เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Somewhere only I knowsmotherf*ckinprincess
เรา หมอ ยา และเวลา
  • การเข้าพบจิตแพทย์ครั้งนี้ ช่างยากเย็นเหลือเกิน
    ยากเย็นตรงที่ .. จะอธิบายความเศร้าให้คนอื่นเข้าใจได้อย่างไร
    ยากเย็นตรงที่ .. จะอธิบายความเจ็บปวดให้คนอื่นเข้าใจได้อย่างไร
    ยากเย็นตรงที่ .. จะอธิบายความทุกข์ระทมให้คนอื่นเข้าใจได้อย่างไร

    ต้องใช้ความกล้าแค่ไหนกันนะที่จะบอกกับคนที่เพิ่งเคยเห็นหน้ากันครั้งแรกว่า
    เรารังเกียจชีวิตตนเองเหลือเกิน
    เราไปพบจิตแพทย์ที่โรงพยาบาลจังหวัด .. ผู้คนมากมาย ปนไปด้วยสีหน้าอมทุกข์
    ยิ่งทำให้จิตใจพัง ๆ ของเราแหลกลาญมากขึ้นกว่าเดิมไปอีก

    เมื่อพบเจอคุณหมอ คุณหมอช่างมีความสุขเหลือเกิน หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสแบบนั้น
    คุณหมอทำได้ยังไงนะ คุณหมอรับฟังเรื่องราวอันน่าหดหู่ใจเป็นหลายสิบเรื่องแล้วยังยิ้มอยู่ได้ยังไง
    แล้วคุณหมอที่ดูท่าทางมีความสุขขนาดนี้จะเข้าใจความเศร้าของเราได้ยังไง .. ?
     
    การพูดคุยอย่างเรียบง่ายเกิดขึ้น คุณหมอพยายามให้เราเล่าเรื่องทั่ว ๆ ไป
    ครอบครัว เพื่อนฝูง คุณหมอใช้คำถามง่าย ๆ ใคร ? ทำอะไร ? แล้วเรารู้สึกอย่างไร ?
    ในที่สุดเราก็รวบรวมความกล้า พูดสรุปสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราทั้งหมดให้คุณหมอฟังอย่างเร็ว ๆ

    หนูเกลียดการมีความสัมพันธ์ร่วมกับผู้อื่นค่ะ
    ความสัมพันธ์เดียวที่หนูรู้สึกว่ามันมีค่าให้พอจะรักษามันไว้คือ แม่ กับ แมวของหนู
    ตอนนี้ชีวิตหนูมันกำลังพังพินาศจากการมีความสัมพันธ์กับคนอื่น ๆ
    หนูรับไม่ไหว หนูไม่อยากให้ตัวเองเจ็บปวดแบบนี้อีกแล้ว หนูอยากไปให้พ้น ๆ !!

    คุณหมอนิ่งไม่ได้แสดงอาการตกใจ แต่คุณหมอกลับยิ้มอย่างอ่อนโยนและขอให้เราเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง เรื่องราวที่นำพาเรามาสู่ความรู้สึกนี้ เราเล่าเรื่องของเราไปตามความจริง ลำดับเหตุการณ์ผิดพลาดไปบ้าง หลงลืมบางอย่างไปบ้าง แต่ใจความยังครบถ้วนสมบูรณ์ดี

    คุณหมอพยายามพูดกับเรา ทำให้เรามองเห็น "เหตุผล" ที่ก่อให้เกิดการกระทำของผู้อื่น
    พยายามบอกเราว่า หนูมีปัญหา บางทีคนอื่นก็มีปัญหาเหมือนกันเลยต้องทำแบบนั้น
    เรายังคงไม่เข้าใจ ..
    คุณหมอไม่ว่าอะไรเลย คุณหมอบอกว่าการที่หนูคิดอะไรสักอย่างมาทั้งชีวิต จะให้มาเปลี่ยนใน 2 ชั่วโมงนั้นทำไม่ได้หรอก ทุกอย่างต้องใช้เวลา แล้วหนูรู้ใช่ไหมว่าคนเราบังคับเวลาไม่ได้ แต่หมอยากให้หนูค่อย ๆ เปลี่ยน เริ่มจากวันละ 1 เรื่องก็ได้ หมอเชื่อว่าวันหนึ่งหนูจะทำได้

    แปลกดีที่เมื่อเราบอกหมอว่า เราไม่อยากยุ่งกับใครเลย ไม่ต้องการคุยกับใคร ไม่ต้องการเจอใคร
    หมอหัวเราะเบา ๆ แล้วบอกเราว่า ถ้าหนูไม่อยาก หนูก็ไม่ต้องทำ .. มันไม่ใช่เรื่องผิดถ้าหนูจะไม่ทำอะไรที่หนูไม่อยากทำ หนูพร้อมจะออกไปจอผู้คนเมื่อไหร่ก็ไป ไม่พร้อมก็อยู่คนเดียวไปก่อน
    เราได้แต่พยักหน้ารับคำหมอไป ทั้ง ๆ ที่คิดในใจอยู่แล้วว่ามันไม่ได้ง่ายแบบนั้นเลยน่ะสิ

    สุดท้ายแล้วหมอก็จ่ายยามาให้เรา 2 ตัว แล้วนัดเรามาพบอีกใน 2 อาทิตย์
    ก่อนออกจากห้อง หมอพูดทิ้งท้ายกับเราว่า อย่าเพิ่งหนีไปก่อนล่ะ ความสุขกำลังรอหนูไปเจออยู่นะ
    เรายิ้ม :-) ได้แต่หวังว่าหนูจะได้เจอมันก่อนที่จะสายเกินไปนะคะ ..

    ยาที่คุณหมอให้มานั้น เรียกง่าย ๆ ว่า ยาต้านเศร้า กับยานอนหลับ
    ยาต้านเศร้านี่เอฟเฟคมันร้ายมากเลย 
    เราพบว่ามันทำให้เรากระสับกระส่าย ใจสั่น ท้องอืด ไม่อยากอาหาร แถมเวียนหัวเป็นพัก ๆ อีก
    ค่ำคืนแรกผ่านไปอย่างทุกข์ทรมาน ..
    แต่ยานอนหลับตัวที่สองก็ได้กลายมาเป็นพระเอกเลย เพราะมันแรงจริง
    ไม่ถึง 30 นาที เราก็เข้าสู่ห้วงนิทราไปพร้อมกับความเครียด

    ไม่รู้ว่ายาที่หมอจ่ายมานั้นช่วยเรายังไง เพราะดูเหมือนในช่วงแรกที่ผ่านมานี้ เราพบว่าตัวเองเครียดมากกว่าเดิมอีก เครียดจากเรื่องเดิม แถมต้องมาเครียดกับเอฟเฟคของยา
    กลายเป็นว่าเรานอนวันละ 12 ชั่วโมงเห็นจะได้
    แล้วกินข้าวแค่มื้อเดียวเท่านั้น 
    เวลากลับมาเป็นตัวแปรสำคัญในชีวิตของเราอีกครั้ง
    คนอื่น ๆ เริ่มกลับเข้ามาในชีวิตของเราอย่างรวดเร็ว .. เนื่องจากกิจกรรมของมหาลัยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
    ทำให้เราต้องออกไปพบป่ะผู้คนอย่างกล้ำกลืนฝืนทน เรายิ้มยินดีแสดงอาการว่าปกติ
    ทั้ง ๆ ที่เราไม่พร้อมจะพบป่ะพูดคุยกับใครทั้งสิ้น แต่เราก็ต้องทำเพื่อเป็นเกราะป้องกันใจ ไม่ให้ใครเข้ามายุ่งย่าม แต่ในใจของเรานั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกทุกข์ทน 

    ความเป็นห่วงจากผู้อื่นทำให้เรารู้สึกเกลียดตัวเอง
    และสายตาสังเวชใจของผู้อื่นก็ทำให้เราเกลียดตัวเองเช่นเดียวกัน
    ช่วยมองเราแบบที่คุณมองคนปกติได้ไหม หรือไม่งั้นก็ได้โปรดอย่าจ้องมองเราเลย
    วินาทีนั้นเราภาวนาให้ตัวเองหายไป ..

    เราพบว่าสิ่งที่เราต้องการในตอนนี้คือการใช้ชีวิตอย่างปกติสุขและธรรมดาให้มากที่สุด
    แต่ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำได้อย่างไร
    เนื่องจากภาวะซึมเศร้าและอาการต่อต้านสังคมของเราในตอนนี้ ไม่ได้เอื้ออำนวยให้เราใช้ชีวิตอย่างปกติได้เลย อาการต่อต้านผู้คน ความเครียดที่เพิ่มสูงขึ้นเมื่อต้องพูดคุยกับผู้อื่นนาน ๆ
    หรือแม้แต่การแบกรับความรู้สึก .. ความคาดหวัง .. และความเป็นห่วงจากผู้อื่น
    ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกเข้าใกล้คำว่าปกติเลย

    การรับรู้ว่าคนอื่นเป็นห่วง แต่เราตอบสนองอะไรไม่ได้นอกจากคำขอบคุณ เป็นเรื่องที่แย่นะ
    เพราะฉะนั้นถ้าขอได้ ก็อย่ายัดเยียดความเป็นห่วงของคุณให้เรามากนักเลย
    เพราะให้มา เราก็รับมาใส่ใจไม่ได้ มีแต่จะแบกไว้ให้เราทรุดลงกว่าเดิม

    เราสัญญาว่าเราจะพยายามใช้ชีวิตอย่างปกติสุขที่สุดต่อหน้าทุกคน
    ส่วนเรื่องการรักษาเยียวยา ..
    ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเรา หมอ และยา เถอะนะ
    สิ่งที่เราอยากได้จากทุกคนคือเวลาเท่านั้น แค่นั้นจริง ๆ

    เวลา ที่เราพร้อมคุยกับทุกคน
    เวลา ที่เราพร้อมเจอหน้าทุกคน
    เวลา ที่เราพร้อมเข้าใจทุกคน
    เวลา ที่เราสามารถสัมผัสความอบอุ่นจากทุกคน
    เวลา ที่เราจะค่อย ๆ ดีขึ้น
    และ เวลา ที่เราจะกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

    เราก็อยากเร่งเวลาให้ไปถึงตอนที่เราหายดีแล้ว แต่เราทำไม่ได้
    คนอื่น ๆ ก็เช่นกัน ..
    เพราะฉะนั้นช่วยปล่อยให้เราเป็นไปในอย่างที่เราเป็นในตอนนี้เถอะ
    การที่คุณจะรวบรัดข้ามขั้นตอน มีแต่จะทำให้เราแย่ลงกว่าเดิม 
    สุดท้ายแล้วเราก็ต้องกลับไปเริ่มใหม่อีกครั้ง
    การตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า ร้องไห้แม้แต่กระทั่งในฝัน ไม่ใช่เรื่องสนุกสำหรับใคร
    ได้โปรดเฝ้ามองเราจากที่ไกล ๆ และเป็นกำลังใจให้เราก็พอ :)
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in