จะเรียกว่าสนิทคงใช้ได้ไม่เต็มปาก เพราะความสนิทของมิโดริมักถูกกำหนดขึ้นมาอย่างง่ายดาย ส่วนของยูเมะนั้นเธอเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าการที่ได้ร่วมสนทนากันบ้างเป็นครั้งคราวเพราะจดจำเพื่อนร่วมชั้นได้จะเรียกว่าคนรู้จักหรือเพื่อนกันแน่ จำได้ว่าสมัยเรียนเราคุยกันเยอะมากโดยเฉพาะเรื่องวิชาการ ต่างไปแค่มิโดริไม่ค่อยชอบเรียนพิเศษเหมือนเพื่อนร่วมห้องคนอื่น เธอมักหมกตัวอยู่กับคอมพิวเตอร์ที่บ้านมากกว่าสถานที่ติวนอกรั้วโรงเรียน ส่วนยูเมะคงเรียกได้ว่าอยู่ขั้วตรงข้ามกับเธอ โดยเจ้าตัวมักหาที่เรียนพิเศษหรือติวกวดวิชาอยู่เสมอ และช่วงนั้นเป็นโอกาสเหมาะพอดีกับการเลื่อนขั้นเกรดสิบเอ็ด คอร์สติวภาษาอังกฤษในตอนนั้นกระจายเกลื่อนเกือบทุกสถาบันและคงจะเป็นอย่างเดียวที่มิโดริสนใจอยู่บ้าง เพราะเธอทำคะแนนวิชานี้ได้ดีกว่าวิชาอื่น ๆ ในคาบเรียนอยู่บ่อยครั้ง ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าเป็นเพราะความชอบที่ได้เรียนภาษาหรือความสบายใจที่ได้คุยกับยูเมะ ถึงได้ตอบรับคำชวนเข้าคอร์สติวจากเด็กผู้หญิงตัวเล็กกว่าว่าจะไปเรียนด้วยเพียงเพราะลึก ๆ แล้วอยากรู้สึกสนิทกับยูเมะมากกว่าเดิม ถึงตอนนั้นได้แต่หวังว่าคงเป็นผลพลอยได้ระหว่างเรียนบ้างล่ะ แม้สุดท้ายต่างคนจะสนิทกันแค่ในคลาสและแยกย้ายกันกลับบ้านคนละสถานีด้วยประโยคเดิม ๆ อย่าง ‘บ๊าย บาย’ มาตลอดอยู่ดี
“ช่วงนี้ทำอะไรเหรอ” มิโดริเอ่ยถาม พลางกัดสาหร่ายในมือราวปราศจากความทุกข์ใจใดใด
อยากรักษาความสัมพันธ์กับเธอไว้นานกว่านี้, ตลอดเลย
ดวงตากลมโตเปรยตามองใบหน้าสับสนระคนแววตาคาดหวังจากมิโดริ ความประหม่าจากการยกนิ้วขึ้นมาขบกัดทำให้ยูเมะลอบยิ้ม ใช่เลย ใบหน้าของยูเมะน่ะเหมาะสมกับลักยิ้มแบบนั้นเป็นบ้า...
น่าแปลก เธอเป็นคนแรกที่มิโดริไม่เคยอิจฉา หนำซ้ำยังอยากมองให้ชัดกว่านี้เสียอีก
“เรียนภาษาเกาหลีน่ะ ใกล้จะจบแล้ว”
“อ่า” เด็กสาวภาวนาไม่ให้อีกฝ่ายถามกลับ ทว่าสีหน้าใคร่สงสัยคงเป็นบทปฏิเสธอย่างเลี่ยงไม่ได้
“แล้วมิโดริล่ะ”
มิโดริเงียบไปพักหนึ่ง เสียงเคี้ยวในปากส่งต่อรสชาติกำลังดีกลืนสู่ลำคอ ทั้งสองอย่างพยายามต่อล้อต่อเถียงกับความคิดภายในหัวอย่างหนัก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรตอบยังไงให้ลดความน่าสมเพชลง “กำลังใช้ชีวิตน่ะ”
“หืม” เสียงในลำคอของยูเมะแจ่มชัด เมื่อบรรยากาศรอบข้างปราศจากสายลม
“แบบว่า ทั่วไป” มิโดริไหวไหล่ให้กับคำตอบที่ไม่ได้พิเศษอะไร “ตื่น กิน นอน ทำงานบ้าง ทำนองนั้น” พลันริมฝีปากเม้มเข้าหากันด้วยความประหม่า
ยูเมะพยักหน้างึกงักสองสามทีเป็นอันรับรู้ แปรเปลี่ยนจากความกดดันเป็นความอุ่นใจได้เพียงเสี้ยววินาที อย่างน้อยเธอก็ดูเข้าอกเข้าใจในความหมายเบื้องต้นของการมีชีวิตเป็นอย่างดี เผลอ ๆ คงเข้าใจความรู้สึกของเธอมากกว่าโชด้วยซ้ำ มิโดรินึก
“แปลกไหมนะ” มิโดริพยายามเลียนแบบท่าทีขำขันกลบเกลื่อน ราวซิทคอมยามดึกที่ชอบแอบโชดูก่อนเข้านอน แต่อีกฝ่ายคงดูออกว่าแกล้งทำ เสียจนยูเมะเลิกคิ้วเป็นเส้นหยัก กลมกลืนกับผมหน้าม้าที่เริ่มแตกกระจัดกระจายเป็นแขนงเส้นเรียบลู่กับขมับทั้งสองฝั่ง เพราะสายลมวูบหนึ่งก่อนหน้าพัดพาเป็นระยะ สลับกับให้ตั้งคำถามเคลือบแคลงใจอยู่ลึก ๆ ว่าคนตรงหน้าเคยมีใบหน้าที่ไม่ดูดีบ้างไหมนะ
ยูเมะส่ายศีรษะเล็กน้อย “ตรงหัวมุมนั่นมีร้านยากินิกุเปิดใหม่ด้วยนะ” เธอเก็บเศษขยะอย่างซองขนมกวาดเข้าถุงพลาสติกใสในมือ ก่อนเงยหน้าเอ่ยต่อ “วันไหนว่าง ๆ ก็ทักมาสิ” พลางก้มหยิบอะไรบางอย่าง ก่อนจะถูกเฉลยเงียบ ๆ ในใจของมิโดริเองว่าสิ่งที่อยู่ต่อหน้าคือโทรศัพท์ของเจ้าตัว
บนหน้าจอปรากฏปุ่มตัวเลขทั้งสิบตัวเรียงราย มิโดริไม่ลังเลกดพิมพ์ตัวเลขสิบหลักอย่างเคยชิน ก่อนกดสัญลักษณ์โทรออก พลางยื่นให้อีกฝ่ายแล้วค่อยฉวยโทรศัพท์ที่กำลังสั่นเครือในกระเป๋ากางเกงของตัวเองออกมาโชว์หน้าจอบ้าง
ยูเมะรับไว้และกดวางสาย ระบายยิ้มประดับบนใบหน้า ก่อนเก็บมันลงในกระเป๋าดังเดิม เธอกำชับสายกระเป๋าสะพายข้างเข้าไหล่เล็ก ๆ ของตนไว้ด้วยท่าทางกระตือรือร้น คงหวังจะให้มันไม่หลุดระหว่างวิ่งกระเตงกลางทางงั้นมั้ง มิโดริลอบยิ้มต่อท่าทีเช่นนั้นอย่างปิดไม่มิด
เด็กสาวตัวเล็กวิ่งจากไป ก่อนจะชะงักฝีเท้าลงและหันกลับมายังมิโดริที่ยังคงมองแผ่นหลังของเธอไม่ห่าง น้ำเสียงนั้นเอ่ยเสียงดังฟังชัด “ไว้ไปใช้ชีวิตด้วยกันนะ”
มิโดริหลุดยิ้มออกมาเสียกว้าง ไม่วายเปล่งเสียงชัดถ้อยชัดคำตอบกลับทันทีที่รู้ตัว “บาย”
ทั้งสองโบกมือร่ำลาไปมาสลับกันและกัน, ทำอย่างนั้นจนฝ่ายหนึ่งทิ้งระยะห่างไกลออกไป
ทว่ากลับรู้สึกใกล้เคียง ขัดต่อระยะห่างระหว่างทางเหลือเกิน ท่ามกลางเสียงของสายลมเคล้าคลอกับใบไม้อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล, ซ้ำแล้วซ้ำเล่า พาลให้นึกถึงหน้าม้าปัดเอื่อยเฉื่อยบนใบหน้าเรียวเล็กของยูเมะ
ถัดไปอีกสี่ย่างก้าว มิโดริถึงเห็นว่าเพื่อนบ้านข้างร้านสะดวกซื้อปลูกต้นสนพุ่มเล็ก ๆ ไว้ชิดกับริมริ้ว ใบเล็กแห้งแตกระแหงเย้าหยอกสายลมกำลังโบกสะบัดร่ำลาเธอเช่นกัน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in