2
คันร่มสีแดงเสียบกึ่งกลางโต๊ะนั่งหน้าร้านสะดวกซื้อ ดูไม่ค่อยเหมาะกับสภาพอากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนเท่าไหร่นัก ทว่า ชั้นบรรยากาศชืดเย็นกลับไม่พยายามจะกระซัดสายลมแทรกมิตรภาพภูมิหลังแสนอบอุ่น ระหว่างเด็กสาวที่ไม่คาดฝันจะรำลึกสัมพันธ์เยาว์วัยเอาซะเลย เวลานี้ มันช่างบังเอิญง่ายเกินบรรยาย ไม่ต่างอะไรกับโสตชินครั้งได้ยินโชหว่านคำโปรยอย่าง ‘ไม่เอา ไม่เด็ดขาด’ กรอกหูมิโดริอยู่ทุกชั่วคืน เมื่ออีกฝ่ายไม่ปรารถนาจะให้ใครเข้ามายุ่มย่ามกับห้องรักของตน
คราวนี้ มิโดริเพิ่งกระจ่างทราบถึงความอ่อนเขลาในร่างกายตัวเอง กระดอนชัดว่ามันสามารถปรากฏขึ้นแท่นแทนยูนิฟอร์มสีซีดเป็นสวนดอกเนโมฟีลา ฉลองร่ำต่อภาพจำฉากเดิมแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเสียหมดคราบ แค่เพราะเธออีกคนได้กลายเป็นหญิงสาวอย่างสมบูรณ์แบบ
ยูเมะแกะสาหร่ายแผ่นเคี้ยวตุ้ย พลางแบ่งอีกซองให้มิโดริอย่างไม่ถือตัว
จะเรียกว่าสนิทคงใช้ได้ไม่เต็มปาก เพราะความสนิทของมิโดริมักถูกกำหนดขึ้นมาอย่างง่ายดาย ส่วนของยูเมะนั้นเธอเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าการที่ได้ร่วมสนทนากันบ้างเป็นครั้งคราวเพราะจดจำเพื่อนร่วมชั้นได้จะเรียกว่าคนรู้จักหรือเพื่อนกันแน่ เธอจำได้ว่าสมัยเรียนเราคุยกันเยอะมาก โดยเฉพาะเรื่องวิชาการ ต่างไปแค่มิโดริไม่ค่อยชอบเรียนพิเศษเหมือนเพื่อนร่วมห้องคนอื่น เธอมักหมกตัวอยู่กับคอมพิวเตอร์ที่บ้านมากกว่าสถานที่ติวนอกรั้วโรงเรียน ส่วนยูเมะคงเรียกได้ว่าอยู่ขั้วตรงข้ามกับเธอ โดยเจ้าตัวมักหาที่ติวพิเศษหรือสถาบันกวดวิชาอยู่เสมอ และช่วงนั้นเป็นโอกาสเหมาะพอดีกับการเลื่อนขั้นเกรดสิบเอ็ด คอร์สติวภาษาในตอนนั้นกระจายเกลื่อนเกือบทุกสถาบัน และคงจะเป็นวิชาน่าสนุกอย่างเดียวที่มิโดริสนใจอยู่บ้าง เพราะเธอทำคะแนนวิชานี้ได้ดีกว่าวิชาอื่น ๆ ในคาบเรียนอยู่บ่อยครั้ง แม้จะไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าเป็นเพราะความชอบที่ได้เรียนภาษาหรือความสบายใจที่ได้คุยกับยูเมะกันแน่ มิโดริเวลานั้น ถึงได้ตอบรับคำชวนเข้าคอร์สติวจากเด็กผู้หญิงตัวเล็กกว่าเรื่องว่าจะไปเรียนด้วย เพียงเพราะลึก ๆ แล้วเธอเองก็อยากสนิทกับยูเมะมากกว่าเดิม ถึงตอนนั้นได้แต่หวังว่าคงเป็นผลพลอยได้ระหว่างเรียนบ้างล่ะ แม้สุดท้ายต่างคนจะสนิทกันแค่ในคลาสและแยกย้ายกันกลับบ้านคนละสถานีด้วยประโยคเดิม ๆ อย่าง ‘บ๊าย บาย’ มาตลอดอยู่ดี
“ช่วงนี้ทำอะไรเหรอ” มิโดริเอ่ยถาม พลางกัดสาหร่ายในมือ
ราวต้องเบ่งบานให้พอประมาณกับคู่สนทนา เพื่อกลบฝังดวงคลอนเบื้องลึกให้ปราศจากสิ่งทุกข์ใจใดใด ขณะขบเม้มวลีขัดข้องไร้สมรรถภาพสมประกอบของสถานะอันแท้จริง
อยากรักษาความสัมพันธ์กับเธอไว้นานกว่านี้, ตลอดเลย
ดวงตากลมโตช้อนมองใบหน้าสับสนระคนกระอ่วนจะเค้น ผ่านคำถามของมิโดริ ความประหม่าจากการยกนิ้วขึ้นมาขบลิ้มหลังเคี้ยวกลืนทำให้ยูเมะลอบยิ้ม
ใช่เลย ใบหน้าของยูเมะน่ะ เหมาะกับลักยิ้มแบบนั้นเป็นบ้า...
น่าแปลก เธอเป็นคนแรกที่มิโดริไม่เคยอิจฉา หนำซ้ำยังอยากมองให้ชัดกว่านี้เสียอีก
“เรียน...ภาษาเกาหลีน่ะ ใกล้จะจบแล้ว”
“อ่า” มันคือน้ำเสียงอ้อนภาวนาไม่ให้อีกฝ่ายถามกลับ ทว่าสีหน้าใคร่สงสัยคงเป็นบทปฏิเสธอย่างเลี่ยงไม่ได้
“แล้วมิโดริล่ะ”
มิโดริเงียบไปพักหนึ่ง เสียงบดเคี้ยวจากหญิงสาวฝั่งตรงกันข้าม คล้ายจะก่นทอต่อมรับรสของเธอยามก้อนฝืดวงเล็กกระเดือกไหลสู่ลำคอ เมื่อสบดวงสีอ่อนที่ยังเพ่งส่องกิริยารับฟังอย่างกันเอง ทุกสิ่งรอบตัวพยายามต่อล้อต่อเถียงกับความคิดภายในหัวอย่างหนัก มิโดริไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะตอบยังไงให้ลดความน่าสมเพชลง แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะสบประมาทความกลัวลึก ๆ โดยเฉพาะช่วงที่ต้องเข็นมันออกไปให้พ้นกรอบหน้า ล่วงผ่านเสี้ยวเวลาเล็ก ๆ เพื่อคอยประวิงรูรั่วทิ้งความอุตสาหะและหันมาอดทนกับมันตลอดชีวิต ครั้นจวนใจให้ใครสักคนล่วงล้ำนอกจากโชและครอบครัว
“กำลังใช้ชีวิตน่ะ”
“หืม” ยูเมะขานรับแจ่มชัด บรรยากาศรอบข้างสงัดเงียบพอ ๆ กับสายลมที่ปลดระวางหน้าที่จำเป็นของตน
หน้าม้าของยูเมะกลับมาราบเรียบเป็นเส้นตรงดังเดิม
“แบบว่า ทั่วไป” มิโดริไหวไหล่ให้กับคำตอบที่ไม่ได้พิเศษอะไร “ตื่น กิน นอน ทำงานบ้าง ทำนองนั้น” พลันริมฝีปากเม้มเข้าหากันด้วยความประหม่า
ยูเมะพยักหน้างึกงักสองสามทีเป็นอันรับรู้ แปรเปลี่ยนจากความกดดันเป็นความอุ่นใจได้เพียงเสี้ยววินาที อย่างน้อย เธอก็ดูเข้าอกเข้าใจในความหมายเบื้องต้นของการมีชีวิตเป็นอย่างดี เผลอ ๆ คงเข้าใจความรู้สึกของเธอมากกว่าโชด้วยซ้ำ มิโดรินึก
“...แปลกไหมนะ” มิโดริพยายามเลียนแบบท่าทีขำขันกลบเกลื่อน ราวซิตคอมยามดึกที่หล่อนชอบแอบโชดูก่อนเข้านอน แต่อีกฝ่ายคงดูออกว่าแกล้งทำ เสียจนยูเมะเลิกคิ้วเป็นเส้นหยัก ทั้งเกลียวกลืนและเคล้าเคลียผมหน้าม้าที่เริ่มแตกกระจัดกระจายเป็นแขนงเส้นเรียบลู่กับขมับทั้งสองฝั่ง หลังจากสายลมวูบหนึ่งก่อนหน้าพัดพาเป็นระยะ สลับกับให้ตั้งคำถามเคลือบแคลงใจอยู่ลึก ๆ ว่าคนตรงหน้าเคยมีใบหน้าที่ไม่ดูดีบ้างไหมนะ
ยูเมะส่ายศีรษะเล็กน้อย “ตรงหัวมุมนั่นมีร้านยากินิกุเปิดใหม่ด้วยนะ” เธอเก็บเศษซองขนมกวาดเข้าถุงพลาสติกใสในมือ ก่อนเงยหน้าเอ่ยต่อ “วันไหนว่าง ๆ ก็ทักมาสิ” พลางก้มหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋า ก่อนจะถูกเฉลยเงียบ ๆ ในใจของมิโดริเองว่าสิ่งที่อยู่ต่อหน้าคือโทรศัพท์ของเจ้าตัว
บนหน้าจอปรากฏปุ่มตัวเลขทั้งสิบตัวเรียงราย มิโดริไม่ลังเลกดพิมพ์ตัวเลขสิบหลักอย่างเคยชิน ก่อนกดสัญลักษณ์โทรออก พลางยื่นให้อีกฝ่ายแล้วค่อยฉวยโทรศัพท์ที่กำลังสั่นเครือในกระเป๋ากางเกงของตัวเองออกมาโชว์หน้าจอบ้าง
ยูเมะรับไว้และกดวางสาย ระบายยิ้มประดับบนใบหน้า เก็บมันลงในกระเป๋าดังเดิม เธอกำชับสายกระเป๋าสะพายข้างเข้าไหล่เล็ก ๆ ของตนไว้ด้วยท่าทางกระตือรือร้น คงหวังจะให้มันไม่หลุดระหว่างวิ่งกระเตงกลางทางงั้นมั้ง มิโดริยกยิ้มตื้นเขินต่อท่าทีเช่นนั้นอย่างปิดไม่มิด
หญิงสาวตัวเล็กวิ่งจากไป ไม่ทันไรก็ชะงักฝีเท้า และหันกลับมายังมิโดริที่ยังคงมองแผ่นหลังของเธอไม่ห่าง
น้ำเสียงนั้นเอ่ยเสียงดังฟังชัด “ไว้ไปใช้ชีวิตด้วยกันนะ” แทนที่คำว่า ‘บ๊าย บาย’ อย่างในทรงจำสีซีเปีย
มิโดริหลุดยิ้มออกมาเสียกว้าง ไม่วายเปล่งเสียงชัดถ้อยชัดคำตอบกลับทันทีที่รู้ตัว “บาย”
ทั้งสองโบกมือร่ำลาไปมาสลับกันและกัน, ทำอย่างนั้น จนฝ่ายหนึ่งทิ้งระยะห่างไกลออกไป
ทว่า มิโดริกลับรู้สึกใกล้เคียง ขัดต่อระยะห่างระหว่างทางเหลือเกิน ท่ามกลางเสียงสายลมเคล้าคลอกับใบไม้อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล, ซ้ำแล้วซ้ำเล่า พาลให้นึกถึงหน้าม้าปัดเอื่อยเฉื่อยบนใบหน้าเรียวเล็กของยูเมะ
ถัดไปอีกสี่ย่างก้าว มิโดริถึงเห็นว่าเพื่อนบ้านข้างร้านสะดวกซื้อปลูกต้นสนพุ่มเล็ก ๆ ไว้ชิดกับริมริ้ว ใบเล็กแห้งแตกระแหงเย้าหยอกสายลมกำลังโบกสะบัดร่ำลาเธอเช่นกัน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in