คงเพราะใกล้เทศกาลดอกไม้ไฟ นอกเมืองเลยดูอบอวลไปด้วยบรรยากาศของโคมไฟสีนวลจากพื้นที่ห่างไกล ระหว่างนั้นก็มีอีกเรื่อย ๆ ราวผุดขึ้นตามพื้นที่โล่งกว้างทุก ๆ ห้าร้อยเมตร แต่คงมีแค่มิโดริคนเดียวที่ตื่นเต้นกับการเดินชมดอกไม้ไฟ เพราะโชเคยบอกว่าดูจากชั้นดาดฟ้าอพาร์ทเมนท์ก็เห็น แถมยังมีคุณลุงข้างห้องไปนั่งปูเสื่อเป็นเพื่อน พกแค่เสื้อกันฝนกับไฟฉายและสเปรย์กันยุงไปก็พอ ไม่จำเป็นต้องแบกไปทั้งกระเป๋าให้ยุ่งยาก แต่มิโดริกลับท้วงว่าเขาแก่ชะมัด ไม่มีอารมณ์กระเตื้องจิตใจให้สมกับวัยรุ่นเลยสักนิด น่าเสียดายออก ‘ออกไปเบียดคนบนรถไฟน่าเสียดายเวลากว่าอีก แถมยังกลับไม่ทันตุนเมล่อนปัง’
ถ้าโลกนี้มันมีกฎหมายให้คนแต่งงานกับของสะสมได้ โชคงได้ลงเอยกับเมล่อนปังไปชั่วชีวิต แล้วคลอดลูกออกมาเป็นไส้ครีม เธอว่า ก่อนจะถูกหมอนอิงใบเล็กปาเข้าหน้าจนผมเสียทรงไปชั่วขณะ พร้อมคำติดปากของเขา ‘เพ้อเจ้อ’
โชใช้ชีวิตเรียบตรง แถมยังไม่รู้จัก sense of humor ไม่รู้ว่าโตมาได้ยังไงขนาดนี้และไม่มีใครเตือนเขาได้สักคน หรือเพราะเป็นคนหน้านิ่ง แถมยังชอบใช้ความรุนแรง (บางครั้ง) แต่ไม่ได้รุนแรงถึงขั้นร้ายแรง ถึงได้กลายเป็นคนแบบนี้กันนะ เขาไม่เคยเข้าใจมุขตลกสากลเลยรึไง เธอคิดมาตลอด แต่ถึงพูดออกไปโชก็คงไม่ตอบ ตายด้านชะมัด แต่เพราะเป็นคนเฉยเมย (ในบางเรื่อง) ถึงได้อยู่ด้วยมาจนถึงทุกวันนี้
มิโดริเหลือบมองหมอนอิงปลอกลายดอกไม้ในมือ หลังหวนนึกถึงเรื่องราววันเก่า ๆ คงเพราะห้องนี้เปรียบเสมือนกล่องพื้นที่ความทรงจำระหว่างเราทั้งสอง เวลาหยิบจับอะไรก็พาลให้คิดถึงโชคนเก่าอยู่เรื่อย แต่โชในตอนนี้ก็ไม่ได้ต่างไปมากนักหรอก แค่กระวนกระวายใจขึ้นกว่าเดิมเพราะเริ่มฝึกงานและเรียนรู้การทำงานในโลกของผู้ใหญ่ว่ามันห่วยแตกยังไง สำหรับมิโดริเธอกลับรู้สึกชินชาเสียแล้วล่ะ เพราะนอกจากห้องสี่เหลี่ยมระหว่างเราก็ไม่มีพื้นที่ไหนชวนสบายใจได้อีก ทุกที่พร้อมเผาลุกเป็นเปลวของเชื้อเพลิงและกลายเป็นนรกในท้ายที่สุด นับรวมการจราจรเช้าวันจันทร์และหลังเลิกงานเย็นวันศุกร์ไปด้วย ไม่ยักรู้ใครคิดคำว่านรกขึ้นมา แต่แค่รู้สึกว่ามันเป็นคำบอกกล่าวลอย ๆ ที่ดูคับแค้นใจได้เข้าท่าดี
“ความตายต่างก็โดดเดี่ยวและสวยงาม เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เทียบเคียงความสวยงามของชีวิต เหมือนนิทรรศการของแต่ละคนมั้ง” โชหันมองมิโดริที่กำลังทำหน้าเหวอเพราะปรับตัวไม่ถูก ราวตกตะลึงในถ้อยคำ หรือไม่ก็กำลังคิดว่าจะแซวยังไงให้เขาด่ากลับซะตรงนั้น
“จำมา ปรัชญาสักเล่ม” โชรีบตัดบท ก่อนพูดเสริม “เธอก็ควรจะอ่านนะ ถ้าสนใจ”
“แล้วนิทรรศการของโชจะเป็นยังไงเหรอ” เธอยียวนเขาจนได้เรื่อง
“ไม่เห็นต้องคิด คนรู้จักฉันเท่านั้นแหละที่จะเข้าใจงานของฉัน”
“ฉันอยากให้หมึกสีดำเขียนตัวบรรจงลงไปว่า มิโดริ ได้ลาจากผู้คนและงานเขียนที่เธอรักไปแล้ว ท้ายเล่มอ่ะ ต้องดีมากแหง”
“ก็ตั้งใจเขียนสิ”
“ใช้ได้ที่ไหนกันล่ะ นายไม่เคยเรียนศิลปะรึไง อารมณ์ต่างหากสำคัญกว่า” อยู่ ๆ เธอก็ฉุนเฉียวแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ปีนี้ไปดูดอกไม้ไฟกับใคร” โชเปลี่ยนหัวข้อสนทนาหน้าตาเฉย ไม่ต่างอะไรกับมือที่นึกอยากจะหยิบเฉพาะจานที่ตัวเองเลือกกิน โดยไม่สนเพื่อนร่วมโต๊ะ
“ยูเมะ” มิโดริตอบแทบจะไม่ทันคิด รู้ตัวอีกทีในใจมันก็เต้นโครมครามเหมือนตื่นเต้นตอนดูหนังสยองขวัญก็ไม่เชิง “ถ้าเป็นไปได้น่ะนะ” เธอรีบเอ่ยเสริม
“ไอ้บ้าฮิคารุล่ะ” โชว่า เขาถนัดเลือกใช้คำได้ดีทีเดียว แถมยังจงใจเน้นคำแรกซะขนาดนั้น ไม่บอกก็รู้ว่าทั้งคู่มักไม่ถูกชะตากันอยู่เนือง ๆ อาจจะตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นหน้ากันด้วยซ้ำ หลังจากเกิดเรื่องคืนนั้น เธอเคยถามเขาว่าฮิคารุไม่ดีตรงไหน โชกลับเงียบ แต่พอถูกเซ้าซี้เข้า เขาก็เหลืออดเลือกตอบออกมาว่า ‘ไม่ชอบคนเจาะหูข้างเดียว’
โคตรจะเป็นโช
“นึกว่าจะถามว่ายูเมะเป็นใครซะอีก” มิโดริหยิบหมอนอิงมาไว้ในมือก่อนจะเดินมานั่งข้างโชบนโซฟา แทนที่จะเป็นพื้นไม้เย็น ๆ ที่ถูกหยาดน้ำฝนกระเซ็นเข้ามาตามผ้าม่านสีครีมซึ่งยังคงปลิวตามแรงลมจวนจะทนไม่ไหวอยู่รอมร่อ
“ก็ต้องเป็นแฟนใหม่เธออยู่แล้วนี่ เคยสถานะว่างซะที่ไหน” โชตอบอย่างหน้าตาเฉย คงไม่ทันจับสังเกตุได้ว่ามิโดริร้อนวูบวาบจนริ้วสีแดงเปื้อนใบหน้าตื่นตระหนก อุณหภูมิของร่างกายกำลังสวนทางกับอากาศชื้นแฉะภายในห้อง เธอเบิกตากว้างก่อนรีบตอบปัด
“ใช่ที่ไหนกัน เพื่อนต่างหาก! นั่นมันชื่อผู้หญิงนะ”
โชมีท่าทีเฉยเมย เขาแค่เริ่มจะทนความหนาวไม่ไหว จึงเดินเข้าไปเลื่อนหน้าต่างตรงหน้าลงเหลือเพียงคืบเดียว แล้วค่อยหันมาตอบ “ใครสน”
เธอถอนหายใจเสียงค่อย พลางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ตรงจังหวะเดียวกันกับโชที่เดินกลับมานั่งที่เดิมพอดี “เลิกกันแล้ว ฮิคารุน่ะ พอใจรึยัง”
“เฉย ๆ แต่ก็ดีกว่าต้องมาทนเห็นขี้หน้า”
“แล้วไอ้คนไหนที่เคยบอกว่าไม่ชอบหน้าเพราะเจาะหูข้างเดียว โคตรจะเมคเซ้นส์เลยเหรอนั่นนะ”
“คนโลเล ไม่มีทางจริงใจได้หรอก”
“รู้ได้ไง”
“ไม่รู้หรอก แต่หมอนั่นท่าทางไม่น่าไว้ใจ”
“แล้วคราวนี้จะเชื่อใจใครได้บ้างถ้าไม่มีคนเจาะหูเลย” มิโดริตั้งใจกวนประสาทโชเล่น เตรียมง้างตัวรับมือกับหมอนอิงใบเล็กข้าง ๆ นั่นแล้วด้วย แต่ก็ไม่มีวี่แววที่ปลอกลายดอกไม้จะถูกคนตรงหน้าโยนสวนมาตามคาด
“พูดจริงนะ” โชวาดคิ้วเป็นเส้นตรงประกอบเรือนผมสีเข้มที่ไม่เคยถูกสารเคมีอื่นเจือปน นอกไปจากเจลทาผมที่เขาต้องจำใจทา เมื่อต้องเข้าร่วมสัมมนาจากทางมหาลัยอย่างเลี่ยงไม่ได้
“เซ้นส์ของฉันมันบอก”
เขาเลือกปฏิบัติเพราะเห็นว่าฉันโง่เกินจะเออออไปกับคำบอกเล่าประเภทไร้รูปธรรมมายืนยันแบบนั้นเนี่ยนะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in