“มันไม่ใช่ความรักหรอก” ผมเตือนเพื่อนตัวสูงข้างกาย เขาเข้ามาปรึกษาเพราะรู้สึกช่วงนี้ตัวเองไม่ค่อยเข้ากับแฟนสาวเท่าที่ควร ส่วนผมก็ไม่ได้ถือตัวว่าสถานะโสดตลอดชีวิตอย่างตัวเองจะวิเศษไปกว่าใคร ก็แค่ว่ากันไปตามความเป็นจริง เขาโวยวายใส่ผมยกใหญ่ว่าการเสียสละเข้าหาใครสักคนไม่ใช่เรื่องการละครอย่างคนภายนอกอย่างผมจะหยั่งถึง อย่างนั้น แล้วก็งอนผมไปอีกอาทิตย์ใหญ่ ๆ แต่ผมก็ไม่ได้ง้อเขาเพราะรู้สึกว่าการอยู่ตัวคนเดียวโดยที่ไม่ต้องมาฟังเรื่องคู่ชีวิตคนอื่นก็ดีอยู่เหมือนกัน
พูดให้ถูกคือผมไม่มีความรักหรอก ไอ้รักแรกพบอะไรแบบนั้นก็ไม่มีด้วย
จะมีก็แต่คนรอบตัวที่ขยันนำพาสารพัดเรื่องมาปรึกษา คนแรกเลยคงเป็นมิโดริ เพราะเราสนิทกันมาตั้งแต่ประถม จวนเข้ามหาลัยแต่เธอดันซิ่วซะก่อน ผมที่ถูกรบเร้าเพราะเป็นที่พึ่งเดียวของเธอมากที่สุดในการช่วยไม่ให้เจ้าตัวถ่อกลับไปรักษาใจอันบอบช้ำที่บ้าน จึงต้องตามน้ำตกปากรับคำไปพลาง ทั้งที่คอมฟอร์ทโซนของตัวเองคือการใช้ชีวิตสันโดษ ไม่ได้ออกนอกกรอบหรือจัดเจนให้ไปไกลเกินแผน เอาแต่ประคองตัวเองได้เรื่อย ๆ จนถึงที่สุด ฟังดูน่าเบื่อแต่ก็ช่วยไม่ได้ที่ผมดันเลือกเส้นทางนี้เอง เพราะงั้น การเข้ามาของมิโดริเลยนำพาผู้คนรอบตัวของเธอมาให้ผมรู้จักอยู่เนือง ๆ มีทั้งเฉย ๆ เป็นมิตร ไปจนถึงศัตรู ซึ่งส่วนมากเห็นจะเป็นอย่างหลังมากกว่า
ผมไม่ใส่ใจเรื่องการตกหลุมรักใครง่าย ๆ การมีความรักเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายสำหรับผม ถ้าคนทั่วไปนับเป็นปัจจัยดำรงชีวิต ก็ดูเหมือนชีวิตผมจะขาดความสมบูรณ์จนดำรงต่อไปได้ยาก แต่พอไม่ได้ใส่ใจให้มากความผมก็รู้ตัวว่าไอ้ร่างกายโง่เง่าแสนปวกเปียกนี่ยังไม่ตาย
“คุณ อีกแล้ว” เสียงเอ่ยทักจากบุคคลปริศนา ทำเอาผมเผลอทำหน้าตลก ๆ อย่างการหยุดชะงักปากที่กำลังจะกัดแซนวิชค้างไว้ราว ๆ สามวินาทีได้
“จำผิดคนเหรอรึเปล่าครับ” ผมขมวดคิ้วจนรู้สึกถึงรอยย่นระหว่างหน้าผาก ก่อนจะเหยียดตึงได้อีกครั้งเพราะเขาที่นั่งลงบนม้านั่งข้าง ๆ ผมโดยไม่ประสีประสาต่อคำถาม ชายตัวสูง(กว่าผม) ทรงผมหยักศกเตียนข้างอันเดอร์คัทสีส้มชวนแสบตานั่นเด่นไม่เบา เจ้าตัวสวมสเวตเตอร์สีขาวเข้าคู่กับกางเกงยีนส์ และรองเท้าแวนสีส้มพร้อมถุงเท้าลายตาราง ดูทรงคงเป็นพวกป๊อปปูลาร์ในหมู่คน แต่ก็ไม่เห็นใครอื่นตามเขามาสักคนหรือไม่ก็เป็นพวกแสร้งทำเป็นคนโดดเด่นกระมัง
ผมหันมากัดแซนวิชต่อ ไม่อยากสนใจว่าเขาจะจำคนผิดหรือรู้จักผมในฐานะอะไรอื่น ในเมื่อผมไม่รู้จักเขา นอกเหนือจากแอปพลิเคชันยูทูปที่มักเข้าไปค้นคลิปหมาแมวกับดูรายการพอดแคสเรื่องวรรณกรรมอยู่บ่อยครั้ง โซเชียลอย่างอื่นผมก็ไม่มีให้คนประนามเล่นง่าย ๆ หรอก ออ จะว่าไปก็ใช้ไลน์เอาไว้สื่อสารกับยัยนั่นอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่เพราะขี้เกียจพิมพ์ซะมากกว่า
“จำได้สิ คุณนั่งตรงนี้มาเป็นอาทิตย์แล้วนี่” เขาว่า สงสัยจะเป็นคนประเภทชอบคุยกับคนแปลกหน้า
ผมนึกกระอักกระอ่วนใจจะตอบแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เขาหยิบข้าวกล่องตัวเองขึ้นมาจากเป้บ้าง แล้วนั่งกินมันอยู่ข้าง ๆ ผมทั้งอย่างนั้น ใครเดินผ่านไปมาก็คงไม่นึกหรอกว่าเป็นคนไม่รู้จักกันสองคน กำลังนั่งกินมื้อกลางวันในรั้วมหาลัยด้วยกัน หนำซ้ำคงคิดว่าเป็นคู่ซี้ซะมากกว่า ผมแอบสังเกตจากระยะหางตาดูปราดหนึ่ง เห็นว่าข้าวกล่องของเขาดูเหมือนจะเป็นฝีมือของคนสำคัญเพราะมันมีทั้งโปรตีนจากแซลมอน ผักต้ม และข้าวปั้น ครบถ้วนสารอาหารจนแซนวิชทูน่าในมือผมดูห่อเหี่ยวไปเลย แต่จะเอาอะไรกับคนพยายามพึ่งพาตัวเอง ได้ขนาดนี้ก็ถือเกินความสามารถจะทำได้แล้ว การต่อคิวซื้ออาหารเช้าในร้านสะดวกซื้อก่อนมาเข้าเรียนให้ทันเวลานับเป็นเรื่องรับผิดชอบพอตัว บางครั้งมิโดริก็เสนอว่าลองซื้อเมล่อนปังมาเวฟดูสิจะได้ไม่ต้องรีบปั่นจักรยานแต่เช้า แต่ผมก็ไม่ทำตาม เพราะแอร์เย็น ๆ ของร้านสะดวกซื้อยามเช้าผสมกับกลิ่นกาแฟในแก้วจากลูกค้าคนอื่นมันขับเน้นบรรยากาศชวนอยากอาหารมากกว่ากลิ่นอับในห้องตัวเองเป็นไหน ๆ
ผมเหลียวมองตามผู้หญิงสองคนที่เดินกระซิบหูกันผ่านไปและส่งสายตาชวนขนลุกกับรอยยิ้มแปลก ๆ กลับมา เมื่อใครคนหนึ่งระหว่างสองคนนั้นเผลอสบตาเข้ากับผมที่แสร้งเป็นเหม่อลอยทั้งที่กำลังจับผิดสังเกตผู้คนรอบตัว
คงจะชอบไอ้หมอนี่ข้าง ๆ เขาล่ะมั้ง
ใจจริงผมก็อยากจะตอบเขาไปอยู่หรอกว่าโดนเพื่อนสนิททิ้ง เพราะให้คำปรึกษาเรื่องความรักแต่ดันไม่ถูกหูมันเข้า เลยต้องมานั่งกินมื้อกลางวันคนเดียวในสวนแทนที่จะเป็นโรงอาหารประจำคณะ แต่จะว่าไปก็ไม่รู้จะบอกทำไมเสียยืดยาว เพราะเขาก็คงแวะผ่านมานั่งทานอะไรเรื่อยเปื่อยตาม จะมองว่าการนั่งคนเดียวมันเหงาหรือสงสารขึ้นมาเพราะมีคนคนหนึ่งทำกิจวัตรเดิมครบหนึ่งอาทิตย์ นับเป็นเรื่องวิกลในสายตาคนอื่นละมั้ง ช่างเขลาจริง ไม่รู้หรือไงว่าการนั่งคนเดียวนี่ไม่มีใครอยากเข้ามาใกล้เพราะเห็นว่าอยู่คนเดียวแต่แรกหรอก
แปลกคน
แต่ผมก็คงดูเป็นคนแปลกในสายตาเขาเหมือนกัน เพราะไม่ได้เว้นระยะถอยห่าง เห็นอยู่ว่าเขาเป็นคนประเภทไม่ได้ทำอะไรเสียหายให้ ก็ไม่รู้จะหาเหตุผลไหนมาไล่ให้สมเหตุสมผลดี
ไอ้ม้านั่งนี่ก็น้อยเหลือเกิน คงโทษได้อย่างเดียวละมั้ง
บางครั้งก็นึกโกรธตัวเองขึ้นมาที่แค่อยากจะมีความสุขในความธรรมดาของคนทั่วไป อย่างการได้กินอะไรที่อยากกิน ดื่มเครื่องดื่มที่ทำให้วันนั้นอารมณ์ดีขึ้นมา อ่านหนังสือเล่มหนาสักเล่มให้ในใจถูกเติมเต็มอะไรบางอย่างทดแทนสิ่งที่ขาดหายระหว่างวัน ดูหนังเรื่องใหม่ที่เพิ่งค้นพบ ได้ลิสต์เพลงติดหูที่ฟังแค่ทำนองแรกก็เผลอใจกดลูปซ้ำอยู่อย่างนั้นทั้งวัน ถ้ามีใครสักคนมาชี้หน้าบอกว่าสิ่งที่ผมทำมันชวนให้เขาเดือดร้อน หรือไม่อยากให้ผมทำตัวแบบนั้น ชีวิตที่นึกว่าอยากจะมีคงน่าเสียดายจนพาลอารมณ์เสียขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
เพราะอย่างนี้ เมื่อผมกินแซนวิชจนอิ่มก็ไม่รู้จะบอกลาอีกคนยังไงดี เหมือนกับว่าไม่มีเหตุผลจะต้องทำแต่ก็รู้สึกผิดเกินกว่าจะไม่แสดงอะไรบางอย่างว่าเขามีตัวตนอยู่
ถึงลึก ๆ จะบอกไม่ถูกว่าน้อยใจบางอย่างระหว่างเขาอยู่โดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวก็ตาม
ผมเหลียวมองหน้าเขาครู่หนึ่ง นึกอยากร้องไห้ขึ้นมา ไม่ทันไรน้ำตามันก็รื้นชวนให้ขอบตาร้อนผ่าวแล้วไหลออกมาเสียดื้อ ๆ ทั้งที่อีกคนยังคีบข้าวปั้นไส้อะไรไม่รู้ไม่ทันหมดคำดี แก้มทั้งสองข้างกำลังเคี้ยวตุ้ย ๆ หยุดชะงักด้วยสีหน้าเหวอหวาทำตัวไม่ถูก แต่ก็กระวีกระวาดเข้ามาใกล้ผมที่น้ำตานองหน้าจนบดบังทัศนียภาพ รู้ตัวอีกทีทุกอย่างก็แทบกลายเป็นความคลุมเครือเกือบครบถ้วน เดาไม่ออกแล้วว่าเขาหน้าตาแบบไหน อันที่จริงยังไม่ได้มองให้ชัดแต่ทีแรกด้วยซ้ำเพราะกลัวจะถูกมองว่าเป็นคนเสียมารยาท
ภาพสุดท้ายที่พอจะนึกออกคือสีขาวคอตตอนไม่มีลวดลายอื่นแนบติดกับใบหน้า ร่างกายทึมทื่อจู่ ๆ ก็ดูอ่อนแรงอย่างน่าละอายถูกดึงเข้าใกล้ ราวไร้ซึ่งข้อกังขาอื่นใด เสียงหัวใจของเขาเต้นถี่รัว ผมไม่อยากฟังอะไรอีกเมื่อเขาแตะฝ่ามือลงบนลาดไหล่ของผมสองสามทีอย่างช้า ๆ ก่อนพูดเสียงค่อย ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวก็เจอรักแท้เข้าสักวัน
“ความรัก บ้านแกสิ”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in