยินมาก่อนเป็นฝ่ายทักขึ้น มิโดรินะ ยินดีที่ได้รู้จัก โช



    ดูเหมือนโชจะไม่อยากมีเพื่อนจริง ๆ , ทว่าทุกการกระทำของโชมันกำลังร้องเรียกให้ใครสักคนเดินเข้าไปหา



    เขาเป็นอย่างนั้นเสมอ






    /




    “หัดทำตัวเป็นมิตรบ้างสิ จะได้ไม่เหงาเวลาฉันไม่อยู่” มิโดริบอกคนหน้าตายที่ไม่รับรู้สิ่งใดต่อ นอกเหนือจากรายการวาไรตี้บนหน้าจอสี่เหลี่ยมผืนผ้า 


    เธอเสนอให้มิซึกิอยู่ต่อ แต่เขาก็เอาแต่มองท่าทีไม่ยินดียินร้ายราวอยากขออนุญาตจากโชก่อน อีกฝ่ายหาได้สนใจ โชไม่ได้ใส่ใจด้วยซ้ำในตอนที่มิโดริเรียกหนุ่มหัวส้มคนนั้นมานั่งดื่มชามะนาวก่อนกลับ เพราะเห็นใจเจ้าตัวที่ดันทุรังหอบกล่องข้าวเก่า ๆ ของโชติดมาด้วย หลังมื้อเที่ยง โชทิ้งเอาไว้ก่อนวิ่งหนีไป เขาเล่าจบแค่นั้น บอกแค่ว่าสงสัยพูดอะไรไม่ดีเข้าเจ้าตัวเลยร้องไห้ยกใหญ่แล้วจากไปแบบนั้น มิตซึกิกระซิบเสียงค่อยหลังแนะนำตัว ไม่วายยกฝ่ามือขึ้นป้องปากกรอกหูมิโดริกันไม่ให้โชได้ยิน ทั้งยังกำชับอีกว่าอย่าบอกโชว่าเขาเล่าจนหมด ดูท่าหมอนั่นคงจะกลัวคนอย่างฉันจะล้อเอาน่ะสิ มิโดริหวนบ้าง แต่มิตซึกิก็บอกต่อว่าบังเอิญเจอตอนเลิกคลาสรวมเลยตามมา ไม่รู้โชเต็มใจไหม เพราะเจ้าตัวเองดูตกใจอยู่หน่อย ๆ ทว่ากลับไม่ได้ปฏิเสธข้อเสนออื่น เพื่อกันคนอย่างเขาไม่ให้เข้าหา แถมยังบอกอีกว่า มีทานูกิขี้เมาเลี้ยงไว้ที่ห้องอยู่ตัวนึง มิตซึกิจึงเอ่ยปากบอกว่าสนใจ เพราะไม่ค่อยเห็นใครเลี้ยง แต่พอเดินสำรวจห้องก็ไม่เจอทานูกิตัวอ้วนขนฟูตามคาด กลับกันมีแค่มิโดริที่ยืนรดน้ำอยู่ริมระเบียงเลยเผลอตกใจไปทั้งอย่างนั้น 


    จบประโยคเล่า แขกหน้าใหม่กับลูกหนี้ประจำห้องจึงทำได้แต่แค่นเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกันทั้งคู่



Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in