เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Both Between Same Pathwallflowerblu
Midori
  •      มิโดริรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงของใครสักคนเลือนราง ก่อนค่อย ๆ ทวีคูณความชัดเจน ทว่ายังคงวิ่งอยู่ในห้วงหลืบความทรงจำ วนราวคลื่นกระเพื่อมของน้ำขังในภาชนะ หากแต่อาศัยอยู่บนพื้นที่แออัดของโสตประสาททันทีที่ลืมตา ‘ไม่เชิงว่าต้องเป็นเบียร์นำเข้าราคาแพง แค่ขอให้เป็นรสออริจินอลก็พอ’ ใบหน้าเรียบเฉยของโช เริ่มประกอบเค้าโครงทีละน้อย คิ้วเข้มเรียงสวยได้รูปรับสัมผัสพอดีกับหางตาเรียวยาวและค่อนข้างเล็กของเจ้าตัวเสมองเธออยู่ ในเวลานั้น


         เขาบอกกับเธอแปลกต่างไปจากทุกวัน ก่อนเตรียมตัวออกจากอะพาร์ทเมนท์เร็วกว่าปกติเมื่อเทียบกับบรรดาคนวัยเดียวกัน ไม่รู้ว่ามีอะไรเข้าสิง อยู่ ๆ ก็หลุดปากออกมาว่า ‘จะจริงจังกับชีวิตแล้ว’  ในตอนที่กำลังเล่นมวยปล้ำนิ้วกันอยู่ เพราะหาวิธีสุ่มผู้โชคดีหนึ่งคนมาล้างจาน หลังสั่งพิซซ่าและสปาเก็ตตี้ไซส์ใหญ่มากินเนื่องในโอกาสไม่มีใครยอมตื่นขึ้นมาใช้ชีวิตตอนแปดโมงเช้าวันอาทิตย์และปล่อยให้กระเพาะรอเก้อจนระบบน้ำย่อยเริ่มประท้วงถึงบ่ายสอง ฟังเผิน ๆ เธอเองก็นึกว่าเขาตีหน้าซื่อ พูดเล่นเป็นมุขตลกเพราะแพ้ซะอีก ไหงวันต่อมาก็มีรถจักรยานคันใหญ่มาส่งถึงหน้าอะพาร์ทเมนต์ไปได้ หรือแค่อยากเดินทางด้วยรถจักรยานไปมหาวิทยาลัยช่วงเช้าก็ไม่รู้ แต่มิโดริเข้าใจประโยคคำสั่งต้นทางของโชดิบดี เจ้าตัวคงไม่ได้พูดลอย ๆ ตามประสาเจ้าหนี้ (ที่เกิดขึ้นหลังจากเธอมาขออาศัยห้องแลกกับการทำงานบ้านและออกค่าใช้จ่ายรายเดือนเล็ก ๆ น้อย ๆ ) ถึงจะเสนอข้อแลกเปลี่ยนว่าขอเปลี่ยนจากการทำงานบ้านเป็นการเจียดค่าใช้จ่ายให้กับแม่บ้านประจำ แต่ไม่ทันได้พูดจบกลับโดนอีกฝ่ายบ่นเสียยืดยาว เพราะอ้างเหตุผลว่าไม่ชอบคนแปลกหน้า


         มิโดริเคยทะเลาะกับโชหลายหนเพราะเขาช่างเอาแต่ใจ และเธอเองก็ไม่ได้ใจเย็นมากพอจะรองรับอารมณ์ตัดพ้อเหล่านั้น แต่ในฐานะที่รู้ดีว่าไม่ควรเสียเวลาต่อรอง จึงทำให้เธอเป็นฝ่ายล้มเลิกเพราะคิดว่ามันเปล่าประโยชน์สิ้นดี


         โชตื่นเช้ากว่าเธอสามชั่วโมงได้ เพราะเขาต้องปั่นจักรยานไปเรียนเอง โดยเจ้าตัวยังให้เหตุผลว่าไม่ชอบแออัดกับคนแปลกหน้า เขาเอาแต่อ้างคำว่าคนแปลกหน้าขึ้นมาต่อท้ายประโยคทุกครั้งที่มิโดริเอ่ยปากถาม และครั้งสุดท้ายที่ได้ยินรูปประโยคเช่นนั้นก็เป็นตอนที่มิโดริไปปาร์ตี้วันเกิดเพื่อนสาวร่วมงานจนเมามาย ท่าทางดูไม่ได้ทำให้เพื่อนของเธอตัดสินใจถือวิสาสะหยิบเครื่องมือสื่อสารเธอขึ้นมากดโทรออกเบอร์ล่าสุดในรายชื่อที่ถูกบันทึกว่า ‘แฟนจ๋า’

      

         หลังฮิคารุมาส่งเธอที่ห้อง ต่างฝ่ายต่างรบเร้าเถ้าอารมณ์ และเกือบจะมีอะไรกันบนโซฟาห้องนั่งเล่น ทว่าโชกลับห้องมาทันพอดีกับจังหวะเข้าด้ายเข้าเข็ม เขาทะเลาะกับมิโดริยกใหญ่แบบไม่ไว้หน้าใคร แถมยังอ้างสิทธิ์ความเป็นเจ้าของห้องประกาศกร้าวขับไล่คนแปลกหน้าออกไปให้พ้น แทนการเรียกความสัมพันธ์ระหว่างฮิคารุกับมิโดริ



         เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นไม่นาน ราว ๆ สองสัปดาห์ก่อนเห็นจะได้ แต่เช้าวันนี้มิโดริกลับนึกขึ้นได้เสียอย่างนั้น เพราะรู้สึกว่ามันใกล้เคียงกับบรรยากาศอึมครึมยามเช้าวันนี้ แต่เพราะเป็นโชเลยไม่ได้รู้สึกเสียดายช่วงเวลาที่เคยเสียไปกับการกระทำโง่ ๆ ของเราทั้งสองขนาดนั้น คืนหนึ่งหลังจากแอบดื่มคนเดียวจนหลับ ตื่นมาก็เจอกับไข่เจียวที่ดูเละจนกลายสภาพเหมือนไข่ข้นทิ้งไว้เป็นรางวัลสำหรับคนขี้เกียจแห่งปีที่ยอมดรอปเรียนเพื่อหาเงินใช้ไปวัน ๆ แทนการผลาญเงินและใช้พลังงานสมองอย่างหนักหน่วงในคลาส



         ‘อิจฉาที่ได้กินคนเดียวหรือจ้ะ’




         เธอพิมพ์ข้อความส่งกลับไปให้เบอร์ที่ถูกเมมชื่อว่า ‘เมล่อนปังบูด’ แล้วนึกขำคิกคักคนเดียวเพราะข้อความขึ้นคำว่า อ่านแล้ว ภายในไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นจึงตอบกลับมาและยังเป็นประโยคที่มีน้ำเสียงตึง ๆ ของโชตามหลังมาด้วย




         ‘ซื้อคืน’


         ‘ในตู้ไม่มีของเธอสักกระป๋อง ใครใช้ให้ดื่มหมดไม่ทราบ’



         มิโดริทิ้งทวนคำสบถเบา ๆ ก่อนลุกขึ้นปัดป่ายฟูกนอน พับผ้าห่ม จัดเรียงหมอน ปิดผ้าม่าน และปิดท้ายด้วยการล้างจานกองพะเนินของเมื่อวาน หลังเขี่ย ๆ หาชิ้นส่วนสมบูรณ์ของข้าวไข่เจียวตรงหน้า แต่ความสงสัยก็ถูกกลบฝังพร้อมเมินเฉยรูปลักษณ์ และละเลียดมันจนเกลี้ยงพร้อมกับซอสมะเขือเทศที่ถูกเทไว้แล้ววางตั้งไว้บนโต๊ะ เธอพับโต๊ะญี่ปุ่นรูปชาร์ลี บราวน์ เก็บเข้ามุมห้องอย่างเงียบเชียบ ย้ายตำแหน่งไปยืนล้างจานตรงซิงค์เมื่อครู่ หลังปิดก๊อกน้ำแช่ทิ้งไว้จนเกือบล้น พอหนังท้องเริ่มตึงการกระทำรวมถึงอิริยาบถต่าง ๆ ก็ค่อย ๆ ผ่อนแรงลงสวนทางกับอาหารในท้อง มิโดริหาววอดเสียยืดยาว พลางคิดว่าตัวเองมีแววเป็นโรค Hypersomnia ตามที่ได้อ่านในกระทู้ของเพื่อนร่วมโซเชียลมิเดียสัปดาห์ก่อนแหง ตารางนอนในวันธรรมดาแทบจะแบ่งเป็นสามช่วงเวลาอย่างต่ำ นับรวมได้สิบห้าชั่วโมง ฟูกนอนตรงกลางก็แทบจะเป็นรอบบุ๋มจมอยู่รอมร่อ ไม่นานคงกลายเป็นคนไม่เอาไหน แล้วก็โดนโชไล่ออกจากห้องพัก ความสัมพันธ์ของเราคงจบลงง่าย ๆ แบบนั้น


         มิโดริเหลือบมองตารางคาบเรียนของโชที่ติดไว้บนผนังข้างกับปฏิทินแขวนแจกฟรี คลิปหนีบสีดำรวบกินพื้นที่กระดาษของเดือนก่อนหน้าขึ้น เผยให้เห็นตารางตัวเลขเดือนมีนาคมแจ่มชัด



         “ไหนดูซิ” เธอพึมพำ ไล่นิ้วไปยังปฏิทินก่อนหยุดวันที่สิบสี่ เส้นสีดำของปากกาเจลขีดทับพร้อมลายมือขยุกขยิกคุ้นตาเขียนไว้ว่า ‘present’ แล้วค่อยเทียบเข้ากับตารางเรียนระบุเวลาเลิกบ่ายสามยี่สิบ ถ้ามีงานก็กะเข้าไปเพิ่มอีกสักชั่วโมง เพราะไหนจะทบทวนเนื้อหา อย่างโชเดาไม่ยากว่าคงใช้เวลาปั่นจักรยานไปซื้อเมล่อนปังก่อนกลับ เพราะงั้นคงมีเวลาให้อู้ดูซีรีส์เหลือเฟือก่อนออกไปซื้อเบียร์ มิโดริยกยิ้มกับความคิด พลางล้มตัวลงบนโซฟาแคบ ๆ สีน้ำตาลเข้ม กดเปิดหน้าจอโทรทัศน์ที่ใช้เชื่อมต่อกับแอปพลิเคชั่นดูหนังเป็นประจำ ไม่ลืมแวะมาตั้งนาฬิกาปลุกเวลา 15.50, 15.52, 15.55, 15.58 สุดท้ายก็ฝืนควบคุมแรงตึงผิวบนหนังตาไว้ไม่อยู่ จนผลอยหลับระหว่างซีรีส์กำลังฉายโดยไม่รู้ตัวอีกหนอย่างเลี่ยงไม่ได้



         เวลาสี่โมงเย็นคงเป็นเวลาเลิกงานสำหรับใครหลาย ๆ คน แต่ในฐานะลูกหนี้อย่างมิโดริคงต้องขอบคุณคุณป้าข้างห้องที่ปิดประตูดังปึงปัง หลังกลับมาจากเลิกงาน เธอทะเลาะกับสามีเรื่องไม่ทำความสะอาดบ้านเสียงจ้าละหวั่น ไร้ซึ่งความขลาดอายเพื่อนเรือนเคียง ทว่ากลับช่วยกลบความคิดรนใจแทนการใช้สมาธิควานหาเสื้อผ้าของมิโดริจนหมดสิ้น อย่างน้อยก็ต้องขอบคุณหล่อนที่ทำหน้าที่แทนนาฬิกาปลุก หลังเผลอตัวกดเลื่อนไปนับไม่ถ้วนครั้งก่อนหน้า ขณะเดียวกันก็รู้สึกเห็นใจคุณลุงในฐานะเพื่อนร่วมอุดมการณ์ดังประโยคที่เล็ดลอดแว่วมาว่า ฉันเองก็เหนื่อยเหมือนกันนะ!  เดาจากน้ำเสียงแน่วแน่ เขาคงโกรธจนเลือดขึ้นหน้าและคงทะเลาะกันยกใหญ่ไปอีกค่อนชั่วโมง ถึงจะไม่ใช่ครั้งแรกแต่เธอก็ไม่เคยชินกับเสียงตวาดน่าปวดหัวเหล่านี้เลยสักนิด หากแต่อย่างน้อยก็คงไม่มีเรื่องปวดหัวเพิ่ม ในเมื่อโชยังไม่กลับถึงห้อง



         มิโดริกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังหน้าซอยอพาร์ทเมนท์ ป้ายหน้าร้านสะดวกซื้อสีเขียวเข้มดูเด่นตาตัดกับตัวหนังสือสีฟ้าและพื้นหลังสีขาวภายใต้แบรนด์แฟมิลี่มาร์ทเรืองแสงสว่างมาแต่ไกล เด็กสาวยืนหาววอดยาว ๆ ไม่อายผู้คนเป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันเธอเองก็ไม่รู้ ไหล่แคบไหวเล็กน้อยกับอุณหภูมิเย็นเยียบของแอร์ภายในร้าน พลันสอดประสานนิ้วมือภายใต้กระเป๋าเสื้อฮู้ด ก่อนตรงดิ่งไปยังตู้เย็นด้านในสุดตรงกับล็อคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พอดิบพอดี



         เด็กสาวดึงตู้และไล่สายตาไปตามยี่ห้อต่าง ๆ “รสโปรดของโช...อืม” เผลอบ่นงุบงิบตามประสา พลางลากเสียงยาวอย่างลืมตัว ก่อนประตูกระจกใสทางด้านขวาจะถูกเปิดกว้างแนบกันกับบานประตูขึ้นฝ้าฝั่งของมิโดริที่เปิดค้างไว้ก่อน เธอเหลือบมองหญิงสาวในชุดลำลองตู้ข้าง ๆ

     

         เสื้อแจ็กเก็ตตัวหนาสีเทากับกางเกงขาสั้นสีขาวดูเข้ากันดีกับเรียวขาของหล่อนที่ค่อนข้างยาวและสมส่วน มองยังไงก็เพลินตาราวสาวแรกรุ่น




         ไม่สิ นี่กำลังคุกคามกันอยู่รึไง




         มิโดริเมินเฉย ผลัดทิ้งความคิดวิกลจริตอันโจ่งแจ้งน่าอับอายในหัว พลางเสสายตาหาเบียร์รสออริจินอลของโชต่อไป รสข้าว รสข้าว รสข้าว รส... ข



         ครู่ถัดมารองเท้าแตะสีชมพูอ่อนถอยออกมาก่อนหยุดก้าวหลังรองเท้าคอนเวิร์สสีดำของมิโดริ

      

         มิโดริใช้ดวงตากลมโตเหลือบมองอย่างสงสัย จดจ่อหางตาไปยังหน้าแข้งขาวเนียน หัวเข่าไร้รอยดำด้าน ต้นขาอมชมพู ไล่เรียงไปเรื่อย ๆ เทียบเคียงกับความว้าวุ่นภายในใจ



         “มิโดริหรือ?”


         “หะ” เธอสะดุ้งจนตัวโยน ผละฮู้ดที่ใช้คลุมหัวออก ทันทีที่ได้ยินเสียงใสเจื้อยแจ้วเอ่ยทัก พลันจับจ้องไปยังใบหน้าของอีกฝ่าย แววตาฉายความแคลงใจอย่างปิดไม่มิดปรากฏต่อหน้า ฉับพลันจึงเปลี่ยนเป็นดวงตาเบิกกว้าง พร้อมวาดริ้วยิ้มประดับบนใบหน้าแสนจริงใจแทน

      

        “ยูเมะจัง”




Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in